คฤหาสน์กลางเมืองหลังโออ่าตกแต่งด้วยสไตล์ฝรั่งเศสผสมผสานกับฟากฝั่งของประเทศอินเดีย อาณาเขตบริเวณกินพื้นที่นับหนึ่งไร่ รอบๆ บ้านทั้งสี่ทิศรื่นรมย์ด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ มีน้ำตกจำลองพร้อมสนามวิ่งเล่นกว้างขวาง แต่บรรยากาศภายในบ้านกำลังคุกรุ่นตึงเครียดอย่างหนัก เมื่อประมุขแห่งเมฆานิจนันน์แถลงการณ์หลังอาหารค่ำ ว่าไม่นานนี้จะพาภรรยาคนใหม่เข้าบ้าน
“หยีไม่ยอม!”
ปากจิ้มลิ้มของลูกสาวคนเดียวโพล่งดัง “คุณพ่อจะพาผู้หญิงคนอื่นมาแทนที่คุณแม่ไม่ได้เด็ดขาด”
ร่างระหงลุกขึ้นยืนหยัดเต็มความสูงเพื่อประจัญหน้า แม้จะอยู่ในระดับเพียงอกผู้เป็นบิดา สาวสวยนัยน์ตาดำขลับ ผิวขาวเนียนดุจนมแพะ และเป็นทายาทเพียงคนเดียวของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังลำดับต้นๆ ของประเทศซึ่งมีทรัพย์สินส่วนตัวร่วมห้าร้อยล้านบาทยืนกรานเสียงแข็ง ว่าเธอไม่ต้องการให้บ้านหลังนี้มีคนอื่นมาแทนที่ผู้เป็นมารดาเด็ดขาด
ดวงตาฉาบรื้นด้วยแววน้ำประจานความอ่อนแอ ถูกเจ้าตัวกะพริบถี่ๆ มองหน้าบิดาบังเกิดเกล้าด้วยความตัดพ้อ คนเป็นแม่จากเธอไปไม่ถึงสามปี ผู้เป็นบิดาก็ทรยศความรักซึ่งบ่มเพาะกันมายาวนานมากกว่าสามสิบปีอย่างง่ายดาย เพราะเพียงผู้หญิงคนนั้นยังสวยและสาว อายุมากกว่าเธอเพียงสี่ปีเท่านั้น ใบหน้าเศร้าหม่นเบือนหนีอย่างน้อยอกน้อยใจ
“ยาหยีฟังพ่อก่อนนะลูก”
อุ้งมือซึ่งมีรอยเหี่ยวย่นของผิวเนื้อนั้นแตะเบาๆ ยังแขนเล็กเมื่อลูกสาวคนเดียวเอียงกายหนีห่าง ประมุขของเมฆานิจนันน์ก็ต้องลอบพ่นลมหายใจทิ้ง ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเลยสักครั้งที่คนเป็นพ่ออย่างเขาจะยอมหักใจบังคับคนเป็นลูก ตลอดยี่สิบหกปีผ่านมานั้นอนามิกาคือคนที่เขารักและทุ่มเทชีวิตให้ ทว่าบัดนี้ด้วยอายุอานามซึ่งพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ท่านก็อยากได้คนดีๆ มาดูแลใกล้ชิด และท่านก็เชื่อมั่นว่าผู้หญิงที่เลือกมาเป็นคู่ครองจะรักลูกสาวของท่านเช่นกัน
“คุณจันทร์แรมเขาเป็นคนดีนะลูก” พยายามอย่างยิ่งยวด เพื่อหว่านล้อมลูกรัก
“ผู้หญิงคนนั้นจะดีหรือเลว หยีก็ไม่อยากรู้จักค่ะ ไม่อยากให้มาเหยียบบ้านหลังนี้ด้วย”
