‘ฝากไว้ก่อนเถอะพี่เสือ’ ชายหนุ่มก่นด่าพี่ชายตัวเองในใจ
คเชนทร์ละสายตาจากรุ่นพี่กลับมาที่หญิงสาวอีกครั้ง “หนูนาทำงานต่อเถอะ เดี๋ยวพี่จัดการเขาเอง”
นาราพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มสดใส
“ค่ะ”
พอเอ่ยกับหญิงสาวจบก็หันมองรุ่นพี่ต่อ “ส่วนพี่...” ใบหน้าหล่อพยักพเยิดน้อยๆ “ถ้าอยากจะคุยอะไรกับผมมากนักก็ตามขึ้นไปคุยข้างบนครับ”
สิ้นประโยคของรุ่นน้องก็สร้างความดีใจให้พายุจนแทบอยากจะกู่ร้องออกมาเสียงดังๆ แต่ทำได้เพียงแค่กระตุกยิ้มเบาๆ ที่มุมปากเท่านั้น
ดีใจต่อได้ไม่นานก็ต้องรีบก้าวฉับๆ ผ่านหน้าเคาน์เตอร์ต้อนรับตามหลังคเชนทร์ที่เดินหายเข้าไปในประตูก่อนแล้ว โดยไม่คิดจะรอเขาเลยสักนิด
“ส้มตำไก่ย่างมาแล้วหมอหนูนา...”
ยังไม่ทันที่เขาจะได้ผ่านประตูเข้าไป เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเสียก่อน พอเขาหันไปก็เห็นว่าคนที่ถูกเรียกชื่อยืนฉีกยิ้มแป้นให้คนเข้ามาใหม่อย่างน่ารัก
“อะแฮ่ม!” เสียงกระแอมทำให้เขาต้องหันกลับไปที่ต้นเสียง
คเชนทร์ยืนอยู่ตรงบันไดขั้นที่สอง หรี่ตามองอย่างรู้ทัน
“พี่ห้ามมาเจ๊าะแจ๊ะกับสัตวแพทย์ผมเด็ดขาด”
พายุหันกลับมาที่รุ่นน้อง “เออน่า แกนี่เห็นฉันเป็นคนยังไงเนี่ย” เขาตอบปัดๆ แบบขอไปที
คเชนทร์ส่ายหน้าช้าๆ เพราะเขารู้มากนี่แหละว่ารุ่นพี่คนนี้มีนิสัยยังไง ถึงได้พูดดักคอไว้ก่อน แล้วหมุนตัวหันหลังกลับแล้วเดินขึ้นบันไดไปบนชั้นสอง โดยมีรุ่นพี่เดินตามหลังมาเงียบๆ
พอเดินขึ้นมาบนชั้นสองซึ่งถูกซอยเป็นห้องย่อยๆ ออกไปอีกสามห้อง แต่ละห้องจะเป็นผนังกระจกใสให้สามารถเห็นภายในได้ชัดเจน ก่อนที่จะหยุดอยู่หน้าห้องห้องหนึ่ง
มือหนาข้างหนึ่งเอื้อมมือไปเปิดประตูบานเลื่อนออกแล้วแทรกตัวเข้าไปภายใน ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งบนพื้น เบื้องหน้ามีคอกลูกสุนัขแรกเกิดกำลังนอนหลับอย่างสุขใจอยู่สองตัว
พายุที่เดินตามรุ่นน้องเข้ามานั้นต้องกวาดสายตาไปรอบๆ ห้องเล็กๆ โล่งๆ ก่อนเดินมาชะโงกไปดูลูกสุนัขตัวจิ๋วสองตัวนอนเกยแข่งกันหลับอุตุอยู่ข้างใน หยุดยืนนิ่ง ทอดสายตามองคเชนทร์กำลังช้อนลูกสุนัขตัวหนึ่งขึ้นมาอุ้มไว้แนบอก จากนั้นหยิบขวดนมเล็กๆ ที่เตรียมไว้แล้วมาจ่อปากลูกสุนัข พอจุกนมสัมผัสที่ปากเล็กๆ เท่านั้นแหละปากเล็กก็รีบงับจุกดูดนมในทันทีด้วยความน่ารักจนเขาเผลอยิ้มตาม
“นี่ถ้าฉันไม่มาเห็นกับตาคงไม่เชื่อจริงๆ นะว่าคนไร้สาระอย่างแกจะเปิดมูลนิธิเป็นเรื่องเป็นราวถึงขนาดนี้” เขาเอ่ยติดตลกพร้อมกับนั่งลงข้างๆ รุ่นน้อง
น้อยคนนักที่จะมีโอกาสได้เห็นคเชนทร์ในเวอร์ชั่นของหนุ่มกะล่อน ยียวน กวนประสาท มีเพียงคนครอบครัวและเพื่อนสนิทมากๆ เท่านั้นที่ได้เห็นมุมนี้ของเขา ส่วนคนภายนอกนั้นจะเห็นเขาในมาดของนายแพทย์คเชนทร์ วชิรจักร ทายาทตระกูลดัง หนุ่มหล่อตี๋ผู้มีความสุขุมลุ่มลึก เป็นถึงศัลยแพทย์ที่น่าเกรงขามและได้รับยกย่องในเรื่องความเก่งกล้าสามารถคนหนึ่งของวงการแพทย์
คเชนทร์ตวัดหางตาใส่รุ่นพี่แล้วถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนก้มลงมาให้ความสนใจกับลูกสุนัขในอ้อมแขนต่อ “เข้าเรื่องเลยพี่ยุ”
พายุนิ่งไปอึดใจ จากนั้นเริ่มกล่าวถึงสาเหตุที่เขาต้องมาตามหาเจ้าตัวถึงที่นี่ “ก็เรื่องที่ฉันขอให้แกไปช่วยงานที่โรงพยาบาลสาขาใหม่แทนหมอคนเก่าที่เพิ่งลาออกไปเรียนต่อ ตกลงแกตัดสินใจได้หรือยัง”
