“อะไร?” เสียงห้วนแข็งดังลอดออกจากริมฝีปากหนาพร้อมกับมองดูร่างเล็กเพรียวระหงตรงหน้าตนเอง ปกติเธอไม่เคยมาที่บริษัท แล้วทำไมวันนี้ถึงมาหาได้ล่ะ มีอะไร ทำไมไม่รอคุยกันที่บ้าน
“เปิดดูก็จะรู้เองค่ะ และก็รีบจัดการให้เรียบร้อยด้วย ข้าวจะบินเย็นนี้ค่ะ” เธอบอกสั่งสามีที่อีกไม่กี่นาทีเขาก็จะเป็นเพียงสามีเก่าของตนเอง
เตชน์ ดำรงรักษ์ วัย 33 ปี หยิบซองเอกสารสีน้ำตาลมาเปิดแกะดูแล้วก็ขบกรามแน่น มันคือ ‘ใบหย่า’ ที่ข้าวฟ่าง แสงประเสริฐ วัย 24 ปี เซ็นแล้ว จะเหลือก็แต่เขาที่ยังไม่ได้เซ็น
“พี่ว่าเราคุยกันแล้วนะว่าจะไม่ ‘หย่า’ กันข้าว เราเพิ่งแต่งงานกันสี่เดือนเองนะ ยังไม่ทันถึงปีก็จะหย่าแล้ว ไม่กลัวตกเป็นขี้ปากชาวบ้านรึไงฮึ”
“แล้วแคร์ทำไมคะ ชาวบ้านไม่ได้หาให้เรากินสักหน่อย อีกอย่างเราสองคนก็แต่งงานเพราะทำตามคำสัญญาของผู้ใหญ่ ตอนนี้พ่อกับแม่ของข้าว ท่านเสียไปแล้ว ข้าวไม่จำเป็นต้องรักษาสัญญาอีกต่อไปค่ะ ข้าวอยากไปทำงานกับเพื่อนที่เนเธอร์แลนด์ค่ะ”
ข้าวฟ่างบอกสามีที่ตนแต่งงานกับเขาได้สี่เดือน เหตุที่ต้องแต่งงานกัน เพราะว่าพ่อกับแม่สัญญากันไว้ จึงทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้ พ่อของเธอกับพ่อของเตชน์เป็นหุ้นส่วนทางธรุกิจกัน และตอนนี้ก็มีเตชน์อยู่ในตำแหน่งสูงสุดคือท่านประธาน เพราะครอบครัวเตชน์มีหุ้นเยอะกว่าเธอ ส่วนเธอก็รอกินเงินปันผลแต่ละไตรมาสก็เพียงพอแล้วสำหรับตัวคนเดียวตอนนี้
“ถึงเราจะแต่งงานกันอย่าง ‘ไร้รัก’ แต่เราก็ทำทุกอย่างแบบผัวเมียทำกัน ตอนนี้ข้าวก็เป็นเมียของพี่” เตชน์เอ่ย
“เป็น ‘เมีย’ ที่ผัว ‘ไม่รัก’ ไม่รู้จะเป็นไปทำไมค่ะ ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าผัวมีคนที่รักอยู่ก่อนแล้ว และยังคงไปมาหาสู่กันตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน” ตอนแรกเธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับสามีคนนี้แม้แต่นิดเดียว แต่เวลาสี่เดือนที่อยู่ด้วยกันมา เธอเริ่มรู้สึกว่าใจของเธอเริ่มมีเขาเข้ามาหยั่งรากลึกในใจเสียแล้ว จากไม่คิดจะ ‘รัก’ สุดท้ายก็พ่ายแพ้ต่อเสน่ห์ของเขาจนยอมมอบพรหมจรรย์ของตนเองให้กับเขา ให้เตชน์เป็นผู้ชายคนแรกของตนเอง แต่แล้วก็เจ็บปวดเมื่อสำหรับเขามันเป็นแค่ ‘เซ็กซ์’ ที่เขาทำตามหน้าที่ของ ‘สามี’ เพราะใจของเขาอยู่กับผู้หญิงอีกคนมาตลอด
“ถ้าพี่ไม่หย่าล่ะ?”