โต้ตอบบิดาทั้งๆ ที่ยังไม่มองหน้าก่อนจะนำพาร่างระหงเดินคอตั้งไปยังประตูห้อง “ถ้าคุณพ่อยังอยากให้ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาอยู่ในบ้าน ต่อไปหยีก็จะไม่มาเหยียบที่นี่อีก” กัดฟันกล่าวออกไปด้วยความร้าวรานใจ น้ำตาเม็ดเล็กหยาดไหลลงมาอาบแก้มนวลจนต้องรีบยกมือปัดป้ายทิ้ง สูดน้ำมูกจนโพลงจมูกเห่อแดงแล้วก้าวเร็วๆ ออกไป ทิ้งให้คนเป็นพ่อต้องยกมือตบหน้าผากย่นๆ ของตัวเองด้วยความกลัดกลุ้มไปหลายสิบที
ปลายเท้าเล็กเดินเร็วๆ วิ่งขึ้นสู่ชั้นสองของบ้านพร้อมกับไปรื้อค้นกระเป๋าเดินทางใบโตมาเปิดซิปออกกว้าง หยิบจับเสื้อผ้ายัดลงไปนับสิบๆ ชุด สมุดบัญชีธนาคาร เครื่องเพชร ทุกอย่างที่แปรรูปเป็นเงินได้ ล้วนถูกจับโยนใส่กระเป๋าไปจนหมด ทว่าโทรศัพท์อันกรีดร้องอยู่บนโต๊ะข้างเตียงกลับหยุดการกระทำของอนามิกาจนหมดสิ้น
มือเล็กคว้ามากดรับทันทีที่เห็นชื่อหน้าจอ พี่ต๊ะ หรือรัชตะ อนาคินนารถซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องที่เธอสนิทสนมมาตั้งแต่เด็ก มีปัญหาอะไรก็มักเล่าให้พี่คนนี้ฟังเสมอ เธอสนิทกับญาติคนนี้มากกว่าน้องสาวของพี่ต๊ะซึ่งอายุอ่อนกว่าสองปี คนนั้นชื่อรัชชิญาหรือน้องน้ำตาล
“พี่ต๊ะ” เสียงแผ่วเครือเรียก สูดหายใจจนเต็มปอด ก่อนจะทิ้งสะโพกงอนๆ ลงบนเตียงนุ่ม “คุณพ่อจะมีภรรยาคนใหม่ค่ะ” บอกไปแล้วก็สะอื้นแผ่วๆ ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ
“คุณอาจะทำแบบนั้นได้ยังไง ถ้าหยีคัดค้าน ทุกอย่างก็เป็นโมฆะหมด” ต้นสายเอ่ยอย่างรู้จักครอบครัวผู้เป็นอาอย่างดี อาองอาจล้วนสยบยอมต่อยัยแก้มป่องจนหมดสิ้น ไม่เคยมีสักครั้งจะคิดขัดใจ
“แต่หนนี้คุณพ่อดูจริงจังนะคะ สีหน้าท่าทางของท่านไม่มีแววล้อเล่นเลยสักนิด” บอกพร้อมยกปลายนิ้วบี้จมูกตัวเองเบาๆ “แต่หยีไม่มีทางยอมหรอก หยีจะไม่ให้ใครมาแย่งความรักของคุณพ่อไปอย่างเด็ดขาด”
หากนาทีนี้รัชตะกำลังกลั้นหัวเราะเบาๆ ร้อนจนเสียงเล็กๆ ต้องแว้ดขุ่นใส่ “พี่ต๊ะขำอะไรคะ หยีกำลังร้องไห้นะ”
“ก็ขำเราน่ะสิ ตกลงเรากลัวว่าคุณอา จะรักคนอื่นมากกว่าใช่ไหม อย่างกนักสิน้อง”
“ใช่สิ ก็หยีเค็มจนน้ำทะเลเรียกทวดนี่”
“และก็หมายรวมถึงเรื่องกลัวแม่เลี้ยงจะมาแย่งสมบัติด้วยใช่ไหมล่ะ”
“นั่นก็ด้วย” คนงกยอมรับหน้าตาย “สมบัติทุกชิ้นในบ้านต้องเป็นของหยี รวมถึงพ่อคนเดียวซึ่งหยีไม่ทางแบ่งให้ใครเด็ดขาด”
“แต่คุณอา...”
