“รีบลงไปจากเตียงของฉันได้แล้ว”
ร่างเปลือยเปล่าที่ถูกรุกรานอย่างหนักหน่วงจนแทบไม่ได้นอนมาตลอดทั้งค่ำคืนถูกจับเขย่าแรงๆ จนเปลือกตาหนักอึ้งต้องปรือลืมขึ้น
“คุณหนึ่ง...”
ปรมะยืนจังก้าอยู่ข้างเตียง เขาสวมเสื้อคลุมสีเทา และจ้องมองมาที่หล่อนด้วยสายตาเลือดเย็น
“ยังจะมาทำเป็นอิดออดอีก ฉันบอกให้ลุกขึ้นยังไงล่ะ แล้วไสหัวออกไปจากห้องของฉันได้แล้ว”
“กุล... จะไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”
หล่อนรีบผุดลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจ ทำให้ไม่ทันได้คว้าผ้าห่มเอาไว้ ทำให้ผ้าห่มล่นลงไปกองที่หน้าขา ปทุมถันอวบสล้างชูชันอวดสายโฉมแก่สายตาของปรมะอย่างชัดเจน
“คิดจะใช้มารยาหญิงทำให้ฉันหลงใหลหรือ หึ ไม่มีทางหรอก ฉันไม่มีวันหลงกลผู้หญิงแพศยาอย่างเธอหรอก นรีกุล”
นี่เขาพูดอะไรของเขา หล่อนยังไม่ได้ทำอะไรเลย หรือเขาหมายถึงเรื่องเมื่อคืน?
แต่เมื่อคืนปรมะเป็นคนลากหล่อนเข้ามาในห้องของเขาด้วยตัวเองนะ หล่อนไม่ได้เสนอตัวเลยแม้แต่น้อย
“กุล... ไม่ได้ทำอะไร... เลยนะคะ...”
หล่อนแย้งเสียงเบาๆ ตะกุกตะกัก น้ำตาไหลซึมออกมาคลอสองหน่วยตา
“หึ ไม่ ได้ทำอะไร แล้วอวดนมให้ฉันมองแต่เช้าทำไม ทุเรศลูกตานัก!”
คำพูดของเขาทำให้นรีกุลต้องก้มลงมองตัวเอง และก็เห็นว่าสองเต้าอวบสล้างเปลือยเปล่าจริงๆ
มือเล็กรีบตะครุบผ้าห่มมาคลุมกายสาวเอาไว้จนถึงลำคอ สองแก้มแดงระเรื่อด้วยความอับอาย
“กุล... ขอโทษค่ะ”
น้ำตาที่พยายามสะกดกลั้นเอาไว้ไหลออกมาอาบแก้ม
ปรมะเห็นแล้วก็กัดฟันกรอดด้วยความเดือดดาล
“ขี้แย! ฉันเกลียดที่สุดเลยผู้หญิงเอาแต่ร้องไห้เนี่ย ไสหัวไปให้พ้นเลย ไป!”
นรีกุลรีบเช็ดน้ำตามือไม้สั่น ก่อนจะคลานลงไปจากเตียง เพื่อเก็บเสื้อผ้าของตัวเองที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นห้องขึ้นมาสวมใส่
ใส่เสื้อผ้าไป น้ำตาก็ไหลรินไป
หล่อนเจ็บปวด อับอาย จนแทบอยากจะหายตัวไปจากโลกใบนี้เสียให้รู้แล้วรู้รอด
พอใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้ว หล่อนก็รีบวิ่งออกไปโดยไม่คิดชีวิต แต่กระนั้นก็ยังได้ยินเสียงกระด้างของปรมะดังแว่วตามหลังมา
“ถ้าฉันไม่เรียก อย่าสะเออะมาขึ้นเตียงฉันอีกล่ะ จำเอาไว้”
หล่อนจะทำอะไรได้ล่ะ นอกจากร้องไห้ด้วยความทุกข์ทรมานใจ
ร่างอรชรวิ่งไปซ่อนตัวอยู่ที่ซอกมุมของคฤหาสน์ ทรุดฮวบลงนั่งกับพื้น กอดเข่าร้องไห้ด้วยความเจ็บช้ำปริ่มขาดใจ
“ทำไมคุณหนึ่งใจร้ายกับกุลแบบนี้...”