“หย่าเถอะค่ะ พี่กับเธอคนนั้นจะได้คบหากันแบบเปิดเผย ไม่ต้องไปแอบไปหากันลับหลังของข้าว อีกอย่างตอนนี้ที่ไทย ข้าวก็ไม่เหลือใครแล้ว พ่อแม่ ญาติพี่น้องก็ไม่มี ข้าวตัวคนเดียว ข้าวอยากไปใช้ชีวิตของตัวเองที่เนเธอร์แลนด์ พี่เตชน์เซ็นใบหย่าให้ข้าวเถอะนะคะ ข้าวขอร้องเถอะ”
“ข้าวก็อยู่ส่วนข้าว ส่วนฝ้ายก็อยู่ส่วนฝ้าย”
“เห็นแก่ตัวเกินไปไหมคะพี่เตชน์ และถ้าข้าวมีอีกคนแบบพี่เตชน์มี พี่โอเคไหมคะ”
“ข้าวเป็นเมียพี่ จะไปมีคนอื่นได้ยังไง พี่ไม่ยอม ข้าวเป็นผู้หญิงนะ ทำแบบนี้มันไม่ดี”
“อ้อ...แสดงว่าพี่ทำแล้วมันดีเหรอคะ เซ็นใบหย่าเถอะค่ะ ทุกอย่างระหว่างเราจะได้จบ”
“แล้วแม่พี่รู้รึยังเรื่องนี้”
“รู้ค่ะ คุณแม่ยอมรับการตัดสินใจของข้าว ตอนนี้เหลือแต่พี่เตชน์ เซ็นเถอะนะคะ ข้าวขอร้องพี่เตชน์ครั้งสุดท้ายได้ไหม ทำให้ข้าวแค่สิ่งนี้สิ่งเดียวได้ไหม”
“อยากหย่า อยากไปจากพี่มากขนาดนั้นเหรอข้าว?” เขาถามก่อนที่จะตัดสินใจ
“ค่ะ ข้าวขอร้องพี่เตชน์”
“ได้ ก็ได้ พี่จะเซ็นให้ข้าว ข้าวจะได้ไปใช้ชีวิตแบบที่ต้องการ เฮ้อ!” เขาถอนหายใจก่อนจะหยิบปากกามาเซ็นใบหย่าให้กับข้าวฟ่าง
“ขอบคุณนะคะที่ให้ความร่วมมือกับข้าว ข้าวขอตัวก่อนนะคะ ข้าวต้องกลับไปเช็กกระเป๋ากับเอกสารก่อนจะไปสนามบินค่ะ”
“บินกี่โมง พี่จะไปส่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่เตชน์ส่งข้าวตรงนี้ก็พอ ข้าวขอให้พี่กับเธอคนนั้นมีความสุขนะคะ ไม่มีข้าวแล้วคงจะมีความสุขแหละ ไปนะคะ” เธอหยิบใบหย่าแล้วหมุนตัวเดินจากไปพร้อมกับน้ำตาไหลอาบสองแก้มนวล
เตชน์มองตามแผ่นหลังเล็กของ ‘อดีตภรรยา’ ของตนเองเดินหายลับไปจากสายตาแล้วก็เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ยกมือนวดคลึงขมับ ก่อนจะเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์มากดต่อสายหาแม่ตนเอง
ตื๊ด! ตื๊ด! ตื๊ด!
รอสายไม่นานปลายสายก็กดรับพร้อมกรอกเสียงส่งกลับมา
‘มีอะไรตาเตชน์?’
“แม่รู้ไหมว่าข้าวเอาใบหย่ามาให้ผมเซ็น”
‘รู้สิ หนูข้าวมาบอกแม่ก่อนแล้ว และแม่ก็เข้าใจ เพราะลูกสองคนไม่ได้อยากแต่งงานกันแต่แรกแล้ว แม่คิดว่าหย่ากันน่ะดีแล้ว เพื่อที่ลูกสองคนจะได้ไปเจอคนที่ใช่ของตัวเอง’ นางต้องเอ่ยตอบกลับมาในสาย
“ข้าวเป็นเมียผมนะแม่ต้อง แล้วทำไมแม่ถึงไม่ห้ามข้าว”
‘คนไม่รักกัน ห้ามหรือรั้งไว้ก็ได้ไม่นานหรอกตาเตชน์ แค่นี้นะลูก แม่กำลังมือขึ้น’ แล้วนางก็รีบกดวางสายของลูกชาย
เตชน์มองโทรศัพท์ในมือเมื่อแม่ตัดสายตนเองทิ้ง ไม่บอกก็รู้ว่าคงชวนเพื่อนคุณหญิงคุณนายมาเล่นไพ่นกกระจอกที่บ้านเหมือนทุกครั้งนั่นแหละแม่เขา
เวลา 19.50 น.