“พี่ต๊ะหยุดพูดเพื่อหาเหตุผลช่วยคุณพ่อเดี๋ยวนี้เลยนะ”
เจ้าของร่างอ้อนแอ้นร้องขัดจังหวะ “ถ้าพี่ต๊ะจะเข้าข้างคนอื่น เราก็คุยกันแค่นี้แหละ ต่อไปพี่ก็ห้ามโทรมาหาหยีอีก” ว่าพลางขยับปลายนิ้วเตรียมกดตัดสาย หากรัชตะก็โพล่งขึ้นขัดเสียก่อน หลังจากนั้นก็ตกเป็นฝ่ายงอนง้อญาติสาวที่ตัวเองเอ็นดูราวกับน้องแท้ๆ พยายามอย่างสุดๆ ที่จะไม่กล่าวเรื่องของผู้เป็นบิดาของน้องน้อยสุดงกคนนี้ กว่าครึ่งชั่วโมงเต็มนั่นแหละทั้งคู่ถึงได้เอ่ยล่ำลากัน
โทรศัพท์เครื่องเล็กรุ่นสมัยโด่งดังเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วถูกทิ้งลงหลังสิ้นสุดการสนทนาทันที แผ่นหลังเล็กนั้นแนบลู่จมไปกับเตียงนอนนุ่ม ก่อนเจ้าของร่างจะคว้าเอาหมอนใบโตมารองศีรษะ หัวคิ้วเล็กๆ ขยับเข้ามาจนแทบชนกัน อาการทอดถอนหายใจทิ้งครั้งแล้วครั้งเล่าปรากฏอยู่ตลอดเวลา ร้อนจนต้องตะแคงตัวพลิกซ้ายพลิกขวา พลันดวงตากลมๆ ก็ปะทะกับกรอบรูปคนเป็นมารดาเข้าให้ รอยยิ้มจืดเจื่อนจึงเคลื่อนมาประดับที่กลีบปากได้รูป
“แม่คะ หยีไม่ยอมให้คุณพ่อมีเมียใหม่เด็ดขาด”
แววตาของคนเปรยเสียงเรียบเริ่มแข็งกร้าว “ถ้าคุณพ่อคิดจะหักใจมีเมียใหม่จริงๆ หยีจะไม่ยอมอยู่ที่นี่อีก แม่ไปกับหยีนะคะ ไปอยู่ด้วยกันสองคนแม่ลูก”
น้ำตาซึ่งแห้งเหือดไปเริ่มกลับมาคลอเบ้าก่อนจะไหลรินหยดลงเปื้อนหมอน ร้อนจนผู้เป็นเจ้าของต้องกรีดปลายนิ้วปัดทิ้งอย่างลวกๆ “หยีรักแม่ที่สุด” พึมพำแค่นั้น ก็ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง พักผ่อนสายตาอยู่นานนับสิบนาที ร่างอรชรถึงได้ผุดลุกแล้วมุ่งตรงไปคว้าผ้าเช็ดตัวผืนนุ่มพาดแขนเล็ก แล้วหายเข้าไปอยู่ในห้องน้ำ ใช้เวลาขจัดสิ่งเปรอะเปื้อนร่างกายยาวนานพอสมควร ถึงได้นำพาร่างสะอาดสะอ้านในชุดคลุมสีหวานก้าวออกมายืนนิ่งๆ อยู่หน้ากระจกบานใหญ่
ผู้หญิงซึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้า เหมือนตัวตนของเธอราวแฝดแท้ๆ ปลายผมยาวสลวยทิ้งตัวลงจนถึงกลางหลัง คิ้วเล็กๆ เรียงเส้นเป็นระเบียบ ปลายจมูกก็โด่งเชิดรั้นน่ามอง แก้มเล็กๆ ทั้งสองข้างก็ป่องพอง แถมมีเลือดจางๆ ปาดป้ายโดยไม่ต้องเพิ่งพาเครื่องสำอางมาแปะให้ระคายผิว กลีบปากนุ่มลื่นรูปกระจับดูเซ็กซี และสำคัญสุดๆ ส่วนสัดอันลงตัวผ่านมาตรฐานนางงามของเธอที่พกพาความเนียนนุ่มดุจน้ำนมแพะ หากเมื่อปรายตาก้มมองหน้าอกหน้าใจของตัวเอง คนแบกลูกแตงโมขนาดจัมโบ้ก็ต้องทำหน้าเบ้ เพราะมันใหญ่เกินตัวเอามากๆ มากเสียจนเธอไม่อยากใส่เสื้อผ้ารัดรูปแม้แต่น้อย เพราะมันจะประจานสิ่งที่คิดว่าเป็นจุดด้อยของตัวเอง
“เฮ้อ...”
