ลิ้นหนากระทุ้งแก้มของตนเองเพื่อผ่อนคลายความปวด “เธอกล้ามาก ไม่รับข้อเสนอไม่ว่าแต่กล้าตบหน้าฉัน ผู้หญิงอย่างเธอมันมีค่าเท่าไหร่กันเชียว หากเทียบกับราคาของของฉัน ค่าตัวในแต่ละครั้งคงไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่น หรือไม่ถึงหมื่นด้วยซ้ำ”
“หยุด! หยุดพูดดูถูกผู้หญิง ผู้หญิงความคิดมันไม่เหมือนกัน และความต้องการก็ต่างกัน อย่าเห็นว่าผู้หญิงที่ขัดสนเรื่องเงิน แล้วจะขายร่างกายกันทุกคน เพราะหนึ่งในนั้นไม่ใช่ฉันแน่นอน คุณเฮริค” ใบหน้าแดงเรื่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ทั้งโกรธ ทั้งแค้น จนอยากกรีดร้องให้อีกฝ่ายได้รับรู้ ว่าการดูถูกคนอื่นมันสร้างความปวดร้าวและเสียความรู้สึกแค่ไหน...
คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อย รู้สึกแปลกใจกับคำเรียกชื่อตนเอง หล่อนชั่งจดชั่งจำดีแท้... “หึ รู้จักชื่อก็ดีแล้วและเธอจะได้รู้ว่าผู้ชายที่ซื้อตัวเธอคืนนี้ชื่ออะไร เพราะคืนต่อๆ ไปเขาคงไม่มีสิทธิ์ได้เข้าใกล้ฉันอีกแล้ว”
คำพูดและการกระทำไร้การรักษาน้ำใจของผู้ชายตรงหน้า เหมือนโลกทั้งโลกบีบให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ ไร้หนทางหลีกหนี ริมฝีปากบางอ้าค้าง ลิ้นชาคล้ายเป็นอัมพาต คำสรุปที่เธอไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้น
“ใครบอกว่าฉันจะขายตัวฉันให้กับคุณ ผู้ชายอย่างคุณต่อให้มีเงินล้นฟ้า หากแต่การกระทำเยี่ยงสัตว์ป่า ฉันขอให้ฟรีกับคนที่ฉันรักแต่ไม่มีเงิน ดีกว่าขายตัวให้คุณ!”
“หึ ถ้าอย่างนั้นที่เธอมาที่นี้ก็มาหาคนที่รักแล้วให้เขา... ฟรีๆ อย่างนั้นสิ”
“คุ คุณ!”
“ทำไม อยากทำร้ายฉันให้หายเจ็บใจกับสิ่งที่ฉันเอ่ยความจริงจนแทงใจดำเธอใช่ไหมล่ะ?...”
“ใจคุณมันสกปรก ฉันไม่อยากเอาเนื้อหนังของคุณมาให้เปรอะเปื้อนมือฉันหรอก เสียดายแม้แต่เสื้อผ้าที่คุณสวมใส่ยังไม่สามารถปกปิดการกระทำและความรู้สึกของคุณให้ดูดีขึ้นมาได้เลย”
“มันจะมากไปแล้วนะ คนอย่างผมไม่เคยมีใครกล้าต่อปากต่อคำขนาดนี้ เธอปากกล้าเกินไปแล้วนะแม่ตัวดี”
“หะ ว้าย!!!”
แรงกระชากและความรีบเร่งชุลมุนทำให้กระเป๋าเป้เลื่อนร่วงลงสู้พื้น เมื่อต้องแกะมือหนาที่บีบบังคับของอีกฝ่าย ใบหน้าขาวซีดรับรู้ถึงความไม่ปลอดภัยเพราะทิศทางการลากไปนั้นมันคือเตียงกว้างที่วางเด่นอยู่เบื้องหน้า
“คุ คุณ จะทำบ้าอะไรของคุณปล่อยฉันนะ!” สีหน้าตะลึงกลัวร้องถาม พร้อมเท้าเรียวในรองเท้าผ้าใบกดพื้นไว้มั่น
“ทำไม เกิดกลัวขึ้นมาหรือไง เมื่อกี้ทั้งตบทั้งด่า ความกล้ามันหายไปไหนซะละหึ?...”