ณ สนามบินสุวรรณภูมิ ข้าวฟ่างลากกระเป๋าเดินทางมายังจุดนัดพบกับเพื่อนสนิทที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาล และเพื่อนก็เป็นคนชวนไปทำงานที่เนเธอร์แลนด์ด้วย
“รอนานไหมตาล?” เธอเดินลากกระเป๋ามาหยุดด้านหลังเพื่อนพร้อมเอ่ยถาม
ตาลหมุนตัวมาหาเจ้าของต้นเสียงคุ้นเคยแล้วยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“ไม่นาน ตาลเองก็เพิ่งมาถึงเหมือนกัน ไปเช็กอินกันเถอะ”
“อือ...ไปกันเถอะ” แล้วสองสาวก็จับจูงมือกันเดิน ส่วนมืออีกข้างของสองสาวก็จับดึงลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่
อีกมุมหนึ่งของสนามบิน
เตชน์ยืนมองอดีตภรรยาเดินจับมือเพื่อนและลากกระเป๋าไปเช็กอิน เขาแอบตามมาส่องดูเธอด้วยความเป็นห่วง
“ข้าวของพี่โตแล้วสินะ” เขาพึมพำกับตนเองแล้วล้วงหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมากดเข้าแอปธนาคารแล้วโอนเงินเข้าบัญชีให้กับอดีตภรรยาของตนสองล้านบาท พอโอนเงินสำเร็จก็เก็บใส่กระเป๋ากางเกงเหมือนเดิมแล้วหมุนตัวเดินออกไปจากมุมที่แอบอยู่เพื่อกลับบ้าน
ทั้งสองสาวเช็กอินโหลดกระเป๋าแล้วก็เข้ามารอข้างใน ระหว่างรอสองสาวก็เล่นโทรศัพท์ ฟังเพลง ดูซีรีส์ฆ่าเวลา ข้าวฟ่างหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเห็นข้อความแจ้งเตือนยอดเงินเข้าบัญชีแจ้งเตือนบนหน้าจอก็กดเข้าดูไลน์ ก็เห็นยอดเงินที่ถูกโอนเข้ามาสองล้านบาท จึงเข้าแอปธนาคารเช็กดูว่าปลายทางมาจากไหน พอเห็นว่าเป็นอดีตสามีจึงรีบกดต่อสายโทรหาเขาเพื่อถาม
ตื๊ด! ตื๊ด! ตื๊ด!
รอไม่นานปลายสายก็กดรับสาย
“พี่เตชน์โอนเงินให้ข้าวทำไมคะ หรือค่าหย่าคะ”
‘ไม่ใช่ค่าหย่า พี่กลัวว่าเราไปอยู่ที่นั่นจะลำบากเลยโอนเงินให้’
“ข้าวมีเงินเก็บและเงินที่พ่อกับแม่ทิ้งไว้ให้ค่ะ ไปอยู่เนเธอร์แลนด์ไม่ต้องทำงานก็ยังได้ค่ะ เดี๋ยวข้าวโอนเงินคืนนะคะ”
‘เก็บไว้เถอะ ไม่ต้องคืนพี่ พี่อยากให้ ถึงโอนคืนมา พี่ก็จะโอนกลับไปให้ข้าวอยู่ดี’
“ได้ค่ะ งั้นข้าวจะเก็บไว้นะคะ และต่อไปนี้ห้ามโอนให้ข้าวอีกนะคะ ข้าวไม่อยากเกี่ยวข้องอะไรกับพี่เตชน์อีก”
‘ข้าวเกลียดพี่เหรอถึงไม่อยากเกี่ยวข้องกับพี่’
“ไม่ได้เกลียดค่ะ ก็เราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วตอนนี้ ไม่มีความจำเป็นที่ต้องเจอกันและเกี่ยวข้องกัน”
‘แต่ข้าวก็ต้องกลับมาบริษัทนะ บริษัทเป็นของข้าวอีกครึ่ง’
“ข้าวจะกลับมาแน่นอนค่ะตอนประชุมกลางปี แค่นี้นะคะ ข้าวจะขึ้นเครื่องแล้ว” แล้วเธอก็ตัดสายทิ้ง
“ทำไมเขาโอนเงินให้ข้าวอีก หย่ากันแล้วไม่ใช่เหรอข้าว” ตาลถามเพื่อนหลังจากฟังคำพูดเพื่อนก็พอจะจับใจความได้บ้าง
“เขากลัวข้าวไปลำบากน่ะ หลังจากขึ้นเครื่อง ข้าวกับเขาก็จะจบกันจริงๆ แล้ว ต่อไปนี้ก็ต่างคนต่างอยู่”
“อดีตสามีข้าวก็ดีอยู่นะเรื่องเปย์ แต่ติดอย่างเดียวไม่ซื่อสัตย์กับข้าว” ตาลเอ่ยกับเพื่อน
“จะพูดว่าไม่ซื่อสัตย์ไม่ได้หรอกตาล เธอคนนั้นมาก่อนข้าว เป็นข้าวที่มาแทรกกลางระหว่างพวกเขา หลังจากนี้พวกเขาก็จะได้อยู่ด้วยกันอย่างเปิดเผยแล้ว ไปกันเถอะ เขาเรียกขึ้นเครื่องแล้ว” แล้วข้าวฟ่างก็ลุกจากเก้าอี้ที่นั่ง ตาลเองก็ลุกขึ้นยืนตามแล้วสองสาวก็เดินไปตรวจตั๋วขึ้นเครื่อง