บทที่2.3

1284 Words
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ที่คอนโด ฯ “อือ...โฮป...” ฉันพยายามเค้นเสียงที่หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดเพื่อปรามการกระทำอันเอาแต่ใจของโฮป ซึ่งเกิดขึ้นเกือบห้านาทีแล้วนับตั้งแต่กลับมาถึงคอนโด ฯ เขาไม่แม้แต่จะถามอะไรเพิ่มเติม ไม่รอให้ฉันได้อธิบายในสิ่งที่ยังค้างคาอยู่ มาถึงก็ผลักกันลงบนโซฟา เอาแต่จูบฉันเหมือนกับความคุกรุ่นบางอย่างยังติดค้างอยู่ในใจ ซึ่งทางเดียวที่เขาจะระบายมันทิ้งไปได้คือการสัมผัสฉันแบบนี้ “...ไม่ต้องมาทำเสียงแบบนั้น” โฮปพูดขึ้นหลังจากผละริมฝีปากออกไป จากระยะห่างอันน้อยนิด ทำให้ฉันมองเห็นสีหน้าและแววตาของแฟนตัวเองได้อย่างชัดเจน สัมผัสได้แม้กระทั่งลมหายใจที่กำลังกระชั้นกระโชกของเขา... “นายหงุดหงิดเรื่องที่ฉันรับสายแล้วไม่พูดใช่ไหม โมโหที่ฉันปิดเครื่องหนีด้วยใช่ไหม...” ฉันไม่ได้ซื่อบื้อจนมองไม่ออกว่าที่มาของอารมณ์เชี่ยวกราดนี่มีสาเหตุมาจากอะไร เพราะงั้นจึงถามออกไปอย่างไม่ลังเล แน่นอนว่าขณะตั้งคำถาม...สองตายังคงจดจ้องใบหน้าหล่อเหลาของเขาไปด้วย “ใช่” โฮปยอมรับ น้ำเสียงของเขาบ่งบอกว่าหงุดหงิดแค่ไหน “พูดให้ฉันวางใจสักคำก็ไม่ได้เหรอ จำเป็นแค่ไหนที่ต้องเงียบใส่แล้วปล่อยให้ฉันร้อนใจจนแทบเป็นบ้าแบบนี้” พื้นฐานโฮปมีนิสัยร่าเริง ขี้เล่น โกรธยาก ดังนั้นไม่บ่อยนักที่เขาจะแสดงด้านนี้ออกมาให้เห็น น้อยครั้งจริง ๆ ที่แววตาเป็นประกายของเขาจะดำมืดและดุดันจนน่ากลัวขนาดนี้ แสดงว่าตอนอยู่หน้าโรงพัก เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการทำตัวให้เป็นปกติที่สุดเพื่อรอเวลามาเคลียร์กับฉันที่นี่สินะ ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ คอนโด ฯ แห่งนี้มักเป็นที่ที่เราสองคนใช้พูดคุยกันเสมอหลังเจอปัญหา ถึงแม้บางครั้งมันจะไปไกลเกินกว่าการพูดคุยก็ตาม “ขอโทษ” ฉันพูดพลางยื่นมือทั้งสองข้างไปกอบกุมใบหน้าเขาไว้ “ฉันผิดจริง ๆ ที่ทำให้นายเป็นห่วง ไม่มีข้อแก้ตัวหรอก” “...” “ดีกันได้ไหม?” “...” “...นะคะ” “...คราวหลังไม่เอาแบบนี้แล้วนะ” ครั้นพอฉันปรับเปลี่ยนโทนเสียงมาเป็นนุ่มนวลและออดอ้อน โฮปที่เมื่อครู่นี้เดือดพล่านจนแทบระเบิดก็ถึงกับชะงัก ก่อนจะพรูลมหายใจออกมาอย่างยอมจำนน กับฉันน่ะ...เขาใจอ่อนให้กันเสมอ “ถ้าโฮปหัวใจวายตายขึ้นมาใครจะรับผิดชอบครับ หืม...” ถามอย่างเดียวไม่พอ โฮปยังโน้มหน้าเข้ามาใกล้แล้วกดริมฝีปากลงมาหนัก ๆ หนึ่งที จากนั้นก็เคลื่อนไปยังซอกคอ สาละวนอยู่เกือบนาทีจึงลากต่ำลงมาถึงเนินอก และ... กระดุมเสื้อสองเม็ดบนถูกแกะออกอย่างรวดเร็วด้วยริมฝีปากของเขา ลมหายใจฉันสะดุดทันที... “โฮป...” สัญชาตญาณสั่งให้ฉันยกมือขึ้นยันไหล่หนา โฮปชะงักแล้วเปลี่ยนมามองหน้าฉันตรง ๆ อย่างมีคำถาม “เราคบกันมาห้าปีแล้วนะซอว์” “...” “ขอ...