“คุณจะทำอะไร คุณจะทำแบบนี้ไม่ได้นะ” น้ำเสียงร้อนรนร้องถามและห้ามในคราเดียว
“คุณรู้หรือว่าผมจะทำแบบไหนกับคุณ หึ?” สายตาเจ้าเล่ห์มองเหมือนหยั่งเชิงอีกฝ่าย
“ฉะ ฉันไม่รู้ แต่คนอย่างพวกคุณคงไม่ทำดีนัก”
“หึ รู้ดีจริง ผมแค่จะ...” ทำสายตากรุ้มกริ่ม กลืนน้ำลายลงคอทำให้คนที่เห็นหน้าซีดเป็นไก่ต้มอีกหน่อย แล้วเอ่ยต่อ “เรามาตกลงกันดีๆ เผื่อผมจะยกสิ่งที่คุณหาว่าผมยัดเยียดให้เป็นโมฆะ”
“ไม่เอา ฉันไม่มีอะไรตกลงกับคุณ ที่สำคัญ ฉันไม่รับอะไรที่คุณยัดเยียดให้ทั้งนั้น” ใบหน้าสวยเชิดหน้าสบตาด้วยความตั้งใจแน่วแน่ ก่อนจะสูดอากาศเข้าปอดเรียกความกล้าแล้วเอ่ยต่อ
“แล้วก็ปล่อยมือ ฉันจะไปหาพี่มนัส บอกตามตรง ฉันไม่ไว้ใจคุณ การกระทำของคุณมันเหมือนกับว่า นอกจากตัวคุณ คนอื่นไม่มีอิสระทางความคิด!”
เป็นอีกครั้งที่ผู้หญิงคนนี้กล้าต่อว่าเขา ไม่เหมือนกับผู้หญิงอื่นๆ ที่แค่เห็นหน้าเขาก็อ่อนระทวยแทบจะเปลื้องผ้าเข้าหาเขา ...แต่ผู้หญิงคนนี้มันไม่ใช่
“หึ อิสระทางความคิดหรอ ก็นี่ไงผมกำลังยื่นขอเสนอให้คุณคิด คุณก็มานั่งคุยกับผมดีๆ สิ แล้วเรื่อง จะได้ตกลงกันง่ายๆ หรือไม่เอานั่ง จะนอนคุยเลยก็ได้นะ ผมชอบ”
“นิคุณ!” ด้วยความโกรธและความหงุดหงิด ความกล้าทำให้เท้าบางๆยกขึ้นแล้วกระทืบไปบนหลังเท้าภายใต้รองเท้าหนังราคาแพงไปอย่างจัง
ตุ๊บ!! “โอ๊ย!!! ...”
รติกาลไม่รอช้าเมื่อตัวเองเป็นอิสระ หันหลังวิ่งถลาไปยังประตูแล้วพรวดพราดออกไปไม่หันกลับมามองผลงานของตัวเอง
และจังหวะหนึ่งที่รติกาลผันไปมองด้านหลังเพื่อดูว่าเฮริควิ่งตามออกมาด้วยหรือไม่นั้น ทำให้คนที่เดินสวนมา ถูกเธอปะทะเข้าเต็มแรง
“โอ๊ะ/ว้าย!” เสียงตกใจและลนลานของรติกาลทำให้มนัสกลั้นความเจ็บเอาไว้ แล้วจับร่างบางไว้มั่นก่อนจะถามออกไปด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“เป็นอะไร แล้วทำไมเหมือนวิ่งหนีอะไรมา?...”
“พี่มนัส!” ใบหน้าตื่นตกใจแหงนหน้ามองคนถามเมื่อได้สติ และเพิ่งรู้สึกได้ว่าตอนนี้เธออยู่ในอ้อมแขนแกร่งของอีกคนอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“พี่มนัสช่วยกาลด้วย”
เมื่อกลับมายืนปรกติได้ เหมือนโลกทั้งโลกดูปลอดภัย เมื่อรู้ว่าใครที่ยืนอยู่ข้างกาย
“มีอะไร ใครทำอะไรกาล เดี๋ยวพี่จัดการ...”
“กันเอง!...”
“เฮ้ย อะไรวะ!!”