หล่อนร้องไห้สะอึกสะอื้น ความเจ็บปวดกัดกินเนื้อหัวใจทุกตารางนิ้ว มือเล็กยกขึ้นลูบหน้าท้องของตัวเองไปมา
“ลูกจ๋า... แม่จะทนพ่อของลูกไม่ไหวอยู่แล้ว ฮืออออ...”
“มานั่งซึมอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะนังกุล”
นรีกุลที่นั่งร้องไห้อยู่ รีบยกมือป้ายน้ำตาอย่างรีบร้อน เมื่อได้ยินเสียงของแวววรรณดังขึ้นด้านหลัง แต่ไม่นานแวววรรณก็เดินอ้อมมาหยุดตรงหน้า
รอยคราบน้ำตาที่ยังคงหลงเหลือบนแก้มขาวซีดทำให้แวววรรณอดเวทนาไม่ได้
“ไม่ใช่แค่นั่งซึม แต่นี่แกมานั่งร้องไห้อีกแล้วเหรอนังกุล”
“ปะ เปล่าจ้ะป้าแวว” หล่อนก้มหน้าหลบสายตาของแวววรรณ
ผู้เป็นป้าแท้ๆ ถอนใจออกมาแรงๆ
“แม่มันเอาแต่กินน้ำตาต่างข้าวแบบนี้ แล้วเด็กในท้องมันจะแข็งแรงได้ยังไงวะ”
คำพูดของแวววรรณทำให้น้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้ของนรีกุลหลั่งรินออกมาอีกครั้ง มือเล็กสั่นเทายกขึ้นแตะหน้าท้องของตัวเองเบาๆ
ข้างในมีหัวใจอีกดวงกำลังเต้นอยู่...
ลูกของหล่อน...
ลูกที่เกิดมาโดยไม่ได้ตั้งใจของผู้เป็นพ่ออย่างปรมะ
“ถ้าไม่นึกถึงตัวเองก็นึกถึงลูกในท้องบ้าง เด็กมันไม่รู้เรื่อง ไหนๆ ก็จะเกิดมาแล้ว เข้าไปกินข้าวกินปลาเร็วเข้า”
นรีกุลเงยหน้าขึ้นมองแวววรรณ สองแก้มยังคงเปื้อนคราบน้ำตา
แวววรรณถอนใจออกมาอีกครั้ง ใจหนึ่งก็อดสงสารหลานสาวไม่ได้
แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อตอนนี้หลานสาวกับเด็กในท้องคือบ่อเงินบ่อทองของคนที่ผีพนันเข้าสิงอย่างหล่อน
“อย่าคิดอะไรมากเลย อยู่เป็นคุณนายของคุณหนึ่งไปแบบนี้แหละ สวยๆ เชิดๆ แค่มีเงิน มีลูกอยู่ใกล้ๆ แกก็น่าจะมีความสุขแล้วนี่”
“กุล... อยากไปจากที่นี่จ้ะป้าแวว”
“บอกกี่ครั้งแล้วว่าไปไม่ได้ คุณหนึ่งอุตส่าห์จดทะเบียนกับแกแล้ว แถมยังพาเราสองคนเข้ามาอยู่ในบ้านหลังใหญ่หลังโตด้วยอีก แกจะเดินจากไปง่ายๆ ได้ยังไง”
น้ำตาของนรีกุลไหลรินไม่หยุด หัวใจเต็มไปด้วยความปวดร้าวทรมาน
“ป้าแววก็รู้ว่าที่คุณหนึ่งยอมจดทะเบียนกับกุลเพราะอะไร แล้วที่คุณหนึ่งยอมพาเราสองคนเข้ามาที่บ้านหลังนี้เพราะอะไร”
“จะเพราะอะไรก็ช่างเถอะน่ะ ยังไงซะตอนนี้แกก็เป็นเมียของคุณหนึ่ง แถมยังมีลูกของคุณหนึ่งอยู่ในท้อง แกคือผู้ชนะ จำเอาไว้แค่นี้พอ”
หล่อนไม่ได้อยากเป็นผู้ชนะเลย...
หล่อนอยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมากกว่า...
“ป้าแวว... แต่กุลไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วจริงๆ กุลเจ็บที่คุณหนึ่งทำร้ายๆ ใส่...”
“แม๊... แกจะมาบ่นเจ็บปวดอะไร ฉันก็เห็นคุณหนึ่งเรียกแกขึ้นไปหาบนห้องบ่อยจะตายไป แสดงว่าก็ต้องหลงเสน่ห์แกบ้างล่ะว่ะ หึหึ” แวววรรณหัวเราะชอบใจ