สักครั้งไม่ได้เหรอ” “คือ...” แกรก... ขณะที่เขากำลังวอนขอฉันด้วยน้ำเสียงละลายหัวใจ ประตูห้องซึ่งปิดสนิทและลงกลอนอย่างดีก็ถูกบุคคลที่สามเปิดเข้ามาราวกับรอจังหวะนี้อยู่ก่อนแล้ว ทำให้ฉันและโฮปหันกลับไปมองอย่างพร้อมเพรียง “...!” แล้วให้ตาย คนคนนั้นเป็นเกรย์เอง... เด็กคนนั้นชะงักเท้า สายตามองมายังเราสองคนบนโซฟาในห้องรับแขกด้วยสีหน้าที่ค่อนไปทางเฉยชา ราวกับว่าชาชินจนแทบไม่รู้สึกอะไร แต่ฉันรู้ว่าสิ่งที่เห็นกับสิ่งที่เป็นมันแตกต่างกัน ฉันตกใจนิดหน่อย เพราะรู้ดีว่าสภาพของเราสองคนในตอนนี้ไม่ได้น่าดูเท่าไหร่ แต่โฮปไม่แสดงอาการใด ๆ เลย ยังคงคร่อมทับฉันในท่วงท่าล่อแหลม เขาทำเพียงยื่นมือมากระชับเสื้อฉันให้เข้าที่เข้าทางเท่านั้น “โฮป ลุกขึ้นก่อน” ฉันกระซิบบอกร่างสูง ถึงเกรย์จะชอบทำสีหน้าชาชินเวลาเราสองคนสวีตกัน แต่สำหรับฉัน…การถูกผู้ชายคร่อมแบบนี้มันก็น่าอาย ฉันไม่ได้หน้าด้านเหมือนโฮปนะ “ไม่ต้องเกรงใจครับ พอดีผมเอาของมาเก็บเฉย ๆ พี่...ทำกันต่อเลย” เกรย์ยิ้ม “โอเค งั้นไปต่อใน ‘ห้องของเรา’ กันเถอะ...” โฮปจัดการช้อนร่างฉันขึ้น ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปในห้องนอนอย่างรวดเร็ว แล้วก็นะ ไม่รู้ว่าหูแว่วไปเองหรือเปล่า แต่ช่วงเวลาเดียวกันนั้นเหมือนฉันจะได้ยินเสียงหัวเราะหึของโฮป เป็นเสียงที่แค่นมาจากลำคอ แต่เบาบางจนแทบจะกลืนไปกับอากาศ พอเงยหน้าขึ้นมองก็ไม่เห็นว่าโฮปกำลังหัวเราะหรืออะไร ฉันจึงหันกลับไปยังจุดที่เด็กคนนั้น...เคยยืน จังหวะที่มองผ่านไหล่โฮปไปด้านหลัง ฉันได้แต่หวังว่าเกรย์จะไม่ยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว หวังว่าเขาจะไม่ใช้ภาพของเรามากรีดหัวใจตัวเองเล่น แต่เปล่าเลย เสี้ยววินาทีก่อนประตูห้องนอนจะปิดลง ภาพสุดท้ายที่ฉันเห็นยังคงเป็นเขา เกรย์ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ไหวติง ยืนมองฉันกับโฮป...ด้วยสองตาอันแดงก่ำ คืนเดียวกัน Grey Describe. เวลา 20:05 นาฬิกา “ทำไมมึงหน้าเละแบบนั้นอะไอ้เกรย์ ไปกัดกับหมาที่ไหนมาวะ” เสียงของไอ้วิน หนึ่งใน Demon Top 10ที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องแต่งตัว ทำให้ผมซึ่งกำลังจดจ่ออยู่กับเกมในโทรศัพท์ต้องยักไหล่แบบส่ง ๆ เพราะไม่อยากนึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันให้ปวดหัว “...มึงจะทำงานทั้งที่หน้าเป็นแผลแบบนั้นเหรอ” แต่ถึงอย่างนั้นท่าทีเพิกเฉยของผมก็ไม่สามารถหยุดความอยากรู้อยากเห็นของมันได้ ดังนั้น...ผมจึงกดหยุดเกมแล้วเงยหน้าขึ้นมองมัน “แล้วทำไมจะทำงานทั้งที่หน้าเป็นแผลไม่ได้?” “มึงเป็นดีมอนอันดับหนึ่งนะ ลืมไปแล้วหรือไง” ไอ้วินให้คำตอบแบบเรียบง่ายและเข้าใจได้ “นอกจากความสามารถรอบด้านแล้ว มึงยังต้องใช้หน้าตาทำมาหากินด้วย แขกบางคนชอบความเนี้ยบ เจอแผลบนหน้ามึงเข้าไปจะตกใจแค่ไหน” สิ่งที่ไอ้วินพูดนั้นถูกทุกอย่าง แม้ว่าปัจจัยหลักของ Demon จะเป็นการเอนเตอร์เทน แต่รูปลักษณ์ภายนอกก็สำคัญ สภาพแบบนี้ลูกค้าบางคนคงไม่โอเค อาจถึงขั้นขอเงินคืนได้ แต่...แล้วไง จะให้หน้าผมสะอาดเกลี้ยงเกลาปราศจากบาดแผลไปตลอดมันก็ไม่ใช่หรือเปล่า อีกอย่าง...ลูกค้าส่วนใหญ่ที่ผมเลือกเองไม่ค่อยแคร์กับเรื่องขี้ประติ๋วนี่นักหรอก เขาแค่อยากเจอผม ใช้เวลากับผม ได้ใกล้ชิดผม เงินมากมายที่จ่ายมาก็เพื่อการนี้ทั้งนั้น อาจฟังดูน่าหมั่นไส้ไปหน่อย แต่ที่ผมไม่ค่อยมีปัญหา ส่วนหนึ่งคงมาจากอันดับและความนิยม จะเรียกว่าเป็นตัวทำเงินของร้านก็ไม่ผิดอะไร นอกจากพี่จุนเจ้าของคลับแล้ว ไม่ค่อยมีใครมายุ่มย่ามกับชีวิตผมนัก ไม่สิ จริง ๆ แล้วก็มีอีกสองคนนะ พี่โฮปกับพี่ซอว์ไง สองคนนั้น...เหอะ!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD