Chapter 7 ใจอ่อน
แข้งขาเริ่มอ่อนแรงเหนื่อยล้าจนไม่อาจฝืนวิ่งได้อีกต่อไป นางค่อยๆ ก้าวเดินด้วยหัวใจหนักอึ้งราวกับกำลังถูกถ่วงด้วยหินหนัก ค่อยๆ จมจ่อมลงไปยังก้นบึ้งของห้วงมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ อึดอัดคับแน่นจนตื้อตันราวกับจะหายใจไม่ออก นางเปล่งเสียงสะอื้นไห้จนตัวโยน ไหล่บางสั่นเทิ้มระริกฉายชัดว่านางกำลังเจ็บปวด
เวลานี้...นางบอบบางราวกับแก้วร้าวที่กำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เสียกระนั้น
“นะ...นายท่าน ฮึก...ฮึก...ฮือ”
สองเท้าเปลือยเปล่าเริ่มมีรอยริ้วขีดข่วนจากหนามแหลมคมและเศษกรวดจนเลือดไหลซึมเปรอะเปื้อน
“นะ...นายท่านเจ้าขา ยะ...อย่าทิ้งข้า อย่าทิ้งข้าไปเลย กลับมาหาข้าเถอะเจ้าค่ะ ข้าสัญญาว่าจะเชื่อฟังท่านทุกอย่าง ข้าจะเป็นบ่าวที่ซื่อสัตย์และภักดี จะไม่ทำให้ท่านต้องขุ่นเคืองใจ ได้โปรด...”
ยิ่งนางร้องไห้เหล่าต้นไม้น้อยใหญ่ก็ยิ่งสั่นไหวคล้ายกับรับรู้ความเจ็บปวดของนาง บางต้นถึงกับปลิดปลิวทิ้งใบร่วงหล่นราวกับจะยืนต้นตายเสียกระนั้น ต้นหญ้าและเหล่าดอกไม้นานาชนิดพากันโศกสลดโน้มช่อดอกปักลงผืนดินอย่างทอดอาลัย
“ฮะ...ฮึก...นายท่าน”
แม้นางจะอยากทรุดตัวลงด้วยความเหนื่อยอ่อนเพียงใด แต่นางก็ยังคงกัดฟันเดินต่ออย่างไม่ยอมหยุดพัก
“นะ...นายท่านได้โปรดเมตตา”
ล่วงเลยจนพระอาทิตย์บ่ายหน้าลงลับเหลี่ยมเขา แสงสว่างค่อยๆ เลือนหายแทนที่ด้วยความสลัวที่ค่อยๆ ปกคลุมผืนป่า แสงสว่างจางหายไปพร้อมกับความหวังของบุปผานารีผลที่ค่อยๆ สูญสิ้น
“นายท่านคงไม่กลับมาหาข้าแล้ว”
นางสะอื้นฮักปริ่มว่าจะขาดใจ ไม่คิดเลยว่าการถูกทอดทิ้งจะทำให้ปวดร้าวราวกับก้อนเนื้อที่อกข้างซ้ายจะแตกสลาย นางยกหลังมือขึ้นเช็ดหยาดน้ำตาอย่างลวกๆ จังหวะนั้นเองทำให้นางสะดุดเถาวัลย์
โครม!
คนตัวเล็กล้มกลิ้งลงไปกับพื้นดินลาดชันด้วยความเร็ว นางไม่สามารถเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่ไม่เคยประสบพบเจอ แรงเหวี่ยงทำให้นางไม่อาจเกาะเกี่ยวสิ่งใดเพื่อหยุด จนกระทั่งเห็นว่าเบื้องหน้าคือผาสูงชัน นางจึงได้แต่ปิดเปลือกตาเอาไว้แน่นด้วยความหวาดกลัว
‘ข้าช่างอาภัพนัก เป็นบุปผานารีผลที่เกิดได้เพียงวันเดียวก็จะตายเสียแล้ว’
หยาดน้ำตาร่วงรินอย่างปลดปลง ในเมื่อไม่มีใครต้องการนาง แล้วนางจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่อสิ่งใดกัน เมื่อคิดได้ดังนั้นนางก็ปล่อยร่างให้ไหลกลิ้งไปโดยไม่คิดจะพยายามทัดทานอีกเลย
“ลาก่อนเจ้าค่ะนายท่าน หากชาติภพมีจริงขอให้ข้าได้พบกับนายท่านในสักวันหนึ่ง...”
เมื่อกลิ้งมาถึงขอบหน้าผาสูงชันร่างบอบบางเคว้งคว้างลอยละล่องอยู่ในอากาศก่อนจะร่วงหล่นลงสู่พื้นดินอย่างรวดเร็ว อีกไม่กี่ถึงอึดใจนางก็จะตกลงกระแทกพื้นเบื้องล่าง เรือนกายคงแหลกเละ กระดูกคงหักเป็นท่อนๆ แทบเป็นผุยผง ความเจ็บปวดทรมานคงบีบรัดจนกระชากดวงวิญญาณให้หลุดลอย
อนิจจา...ตัวข้าช่างน่าสมเพชเหลือเกิน
ข้ากำเนิดจากต้นไม้ใหญ่ที่หยั่งรากลงสู่ดิน ก็คงถึงเวลาแล้วที่จะกลับคืนสู่ธรรมชาติ ไม่มีค่าให้ใครจดจำ ไม่มีค่าให้ใครต้องคิดถึง
จบสิ้นแล้ว!
หยาดน้ำใสแห่งความโศกเศร้าไหลออกมาจากหางตา หัวใจปวดแปลบ ขณะที่ในอกสะอื้นฮักจนตัวโยน ทว่า...
นานแล้ว แต่ทำไมนางถึงยังไม่ตกลงสู่พื้นดินเสียที แต่กลับรู้สึกอบอุ่นราวกับถูกกอดกระชับเอาไว้ด้วยสัมผัสอ่อนโยน ระ...หรือว่าวิญญาณของนางได้หลุดออกจากร่างเรียบร้อยแล้ว นางถึงได้รู้สึกเบาหวิวเคว้งคว้างอย่างไร้จุดหมายเช่นนี้
ผลไม้สาวค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นด้วยความงุนงง ขมวดคิ้วเข้าหากันจนแทบชิดเมื่อเห็นใบหน้าของผู้เป็นเจ้านาย อีกทั้งนางยังอยู่ในอ้อมกอดของเขาอีกด้วย
“นายท่าน!”
คนตัวเล็กเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ยกสองแขนขึ้นกอดรัดรอบลำคอของเทพภูเขาเอาไว้แน่น นางสะอึกสะอื้นร้องไห้อย่างเสียขวัญ ไหล่บอบบางสั่นเทิ้ม ร่างกายเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อและคราบไคลดิน ทว่ากลิ่นหอมรัญจวนเย้ายวนยังคงกรุ่นกายไม่จางหายไป
“ข้าคิดว่าข้าคงจะตายโดยไม่ได้พบนายท่านอีกแล้ว”
“...”
จ้าวฉงซานไม่ตอบ เขาทำเพียงยืนนิ่งโดยอุ้มร่างบางเอาไว้แนบอกแกร่ง บังคับร่างให้ลอยลงสู่พื้นดินแผ่วเบาโดยไม่ทำให้คนตัวเล็กได้รับแรงกระทบกระเทือนไปมากกว่านี้
ใช่! ข้าใจอ่อน!
ใช่! ข้าพ่ายแพ้ต่อบุปผานารีผลตนนี้
สวรรค์! เยาะเย้ยข้าสิ! หัวเราะให้กับความโชคร้ายของข้า เอาเลย! ทับถมมาเลย!
ข้ายอมรับว่าข้าไม่ได้หนีหายไปไหน ข้าแค่หายตัวแล้วเดินตามนางไปทุกหนทุกแห่ง หวังจะให้นางเปลี่ยนใจตามหาเจ้านายคนใหม่ ทว่าหญิงสาวตัวเล็กที่แสนบอบบาง วิ่งร้องไห้ทั้งน้ำตาเรียกหาเขากว่าหลายชั่วยาม
อยากรู้นักว่าจะมีบุรุษผู้ใดทนได้บ้าง!
ต่อให้เขาแสร้งใจแข็ง ใจดำ ไม่แยแสผู้ใดมากว่าแสนปี กลับไร้ความหมาย บุปผานารีผลตนนี้สามารถพังทลายกำแพงน้ำแข็งที่เขาก่อขึ้นไปในชั่วพริบตา
หมดสิ้นแล้ว!
ฮึก...
เสียงสะอื้นจากหญิงสาวในอ้อมกอดเรียกสติของเซียนอาวุโสให้กลับคืนมา เขากลืนก้อนแข็งลงคออย่างยากลำบาก นับจากนี่เขาจะจัดการกับสิ่งมีชีวิตในอ้อมกอดอย่างไรดี
“เจ้าเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า”
“ข้าเจ็บ...ที่หัวใจเจ้าค่ะ”
ใบหน้าหวานบิดเบี้ยวเหยเก ปลายจมูกแดงระเรื่อ ดวงตาคลอน้ำใสไหลเผาะเป็นสาย ก่อนที่นางจะซุกหน้าเข้าหาอกกว้างจนเซียนอาวุโสรับรู้ได้ถึงหยาดน้ำตาที่เปียกซึมลงบนแผงอกหยดแล้วหยดเล่า
คำตอบของนางทำให้เทพอาวุโสจ้าวฉงซานถึงกับนิ่งอึ้ง ก่อนจะค่อยๆ ทรุดกายลงนั่งบนโขดหิน โดยมีหญิงสาวที่กอดรัดรอบคอไม่ยอมปล่อยราวกับลูกลิงห้อยโหนติดแม่ลิงก็ไม่ปาน
ฮึก...
นางนั่งอยู่บนตักเขา ยังคงซุกหน้าเข้ากับแผงอกกว้างแล้วร้องไห้ไม่หยุด เขาจึงตัดสินใจปล่อยนางไว้เช่นนั้น อย่างไม่รู้ว่าจะจัดการหยาดน้ำตาบนใบหน้าของหญิงสาวให้หมดไปได้อย่างไร