เซียงฉินจำไม่ได้ว่าตนเองโผล่มาอยู่ในสถานที่อันมืดมิดแห่งนี้ได้อย่างไร
ดวงจิตสุดท้ายก่อนจะสิ้นสุดลมหายใจ ระลึกได้ว่านางกำลังนั่งรถบัสของบริษัทไปท่องเที่ยวประจำปี จากนั้นก็เกิดอุบัติเหตุ ทุกอย่างดับมืดและสูญสลาย เธอปักใจเชื่อว่าตายอย่างนั้น…
ว่างเปล่าและมืดสนิท!
ความคิดแรกที่พุ่งพรวดเข้ามาในหัวสมอง หลังจากที่เซียงฉินกวาดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างมึนงง
ครั้นพอลองยื่นสองมือออกมาดู จึงได้รับรู้ว่าสิ่งที่คาดคิดไว้มิได้ผิดเพี้ยน สาวแว่นร่างหนา ยามนี้กลายเป็นดวงวิญญาณไปเสียแล้ว ภายในร่างกายเบาหวิวและโปร่งใสราวกับปุยเมฆ จนเรียกได้ว่า สามารถลอยล่องไปที่ไหนก็ได้ อย่างไม่ต้องออกแรงเลยสักน้อยนิด
การเป็นอยู่ในสภาพเช่นนี้ ถึงแม้จะรู้สึกเศร้าสลดอยู่ลึก ๆ ทว่าไม่หลงเหลือความอาวรณ์อันใดอีกแล้ว
หลังจากที่คุณตาคุณยายสิ้นใจจากไป เซียงฉินก็รู้สึกว่าความสุขบางอย่างที่เคยมีได้จากหายไปด้วย…
ยามเมื่อตัวคนเดียว เธอประสบปัญหาอย่างหนัก อดมื้อกินมื้อ ได้ลิ้มรสชาติของความขมขื่นอย่างแท้จริงในชีวิต
ทว่าการมีแรงสู้ต่อนั้นก็เท่ากับว่าเรายังมีลมหายใจอยู่ แม้ครั้งหนึ่งจะเป็นเพียงพนักงานตำแหน่งเล็ก ๆ แต่ทุกครั้งที่มองย้อนกลับไปก็รู้สึกภาคภูมิใจไม่น้อย
ช่วงชีวิตหนึ่งได้ทำเต็มที่แล้ว วัฏจักรของชีวิต ความจริงที่ไม่อาจหลีกหนี การเกิดแก่เจ็บตายย่อมเป็นเรื่องธรรมชาติ ร้องไห้คร่ำครวญไปก็เท่านั้น
ต้องขอบคุณหลวงจีนวัดหลิงซานที่คอยพร่ำสอนให้เซียงฉินผู้นี้รู้จักปล่อยวางและให้อภัย เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุ ชะตากรรมทั้งมวลล้วนกำหนดเอาไว้แล้ว
เซียงฉินล่องลอยไปเรื่อย ๆ ตามทางอย่างไร้จุดหมาย จวบจนหมอกควันสีขาวกลุ่มหนึ่งพัดผ่าน ภาพว่างเปล่าค่อย ๆ ปรากฏเลือนราง กลายเป็นภาพของสถานที่แห่งหนึ่งเข้ามาแทนที่
ความแปลกประหลาดเกาะกุมจิตใจ เซียงฉินกวาดตามองผู้คนที่กำลังเดินทะลุผ่านตัวนางพลางขบคิด ผู้คนที่นี่สวมเครื่องแต่งกายแบบโบราณ ประกอบกับบ้านเรือน ถนนหนทางและสิ่งก่อสร้าง ทุกอย่างล้วนเป็นแบบโบราณสมัยทั้งสิ้น
จริงอยู่ที่ตนเองกำลังเป็นวิญญาณ สามารถเคลื่อนไหวสะดวกว่องไว ลอยล่องไปไหนก็ได้อย่างอิสระสำราญใจ ทว่าการปรากฏกายในสถานที่พิสดารเช่นนี้ มันดูไม่แปลกไปหน่อยหรือ?