อนามิกาถอนใจทิ้งพร้อมเบะปาก ส่ายหน้าน้อยๆ สลัดความคิดเรื่องส่วนสัดของตัวเองทิ้ง เพราะนาทีนี้สิ่งสำคัญสุดๆ ก็คือเรื่องเมียใหม่ของผู้เป็นบิดา เธอต้องทำการต่อต้านให้ถึงที่สุด ยกให้เป็นปัญหาระดับชาติฉบับเร่งด่วน ต้องผ่านการพิจารณาเป็นลำดับต้นๆ ของประเทศเลยก็ว่าได้ หากครุ่นคิดจะขจัดปัญหานี้ ก็พลันมืดแปดด้านขึ้นมาดื้อๆ คนคิดไม่ตกได้แต่เดินตัวปลิวไปทิ้งตัวลงกับที่นอนนุ่มๆ อย่างสิ้นแรง พร้อมๆ กับแขนเล็กก่ายเกยหน้าผากเกลี้ยงอยู่ตลอดเวลากระทั่งเผลอหลับไป
เนคไทสีกลมท่าแบรนด์ดังถูกคลายออกหลวมๆ กระดุมคอเสื้อเม็ดบนสุดค่อยๆ ถูกปลดออกจากรัง เสื้อสูทที่สวมติดกายนั้นผู้เป็นเจ้าของกำลังดึงทึ้งไปกองอยู่บนพนักพิงของเก้าอี้ทำงาน แขนเสื้อเชิ้ตซึ่งติดกระดุมแถบเรียงสามเม็ดก็กำลังถูกปลายนิ้วเรียวแกะออกจากรังอย่างลวกๆ เช่นกัน ก่อนชายหนุ่มจะถลกแขนเสื้อขึ้นสูงจนถึงข้อศอก แล้วยกอุ้งมือร้อนผ่าวฟาดแรงๆ ลงบนหน้าผากโหนกนูน
ดวงตาสีดำด้านกลอกไปมาอย่างเบื่อหนาย เหลือบตามองซ้ายทีขวาทีเพราะระอากับเอกสารกองมหึมาที่ต้องดูรายละเอียดทั้งหมด มีหลายจุดต้องลงลายมือชื่อ คนไม่ค่อยได้นั่งโต๊ะบริหารเป็นเรื่องเป็นราวก็เลยตีสีหน้าอยากตาย เครื่องปรับอากาศแสนเย็นฉ่ำนั้นไม่สามารถบั่นทอนความหงุดหงิดงุ่นง่านได้เลย คอเสื้อซึ่งเปิดอยู่แล้วจึงถูกดึงๆ รั้งๆ ให้แหวกกว้าง อวดแผงอกกำยำอันเต็มไปด้วยขนเส้นอ่อนโบกไหวไปมา
เมื่อเอกสารตรงหน้าทำให้สมองตัวเองมึนจนปวดตุบๆ คาสโนวาหน้าหล่อผู้ไม่เคยขาดอิสตรีเกินข้ามวันจึงยกยิ้มรายกาจ อุ้งมือหนาวาดไปคว้าโทรศัพท์บนโต๊ะทำงาน กดออกไปยังเลขหมายหน้าห้อง รอไม่นานเลขาหนุ่มตัวดีก็ตอบรับกลับมา คนเตรียมสั่งขนมหวานยามบ่ายจึงรีบร้อนบอกกล่าวทันที
“จอห์น ขอเด็กนวดให้ฉันสักคนสิ”
“เอาเป็นลูกครึ่งหรือไทยแท้ครับ” ลูกน้องผู้รู้ใจเจ้านายร้องถามมาตามสาย
“จะไทยจะเทศก็ได้ทั้งนั้น ขอของจริงเป็นพอ ถ้าสะเพร่าส่งของปลอมมาล่ะก็ ฉันกระทืบนายแน่” สั่งจบก็วางโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว เสี้ยวหน้ายิ้มเผล่เคลิ้มอกเคลิ้มใจ รอคอยเวลาที่ของหวานๆ จะเข้ามาเสิร์ฟ
ผ่านไปเพียงครึ่งชั่วโมง บานประตูห้องทำงานก็ถูกเคาะรบกวนเพียงครั้ง ก่อนจะถูกเปิดเข้ามาด้วยมือเรียวบางของสาวผมทอง กลีบปากบางๆ ของเจ้าหล่อนฉาบไว้ด้วยลิปสติกสีเปลือกมังคุด เสื้อผ้าหน้าผมล้วนจัดมาเพียงเศษผ้าหมิ่นๆ ดันอกอวบที่มีเกินตัวให้ลอยเด่น อวดขาขาวๆ เนียนๆ จนคนตั้งท่ามองถึงกับกัดกลีบปากหยักด้านล่างของตัวเองไว้บางเบา
“อืม...” หนุ่มผู้พอใจกับสรีระของสาวลูกครึ่งผิวขาวจั๊วะครางพอใจ ก่อนจะผุดลุกก้าวอาดๆ มาอยู่ด้านหน้าโต๊ะทำงาน สะโพกแกร่งเอนพิงขอบโต๊ะเอาไว้ ดวงตาสีดำด้านกวาดมองของหวานตรงหน้าอย่างร้ายกาจ เมื่อเห็นอีกคนยืนฉีกยิ้มหวานหยดย้อยยืนเคว้งอยู่กลางห้อง ชายหนุ่มจึงขยับปลายเท้าเข้าไปใกล้ เลื่อนนิ้วชี้ข้างขวาเชยคางของหล่อนเงยขึ้นสบตา แล้วค่อยๆ โน้มใบหน้าปล่อยปลายจมูกให้พาดผ่านข้างแก้มเนียนเพียงประปราย