ท่ามกลางผู้คนที่กำลังเดินจับจ่าย สตรีมีผ้าปิดครึ่งใบหน้ากำลังทอดสายตามองไปยังบุรุษรูปงามที่กำลังเดินสำรวจร้านค้าที่รับสินค้าของเขามาวางขายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ร่างน้อยในอาภรณ์สีหม่นแอบวิ่งหลบตามเสาบ้าง ร้านค้าบ้างช่างเป็นภาพขบขันสำหรับจางซือหลงยิ่งนัก
จ้าวฟางหลินคิดว่าตนเป็นสายลับของทางการหรืออย่างไรถึงได้ทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ตามเขาเช่นนั้น นางคงไม่รู้ตัวหรอกว่าตนเองนั้นตลกมากเพียงใด ผ้าปิดหน้าผืนบางนั้นปิดบังความงดงามของนางไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
จางซือหลงหยุดหน้าร้านเครื่องประดับพร้อมกับจ่ายเงินให้กับพ่อค้า โดยไม่ทันระวังก็มีแรงกระแทกจากด้านข้างทำให้เขาต้องรีบเก็บของที่ซื้อไว้ใต้เสื้อ
“เจ็บตรงที่ใดหรือไม่ ขออภัยข้าไม่ทันได้ระวัง”
เขาถามสตรีร่างผอมบางที่คล้ายกับกำลังอ่อนแรง
“ขออภัยคุณชายด้วยนะเจ้าคะ เป็นข้าที่หน้ามืดเอง”
หญิงงามหน้าซีดพยายามคลี่ยิ้มให้แก่บุรุษตรงหน้า นางไม่ได้ถอยหนีแต่บอกเหตุผลที่ตนนั้นชนเขา
“นั่งพักด้านในก่อนเถิด ข้าจางซือหลง ข้าก็มีส่วนผิดที่เดินไม่ระวัง” เพราะมัวแต่มองสินค้าจึงทำให้ไม่ได้สังเกตผู้คนรอบข้าง สตรีผู้นี้ดูคล้ายกำลังป่วย ริมฝีปากซีดนั้นพอจะทำให้เขาสังเกตได้
หญิงงามนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างร้านเครื่องประดับขณะที่สายตาสำรวจมองบุรุษตรงหน้า
“ข้ามีนามว่าเถียนเถียนเจ้าค่ะ ขอบคุณคุณชายที่ช่วยเหลือ”
นางกล่าวแนะนำตนเองเมื่อเห็นว่าเขาหันไปสนใจสินค้าต่อไม่ได้ชวนนางสนทนา จางซือหลงทำเพียงพยักหน้ารับแต่ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อ
อีกฟากของคนที่กำลังนั่งมองจางซือหลงวิ่งพรวดออกจากที่ซ่อนเมื่อเห็นว่ามีสตรีจงใจยั่วยวนเขา นางตามเขาอยู่มาสักระยะ คิดไว้ไม่ผิดว่าสตรีต้องเข้ามาทอดสะพานให้เขา สตรีผู้นั้นก็เช่นกันทั้งที่เมื่อก่อนหน้ายังดี ๆ จะเซหาจางซือหลงได้อย่างไร
“พี่หลง!” เสียงหวานตะโกนเรียกพร้อมทั้งโบกมือให้บุรุษชุดขาวที่หันมามองนางด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย
“คุณหนูเหตุใดรีบวิ่งนักเจ้าคะ” สาวใช้รีบวิ่งตามพร้อมกับส่งเสียงห้ามคุณหนูของตน
เจ้าของใบหน้างดงามหอบเล็กน้อยเมื่อวิ่งถึงตัวจางซือหลง มือน้อยเกาะแขนกำยำเพื่อพยุงตนเอง
พักหายเหนื่อยได้ชั่วครู่นางก็ดึงจางซือหลงให้ออกห่างจากเถียนเถียนที่กำลังนั่งมองเขาไม่วางตา สตรีด้วยกันย่อมมองออกว่าสายตาเช่นนี้มันคือการทอดสะพานให้บุรุษ
“สตรีผู้นั้นจงใจยั่วยวนพี่หลงของข้า เมื่อครู่นางยังดี ๆ อยู่เลย ชิ ช่างร้ายกาจนัก” นางเห็นทุกอย่างมาตั้งแต่ต้น
เถียนเถียนก้มหน้าเหมือนจะร้องไห้ ไหล่บอบบางทั้งสองข้างห่อเข้าหาตัวประหนึ่งกลัวนางทำร้าย
“คุณหนู คุณหนูอย่าวิ่งนะเจ้าคะ!” สาวใช้ตามมาบ่นไม่ลดละแม้จะหอบหายใจแรง ๆ ไม่ต่างจากนายของตนก็ตาม
“เจ้ากล้าดีอย่างไรมายั่วยวนพี่หลงของข้า เดินอยู่ดี ๆ ก็เซไปชนพี่หลงง่าย ๆ อย่าคิดว่าข้าไม่เห็น”
จ้าวฟางหลินเอ่ยไปตามที่เห็นโดยไม่สนว่าอีกฝ่ายนั้นจะแสดงสีหน้าเช่นไร
“ฟางหลินเจ้าเสียงดังเกินไปแล้ว” จางซือหลงกระตุกเอวคอดกิ่วเข้าหาตัวเพื่อเตือนสติของนางว่าเริ่มกล่าวดังมากเกินไป
เรื่องเล็กน้อยเขาไม่คิดถือสาหาความ จ้าวฟางหลินเองก็เคยทำมากกว่านี้หลายเท่า เขายังไม่เคยต่อว่านางสักครั้ง
“นางตั้งใจล้มใส่ท่านนะเจ้าคะ” ใบหน้างามเริ่มงออย่างขัดใจ
“ข้าจำได้ว่าเจ้าก็เคยกระทำเช่นนางมาก่อน”
น้ำเสียงนั้นไม่ได้ตำหนิแต่เตือนสติว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร จะแกล้งหรือจริงเขาก็ไม่คิดจะสนใจสตรีอยู่แล้ว
“พี่หลง!” เสียงหวานเรียกเขาหน้าบึ้งตึง ใบหน้าร้อนผ่าวอย่างอับอายที่โดนบุรุษต่อว่า
“ขออภัยข้าไม่ได้ตั้งใจเข้าใกล้คนรักของท่านเจ้าค่ะ เมื่อครู่ข้าเพียงหน้ามืด” เถียนเถียนลุกขึ้นกล่าวด้วยท่าทางอ่อนน้อม
จางซือหลงอดประหลาดใจไม่ได้ ปกติหากโดนหาเรื่องคนทั่วไปย่อมเถียงกลับแล้ว
“อย่าคิดว่าข้าจะหลงเชื่อมารยาของเจ้าหรอกนะ เมื่อครู่ยังหัวเราะกับสาวใช้ของตนได้เพียงสี่ก้าวเดินหน้ามืดเลยหรือ”
ให้ตายอย่างไรนางก็ไม่เชื่อเป็นอันขาด
“เอาเถอะฟางหลิน เจ้าตามข้ามามีเรื่องใดอยากกล่าวหรือไม่”
เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาคนกลางเช่นเขาจึงต้องหันมาถามสตรีเอาแต่ใจข้างกาย
“ข้าจะชวนพี่หลงไปร้านก๋วยเตี๋ยวเปิดใหม่เจ้าค่ะ ได้ยินว่ารสชาติดีจนลูกค้าแน่นร้าน” เห็นอีกฝ่ายยอมหันมาสนใจนางก็บอกถึงจุดประสงค์ของตนเอง
ร้านเปิดใหม่รสชาติดีจนผู้คนเลื่องลือ นางอยากไปลองทานพร้อมกับคนรัก ยามออกเรือนหรือมีลูกจะได้เอาไปเป็นเรื่องเล่าให้ฟังได้ว่าบิดามารดาเคยมาเกี้ยวกันที่ร้านนี้
“ข้าไม่ชอบคนหนาแน่น” เรื่องอาหารเขาไม่ติดแต่เรื่องผู้คนเขาไม่ชอบ
“พี่หลงเจ้าขาไปกับหลินเอ๋อร์นะเจ้าคะ วันเดียวเท่านั้นเจ้าค่ะ”
นางกระตุกแขนอ้อน คนแน่นก็แสดงว่ารสชาติดี นางอยากลองชิมสักครั้ง
แม้จางซือหลงไม่ชอบสถานที่ผู้คนรวมกันมากแต่นางขอลองครั้งเดียวเท่านั้น วันหน้านางมานั่งทานคนเดียวก็ย่อมได้ วันนี้ขอให้นางสักวันเถิด