♥선생님 Injured Girl
Let's Kill this love - Black Pink
หมอคะ ถ้าไม่คบ เป็นศพแน่
EP04.2 ll เด็กผีกับหมอเวร [2]
“ถ้าไม่ให้ก็อย่าหวังว่าจะได้ลง พี่จะเอาไง”
คนตัวสูงย่นคิ้วมองฉันเล็กน้อย
“ผมจะลง” เขาเอ่ยเสียงเรียบแล้วลุกขึ้นยืน ด้วยความสูงที่ห่างกันหลายเซนติเมตร หน้าฉันอยู่เลยไหล่พี่หมอไปนิดหน่อย เขาหลุบตาต่ำลงมามอง “หลบ”
ฉันเงยหน้ามองแล้วยืนอยู่ที่เดิม มือทั้งสองข้างกำราวเก้าอี้แน่น
ไม่หลบแล้วจะทำไม จะผลักฉันหรือไง? ฉันไม่ได้ทำท่าหาเรื่อง พยายามปรับสีหน้ากลับมาเป็นปกติ เพราะฉันไม่อยากจะเหวี่ยงใส่ว่าที่สามีในอนาคตนัก
“ไม่หลบ”
“ผมต้องลงแล้ว”
“ไม่หลบ”
เขามองหน้าฉันแล้วถอนหายใจ พลางมองไปด้านนอกก่อนจะพูดตัดความรำคาญด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ
“ถ้าจะเอาก็ตามผมลงไปแล้วกันครับ เดี๋ยวจะเลยป้าย” เขายกธงขาว ฉันก็เลยระบายรอยยิ้มตอแหลออกมา ประหนึ่งเมื่อกี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“งั้นเราก็ลงกันเถอะพี่” น้ำเสียงฉันเปลี่ยนกลับมาเหมือนเดิมทันที ก่อนจะเปิดทางให้พี่หมอเดินลงรถเมล์ สามคนนั้นแอบมองตามฉันอย่างเงียบๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร รถเมล์เบรกเอี๊ยดจนฉันเซไปนิดนึงตอนกำลังก้าวเท้าลงจากรถเมล์ คนตัวสูงหาวหวอดๆ พลางสาวเท้าไปตามถนน
ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลมากนัก ประมาณสองป้ายรถเมล์ ฉันสาวเท้าตามพี่หมอไปติดๆ พลางส่งสายตา รอดูว่าพี่หมอ จะใจอ่อนให้ไลน์ฉันได้เมื่อไหร่
“คอนโดพี่หมออยู่แถวนี้เหรอ” ฉันหาเรื่องคุย ไม่อยากจะเข้าเรื่องขอไลน์เลย เพราะแค่นี้ก็ดูกระเหี้ยนกระหือรือมากแล้ว ถามว่าฉันชอบเขามั้ย เขาก็หน้าตาดี ถูกสเปค บ้านรวย ฉลาดอีก ก็คือดีทุกอย่าง ยกเว้นความตายด้าน
ไม่มีผู้ชายคนไหนปฏิเสธฉันขนาดนี้มาก่อน พอเขาทำแบบนี้ฉันรู้สึกแพ้
“ครับ”
“ว่าแต่ปกติพี่หมอต้องซักเสื้อกาวน์เองเหรอ” ฉันถามเพราะเห็นเขาพกเสื้อมาในกระเป๋าด้วย หน้าตาดูไม่น่าซักเองเป็น คงไม่ใช่ว่าโยนลงถังซักผ้าสาธารณะหรอกใช่ไหม ไหนจะเลือด น้ำหนองของใครมั่งก็ไม่รู้
“เปล่าครับ ส่งซักกับโรงพยาบาล” เขาหาวหวอดๆ แล้วมองฉัน “แต่วันนี้ผมลืมเอาออกน่ะ”
“ว่าแต่...” ฉันพยายามสาวเท้าเดินให้ทันเขา เขาเดินเร็วเหมือนกึ่งวิ่งอยู่ตลอดเวลา จนฉันเริ่มจะตามไม่ทัน ไม่รู้จะรีบไปไหน “ไหนพี่จะให้ไลน์หนูไง”
“ให้ไป ผมก็ไม่ได้คุย จะเอาเหรอครับ?” เขาถามพร้อมหน้าตาเบื่อหน่าย
“อ้าว แล้วปกติพี่ติดต่อกับใครยังไง โทรเอาเหรอ?”
“ถ้าไม่ใช่เรื่องงานหรือเรื่องสำคัญ ก็ไม่อยากติดต่อครับ” เขาตอบชัดเจน แทบจะแสกหน้าฉัน “ที่ผมไม่ให้ เพราะให้ไปผมก็ไม่คุย”
น้ำเสียงของพี่หมอนิ่งมาก เขามองหน้าฉันตอนที่พูดด้วยท่าทีจริงจัง
“แต่ถ้าเธออยากจะคุยคนเดียว ผมก็ให้ได้ครับ”
โห อีพี่หมอ! ถ้าอย่างนั้นฉันเปิดเวิร์ดแล้วพิมพ์เอง ตอบเองไม่ดีกว่ารึไงฮะ! ยืนคุยกับเสายังสนุกกว่าส่งข้อความถึงเขาเลยมั้ง ฉันยกมือขึ้นมานวดขมับตัวเองเซ็งๆ
“โห พี่ ชีวิตพี่นี้ไม่คิดจะมีเพื่อน มีกิ๊กบ้างเหรอ คุยแต่เรื่องงานเนี่ยนะ” ฉันส่ายหัว ไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ ชีวิตคนเรามันสั้น สังสรรค์มั่งก็ได้ “เดี๋ยวก็เครียดตายหรอก”
“ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ”
ประชดย่ะ! ฉันเบ้ปากในขณะที่พี่หมอหยิบมือถือขึ้นมากดแล้วยื่นโทรศัพท์ที่แสดงหน้าจอคิวอาร์โค้ดให้
“นี่ครับ ไลน์ผม”
ฉันไม่รอช้า รีบยกมือถือขึ้นมาแสกนคิวอาร์โค้ดเพื่อเพิ่มพี่หมอเป็นเพื่อน ถึงเขาบอกว่าเขาไม่ตอบไลน์ แต่มันต้องมีสักวันที่เขาพลั้งพลาด พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกราหูอมจนหลงมาตอบฉันบ้างแหละน่า!
“เดี๋ยวหนูส่งสติ๊กเกอร์ไปนะ” ฉันว่าแล้วกดสติ๊กเกอร์หมาน้อยส่งไป เขาพยักหน้าอือออ แต่ไม่ได้ตอบรับอะไร ซ้ำยังเก็บมือถือไว้ในกระเป๋า ไม่แม้แต่จะเปิดดูด้วย หยิ่งจริงวุ้ย! “พี่หมอเนี่ย จริงจังกับชีวิตไปนะ ชีวิตมันสั้นนะพี่ หาสีสันใส่ชีวิตมั่งดิ”
“ชีวิตผมครับ” อีพี่หมอตอบสั้นๆ แต่ไม่รู้ทำไมฟังแล้วเหมือนเขาด่าว่าเสือก
“หนูพาไปเที่ยวได้นะ ถ้าพี่ว้อนท์”
“ผมอยากพักผ่อนครับ” เขาถอนหายใจแล้วหันหน้ามาสบตาฉันด้วยท่าทีเหนื่อยล้า ท่าทางเหมือนคนอดหลับอดนอนมาหลายวัน “ได้ไลน์แล้วก็กลับบ้านไปสิครับ เดินตามผมมาทำไม”
“เดินไปส่งไง กลัวพี่เหงา” ฉันแถไปเรื่อย ความจริงก็แค่อยากเดินอ่อยพี่หมออีกหน่อยเท่านั้นแหละ ยิ่งเขาเล่นตัว ยิ่งท้าทายฉันเข้าไปใหญ่ “แล้วก็ปกป้องพี่ด้วยไง ถ้ามีคนประหลาดๆ เข้ามาหาเรื่องอีก พี่จะทำไงล่ะ”
“เธอประหลาดสุดแล้วล่ะครับ” เขาพูดเสียงเรียบ
“เอ้า พี่ พูดแบบนี้ตบป่ะ!” ฉันถลึงตาแล้วทำท่าเหมือนจะพุ่งเข้าไปทุบ ถ้าฉันตาไม่ฝาด ฉันเห็นอีตาพี่หมอหลุดขำนิดนึง ก่อนจะตีหน้ากลับมานิ่งเป็นผีตายซากเหมือนเดิม
“ไม่ล่ะครับ ผมจะกลับไปนอน”
“คอนโดพี่อยู่แถวนี้เหรอ” ฉันหันไปถามอย่างสอดรู้สอดเห็น ถ้าตามไปได้ ฉันก็อยากจะแอบตามไปดูว่าเขาอยู่ที่ไหน ห้องเป็นยังไง กี่ตารางเมตร ปูด้วยหินอ่อนหรือกระเบื้องแผ่น ทีวีจอแบนกี่นิ้ว ราคาอสังหาริมทรัพย์ประมาณเท่าไหร่ เพื่อประเมินสถานะทางการเงินของคนตรงหน้า
แต่หน้าตา ท่าทางบวกกับของที่ใส่ ก็คงไม่จนหรอก
“ถามทำไมครับ จะไปเหรอ?” พี่หมอถามหน้านิ่ง ถ้าเขาแค่ยิ้ม ฉันคงนึกว่าเขาอ่อย แต่เขาไม่ได้ยิ้ม แถมน้ำเสียงยังไร้ซึ่งความเสน่หา ฉันเลยคิดเป็นอื่นไม่ได้นอกจากการถามเฉยๆ
“ไปได้เหรอ?” ฉันกระตุกยิ้ม
“ไม่ได้ครับ คอนโดผมห้ามนำสัตว์เลี้ยงเข้า”
“!!!”
อีพี่!! ฉันง้างปากกำลังจะด่าแต่เขาสวนกลับมาก่อนด้วยน้ำเสียงปกติ
“พูดเล่นครับ”
ฉันย่นคิ้ว แล้วจ้องหน้าอีพี่หมออีกรอบนึง ไม่แน่ใจว่าอีพี่หมอพูดเล่นเอาขำหรือตั้งใจกวนตีนฉันกันแน่ เพราะทุกประโยคที่พ่นออกมาจากปากเขา สีหน้านางไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
“ผมอยากพักผ่อน ผมไม่ได้นอนมาเกือบสองวันแล้ว” เขาหาวหวอดๆ แล้วมองบริเวณแผลของฉัน “เธอรีบไปล้างแผลเถอะครับ”
“นั่นแน่ะ เป็นห่วงเหรอ?” ฉันยิ้มกรุ้มกริ่มตอนที่พี่หมอเริ่มพูดจาดูมีเค้ามนุษย์ขึ้นบ้าง ไม่ใช่การผลักไล่ไสส่งและมองด้วยสายตารำคาญอย่างเดียว เขาเอียงคอมองฉันก่อนจะตอบกลับมา
“เปล่าครับ แค่บอกให้เธอรีบกลับแบบมีมารยาท”
[2]