หรือจะเป็นเพราะเราคลั่งไคล้นิยายรักย้อนยุค จิตสุดท้ายจึงนำพาเรามาที่นี่…
ขณะกำลังครุ่นคิด วิญญาณของเซียงฉินก็ค่อย ๆ เคลื่อนคล้อยลอยผ่านบ้านเรือน โรงเตี๊ยมและหอสุรา ถึงแม้จะไร้ตัวตนบนดินแดนแห่งนี้ ทว่าโสตประสาทกลับใช้งานได้ดี หากจะกล่าวตามจริง นี่มันดียิ่งกว่าตอนมีชีวิตเสียอีก! ด้วยไม่ว่าจะลอยผ่านไปที่ใด ก็สามารถได้ยินเสียงคนพูดคุยกันเหมือนกับมีพลังวิเศษติดตัวมาอย่างไรอย่างนั้น
ที่นี่คือแผ่นดินต้าเว่ย ก่อตั้งบ้านเมืองมายาวนานพอสมควร ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันคือฮ่องเต้อิ้งจง ครองราชย์ในรัชสมัยที่เก้า พระองค์เป็นรัชทายาทสืบต่อทายาทกษัตริย์โดยตรงจากพระบิดาองค์ก่อน ตั้งแต่ฮ่องเต้รุ่นบุกเบิกจนถึงฮ่องเต้รัชสมัยที่เจ็ด บ้านเมืองก็พบเจอกับปัญหาวุ่นวาย เกิดสงครามข้ามแดน ถูกจับเป็นเชลย เสียเลือดเสียเนื้อ ผู้คนมากมายสังเวยชีวิตเพื่อใต้หล้า ทว่าในรัชสมัยที่แปด ทุกอย่างกลับสงบสุข กษัตริย์แข็งแกร่ง ไร้ปัญหาระหว่างดินแดน ส่งผลให้ฮ่องเต้อิ้งจงกลายเป็นกษัตริย์ที่สมบูรณ์แบบตามแบบแผนที่วางไว้ จวบจนบัดนี้พระองค์ครองราชย์มาร่วมสิบปีแล้ว
ข้อมูลเหล่านี้ เมื่อเซียงฉินนำมาปะติดปะต่อจึงได้เข้าใจ สถานที่แห่งนี้มีตัวตนอยู่จริง ที่นี่มิใช่โลกของวิญญาณ ทว่าเป็นมิติของโลกอดีต ที่ให้นางย้อนเวลากลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง
ในเมื่อโอกาสอยู่ตรงหน้าแล้ว เหตุใดจึงไม่คว้าไว้เล่า!
"เซียงฉิน…เซียงฉิน…"
เสียงใสก้องประดุจน้ำตกดังแว่ววนเวียนอยู่ข้างหู เซียงฉินหันขวับมอง ทว่าไม่พบผู้ใด
เสียงนั้นราวกับมีกระแสอานุภาพบางอย่างที่มีอาจอธิบายได้ ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ จิตใจกระสับกระส่าย บางครั้งร้อนรุ่มเหมือนถูกยาพิษแผดเผาหัวใจ บางครั้งเย็นสบายเหมือนลอยตัวอยู่ในลำธารกลางหุบเขาฤดูร้อน
"นั่นใคร? เรารู้จักกันมาก่อนเหรอ"
เซียงฉินตะโกนถาม ขณะกำลังลอยล่องไปตามต้นตอของเสียง ผ่านถนนสายหลัก ร้านค้า บ้านเรือนหลายหลัง จนกระทั่งมาหยุดหน้าจวนหลังหนึ่ง
"ส กุ ล ห ลั ว" เซียงฉินขยับริมฝีปากค่อย ๆ อ่านตามตัวอักษรสีทองที่เขียนไว้บนป้ายแขวนขนาดใหญ่ ก่อนจะเดินทะลุกำแพงเข้าไปด้านในอย่างคล่องตัว
นัยน์ตาว่างเปล่าของเซียงฉินกวาดมองรอบจวน เห็นบ่าวใช้มากมายเดินสวนกันขวักไขว่ รู้สึกไม่แปลกใจ จวนใหญ่โตโอ่อ่าเช่นนี้ คงจะรวยน่าดูละสิท่า จู่ ๆ ก็บังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา หากตอนมีชีวิตอยู่รวยอย่างนี้ก็คงจะดีไม่น้อย…
"เซียงฉิน…เซียงฉิน…"
เสียงนั่นดังขึ้นอีกแล้ว!
และดูเหมือนจะใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ดังชัดเจนมากขึ้นทุกที เซียงฉินมุ่งหน้าไปยังทิศทางของเสียงโดยไม่สนใจอะไรอีก
เธอลอยไปตามทางเดินพื้นปูหิน ทะลุผ่านประตูโค้งวงพระจันทร์หลายประตู ก่อนจะหยุดที่ปลายทางเดินเส้นหนึ่ง
ที่นี่คือสวนพฤกษาตั้งอยู่ในส่วนที่ห่างไกลจากประตูใหญ่และตั้งอยู่ท้ายสุดของจวนแห่งนี้
เสียงนั้นเงียบลงแล้ว…
ทว่าภาพตรงหน้ากลับดึงดูดให้เซียงฉินลอยไปหา
หญิงร่างบางอรชรกำลังนอนไม่ได้สติอยู่บนพื้นหญ้า ชุดกระโปรงสีฟ้าที่สวมใส่แนบเนื้อเปียกปอนไปทั้งตัว ชายหนุ่มที่อยู่กับนางมีท่าทางร้อนรนกระวนกระวายใจ ใช้สองมือใหญ่เขย่าร่างแบบบาง ร้องเรียกชื่อนางซ้ำ ๆ
“ฟางฉี! เจ้าอย่าเป็นอะไรไปเลยนะ เจ้าฟื้นขึ้นมาสิ ฟางฉี!!!”
เซียงฉินเฝ้ามองเหตุการณ์นี้ รู้สึกเวทนาสงสาร อดมิได้รำพันออกมา "ฟางฉี…ชะตากรรมของเราช่างคล้ายคลึงกัน ประสบอุบัติเหตุไม่คาดคิด ต่างกันเพียงเกิดคนละยุคเท่านั้น”
“ใช่! หมดเวลาของข้าแล้ว”
เสียงแผ่วเบากระซิบข้างหูดังแทรกขึ้นมา พร้อมด้วยกระแสอบอุ่นระลอกหนึ่ง
เซียงฉินเบิกตาโพลงตื่นตกใจ ครั้นพอหันหลังกลับไปมอง ก็เห็นเป็นหญิงสาวรูปโฉมงาม ดวงหน้าอิ่มเอิบเปล่งปลั่งกำลังยืนระบายยิ้มจาง ๆ ที่ดูแล้วงดงามและน่าหวาดผวาในคราวเดียวกัน เซียงฉินมองนางสลับไปมากับร่างซีดขาวที่นอนสลบแน่นิ่งอยู่บนพื้นหญ้า
รับรู้ในทันทีว่า…นางคือคนเดียวกัน!
"หมดเวลา? " เซียงฉินขมวดคิ้ว ถามย้ำอีกครั้ง
หลัวฟางฉีเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงยืดยานและเนิบช้า “แม่นางสัญญากับข้าได้หรือไม่ ว่าจะช่วยดูแลมารดาและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในภพภูมินี้”
"ดะ ได้" ยามสติสัมปชัญญะหลุดลอย เซียงฉินพยักหน้าตอบตกลงอย่างไม่รู้ตัว
หลัวฟางฉีแย้มยิ้ม ประกายในดวงตาเปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างยิ่ง
ทันใดนั้นเอง ไม่ทันได้ระวังตัวจากทางด้านหลัง วิญญาณของเซียงฉินก็ถูกผลักล้มลงไปทาบทับร่างของคุณหนูสี่สกุลหลัว ถูกยึดตรึงดวงวิญญาณเอาไว้โดยสมบูรณ์
เซียงฉินร้องเรียกให้หลัวฟางฉีช่วย พยายามดิ้นรนอยู่เนิ่นนาน แต่ก็ไม่เป็นผล
จนกระทั่งแสงสว่างโร่มวลมหาศาลพุ่งถาโถมเข้ามา หลอมรวมร่างและจิตวิญญาณของทั้งสองเอาไว้ด้วยกัน ทุกอย่างพลันดับมืด เซียงฉินหมดสติลงในที่สุด…