คเชนทร์ไม่แปลกใจกับคำถาม เพราะรู้อยู่แล้วว่าพายุจะมาหาเพราะเรื่องอะไรไปไม่ได้เลย นอกจากขอให้เขาย้ายไปประจำการที่โรงพยาบาลสาขาใหม่ในเครือพัชรกานต์แพทย์ ทางแถบภาคเหนือที่เปิดให้บริการได้ไม่ถึงปีเป็นการชั่วคราว ในระหว่างที่รอรับสมัครศัลยแพทย์คนใหม่ มาประจำการแทนคนเก่าที่ลาออกไปเรียนต่อต่างประเทศ
“ฉันมองไม่เห็นใครแล้วจริงๆ อาจารย์หมอที่โรงพยาบาลก็มีแต่คนมีครอบครัวแล้วทั้งนั้น แกจะให้ฉันไปบังคับให้เขาย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด มันก็ดูใจร้ายไปหน่อย อีกอย่างแกรู้ระบบงานของโรงพยาบาลเราดีกว่าใคร เพราะงั้นแกเลยเหมาะสมที่จะรับงานนี้ที่สุด” พายุเอ่ยเสียงอ่อยเมื่อเห็นว่ารุ่นน้องยังมีท่าทีนิ่งงัน
ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยโน้มน้าวต่อ ลูกสุนัขที่เคยอยู่ในอ้อมแขนของรุ่นน้องก็ถูกนำมาวางลงบนตักของเขา พายุหรี่ตามองรุ่นน้องที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กำลังเอาลูกสุนัขอีกตัวมากินนมต่อ จนเขาได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ
กระทั่งเสียงที่เงียบหายไปนานก็ตอบกลับมาเรียกรอยยิ้มดีใจให้เขาได้ไม่น้อย
“ผมยอมช่วยพี่ก็ได้” คเชนทร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบคงเดิม ถึงแม้จะไม่ได้เต็มใจช่วยร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เถอะ
ด้วยความดีใจจนออกนอกหน้านอกตาไปหน่อย พายุจึงลืมตัวเผลอยกเจ้าลูกสุนัขชูขึ้นจะร้องไชโย คเชนทร์ที่สายตาว่องไวกว่ารีบเอื้อมมือออกไปคว้าลูกสุนัขมาอุ้มไว้เองอย่างหวงๆ
“เล่นอะไรของพี่เนี่ย เดี๋ยวหมาผมก็ตายกันพอดี”
พายุมีรอยยิ้มกว้างประดับบนใบหน้า
“โทษๆ คนมันดีใจไปหน่อย ก็แกบ่ายเบี่ยงฉันมาตลอด แกรู้ไหมว่าแกทำให้ฉันเครียดจนไมเกรนกำเริบมาหลายวันแล้ว”
เขาพูดพลางเอื้อมมือไปลูบหัวของลูกสุนัขที่อยู่ในมือรุ่นน้อง
“ผมยอมช่วยพี่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ แล้วพี่ก็รีบๆ หาคนมาแทนผมเร็วๆ ด้วยล่ะ”
พายุพยักพเยิดหน้า ตอบส่งๆ ออกไปก่อน “เออน่า แกก็ให้เวลาฉันหน่อยสิวะ หาคนไปทำงานต่างจังหวัดแบบนั้น ใช่ว่าจะหากันง่ายๆ นะเว้ย ถ้าเงินไม่ถึงพอ”
“โรงพยาบาลพี่ปีๆ หนึ่งได้กำไรไปตั้งเท่าไร พี่ยังจะขี้งกอีกเหรอ” คเชนทร์ว่าเข้าให้ด้วยน้ำเสียงและใบหน้านิ่งๆ
พายุแยกเขี้ยว ถลึงตาใส่รุ่นน้อง ถอนหายใจแรงๆ ระบายอารมณ์พร้อมกับเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง
“แล้วคุณหญิงย่าแกจะไม่ว่าอะไรใช่ไหม”
คำถามของท่านรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง เรียกรอยยิ้มมุมปากเจ้าเล่ห์เคลือบแฝงความร้ายลึกของคเชนทร์ได้เป็นอย่างดี
“ก็พี่ยุไงต้องเป็นคนไปคุยให้ผม” เขาพูดพลางเอาเจ้าลูกสุนัขทั้งสองตัวกลับเข้าคอกตามเดิม แล้วหันไปตบไหล่รุ่นพี่แรงๆ สองที “ฝากด้วยนะครับพี่” เอ่ยพร้อมรอยยิ้มอารมณ์ดีผิดกับก่อนหน้า เดินตัวปลิวออกจากห้องไปทันที
ปล่อยให้คนที่ได้ฟังคำตอบหน้าเหวอไปเสี้ยวนาที แล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเหยเก รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงใบหน้าดุๆ ของคุณหญิงอัปสร วชิรจักร
‘นี่เขาคิดถูกหรือคิดผิดที่ขอร้องให้มันช่วยวะเนี่ย’