ตอนที่ 4 อาสาสมัคร

1627 Words
ไม่ใช่เพียงท่านมหาเทพทั้งสามเท่านั้นที่ตกอกตกใจกับความพร้อมใจโดยไม่ได้นัดหมายของเซียนหนุ่มสาวเหล่านี้ เทพหรือเซียนส่วนใหญ่ต่างก็พากันงุนงงกับความคิดจะลงโทษตัวเองครั้งใหญ่ของเซียนหนุ่มสาวเยาว์วัยกันทั้งสิ้น “พวกเจ้าจะถูกริบเอาการบำเพ็ญเพียรทั้งหมดแล้วกลายเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดากันนะ สวรรค์กับมนุษย์ตัดขาดกันไปแล้ว หากเราส่งพวกเจ้าลงไปทั้งที่ยังคงสภาพเป็นเซียนอาจสร้างความปั่นป่วนในแดนมนุษย์เบื้องล่างให้กลับคืนมา ตัดสินใจให้ดีก่อน” มหาเทพฮ่าวเทียนจำต้องเตือนสติเหล่าเซียนหนุ่มสาวอีกรอบ “เช่นนั้นข้าขอถามคำถามหนึ่งขอรับ หากว่าเราสามารถบ่มเพาะพลังและบำเพ็ญตนจนได้เป็นเซียนกันอีกครั้งเล่า? พวกเรายังจะมีโอกาสกลับมายังแดนสวรรค์ได้หรือไม่ขอรับ” หลวนหลงเอ่ยถามอย่างชาญฉลาด “นั่นมัน..” มหาเทพทั้งสามรีบหันหน้าเข้ามาประชุมกันโดยเร็ว ครั้งก่อนที่สวรรค์ มนุษย์และปีศาจแยกออกจากกันก็เพราะสงครามการแย่งชิงอำนาจในสามภพอันยาวนาน การสูญเสียไพร่พลทั้งสามดินแดน ทำให้ต่างฝ่ายต่างเลิกรากันไปเองและแยกกันอยู่อย่างสงบมาหลายหมื่นปีโดยไม่มีข้อตกลงใดๆ ทางแดนมนุษย์ที่อ่อนแอที่สุดนั้นย่อมไม่ใช่ปัญหา เมื่อแดนสวรรค์ไม่ส่งเทพหรือเซียนลงไปให้ความหวังพวกเขาก็ใช้ชีวิตกันตามปกติไป ส่วนแดนปีศาจเมื่อไม่เห็นว่าฝ่ายตนถูกคุกคาม หรือถูกแย่งชิงพื้นที่ตรงกลางในแดนมนุษย์ก็ไม่เข้ามาวุ่นวายเช่นกัน “เราไม่ได้ส่งเทพลงไป พวกเขาจะกลายเป็นมนุษย์ธรรมดา เช่นนี้แดนปีศาจก็ไม่มีข้ออ้างจะเข้ามารุกรานแดนมนุษย์เพื่อแย่งชิงพื้นที่ แต่หากคนเหล่านี้สามารถบ่มเพาะจนถึงระดับเซียนได้ก็ไม่ผิดหากเราจะรับเขากลับมาแดนสวรรค์มิใช่หรือ” มหาเทพฮ่าวเทียนออกความเห็น “เวลาผ่านมาเนิ่นนานแดนมนุษย์ดำเนินชีวิตกันอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ บางทีกาลเวลาคงทำให้มนุษย์หลงลืมไปแล้วว่าเคยมีเทพมีปีศาจ ตำราหรือหนทางจะฝึกฝนบ่มเพาะพลังอาจจะเสียหายและถูกลบเลือนจากความทรงจำไปจนหมดสิ้นแล้วก็เป็นได้ ข้าว่าการกลับมาแดนสวรรค์ของพวกเขาเป็นเรื่องยาก หรือหากมันจะเกิดขึ้นก็คงอีกนานเลยทีเดียว” มหาเทพมู่ซีมองไม่เห็นความสำเร็จของเหล่าเซียนที่กำลังจะลงไปเลยสักทาง “อีกนานหรือ? ข้าว่าเรื่องนี้น่าสนใจ” ใบหน้าและถ้อยคำที่แฝงไว้ด้วยความเจ้าเล่ห์ของมหาเทพสิงเทียนทำให้สองมหาเทพต้องเบิกตาโพลง “ใช่แล้ว ปัญหาของพวกเราก็คือบนแดนสวรรค์มีเซียนอาศัยอยู่มากเกินไป เมื่อพวกเขาสำเร็จบรรลุเข้าสู่ขั้นเทพพวกเราก็รับมือเอาไว้ได้ไม่หมด ไม่สู้ปล่อยให้พวกเขาไปใช้เวลาบ่มเพาะในแดนมนุษย์ให้นานสักหน่อย พวกเราจะได้มีเวลาได้จัดการระเบียบบนแดนสวรรค์กันอีกสักรอบ!!!” “ช้าก่อน! เช่นนี้เท่ากับเราผลักไสพวกเขาไปหรือไม่ ข้ากำลังรู้สึกผิดอยู่นะ" “เราบอกความจริงพวกเขาไปแล้วนี่นา การตัดสินใจของพวกเขาหาใช่พวกเราบังคับ” ปรึกษากันอยู่นานในที่สุดมหาเทพทั้งสามก็ตัดสินใจได้ “เราสามคนยังยืนยันคำเดิม เราไม่อาจเปลี่ยนแปลงกฎในการยึดพลังของพวกท่าน แต่หากพวกท่านสามารถบ่มเพาะจนถึงขั้นเซียนได้ แดนสวรรค์ก็จะเปิดประตูต้อนรับพวกท่านให้กลับมาเสมอ” ได้ยินการยืนยันเช่นนี้เหล่าเซียนทั้งหลายก็ยิ่งมีความมั่นใจยิ่งกว่าเดิม พวกเขาจะไม่ถูกลบความทรงจำนั่นหมายความว่าพวกเขาสามารถเริ่มการบำเพ็ญเพียรและฝึกฝนกันได้ใหม่โดยไม่ต้องมีผู้ใดสอนสั่งแม้จะถูกส่งลงไปอยู่ในแดนทุรกันดารไร้ญาติขาดมิตรก็ตามที “อีกอย่างที่ข้าต้องเตือนพวกเจ้า” มหาเทพมู่ซีตั้งใจจะประกาศคำเตือนสุดท้าย “พวกเจ้าคงมีความหวังว่าเหยาจีจะเพาะเมล็ดพันธุ์ท้อสวรรค์ที่แดนมนุษย์ได้สำเร็จสินะถึงได้กล้าที่จะเสี่ยง ข้าบอกไว้ก่อนว่า เมล็ดพันธุ์ท้อสวรรค์มิใช่ว่าอยากจะปลูกเมื่อใดก็ทำได้ ไม่เช่นนั้นบนเกาะแก้วของข้าคงมีท้อสวรรค์ขึ้นอยู่เต็มเกาะไปแล้ว แล้วหากมันจะสุกทุก 3,000 ปีตามเดิม ด้วยอายุขัยของมนุษย์ที่พวกเจ้ามี ลงไปก็ยังไม่ได้กิน!" คำกล่าวนี้สร้างความแตกตื่นให้ฝูงเซียนกลุ่มใหญ่ต้องถอยหลังกลับไปยืนที่เดิมของตน พวกเขาลืมคิดไปว่าท้อสวรรค์จะสุกทุก 3,000 ปีมิใช่หรือ! แต่สำหรับหลวนหลง ผู้ที่คิดอยากจะไปเผชิญหน้ากับความท้าทายย่อมไม่ถอยหลังกลับอยู่แล้ว เขาหันมองไปรอบตัวก็ยังมีเซียนที่คุ้นหน้าคุ้นตาหลากหลายเพศและวัยที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมเหมือนกับตนอีกนับ 1,000 คน คาดเดาว่าคนกลุ่มนี้ก็คงจะเบื่อหน่ายการบำเพ็ญเพียรเพิ่มอายุขัยเช่นเดียวกับตนเป็นแน่ “หากพวกเจ้าตัดสินใจกันดีแล้ว เราสามก็จะไม่รั้งเอาไว้ หลวนหลง! ข้าขอมอบเรื่องการตามหาเมล็ดพันธุ์ท้อสวรรค์ไว้กับเจ้า ไม่ว่าภายหน้าจะเกิดเหตุการณ์เช่นไรก็ขอให้การตัดสินใจสุดท้ายอยู่ที่เจ้า ท่านเซียนทุกคนที่จะลงไปต้องสาบานยอมรับคำสั่งเสียนี้เพราะเดิมทีท้อสวรรค์ผลนั้นก็สมควรเป็นของหลวนหลงตั้งแต่ต้น” มหาเทพมู่ซีต้องการผู้นำในการตัดสินใจ เพราะนางไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่าหากเหยาจีเพาะปลูกท้อสวรรค์บนแดนมนุษย์ได้สำเร็จจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรกับผลท้อบ้าง มันอาจจะสุกเร็วให้ผลทุกวัน หรืออาจจะไม่มีผลออกมาเลย ทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งหมด การป้องกันการแก่งแย่งทะเลาะกันเองควรจัดการเสียตั้งแต่แรก “ตกลง พวกเรายินยอมให้คำสาบานขอรับ/เจ้าค่ะ” “ช้าก่อน!!” ผีเสื้อเกล็ดแก้วตัวใหญ่มหึมากลายร่างเป็นบุรุษหนุ่มใหญ่ผิวสีเข้มรูปร่างแข็งแรงกำยำ ภาพนี้กระทบกระเทือนหัวใจของบรรดาท่านเซียนเข้าอย่างจัง ก่อนหน้านี้มีผีเสื้อเกล็ดแก้วสี่เสินกลายร่างเป็นเด็กหนุ่มรูปงามสง่าผ่าเผยราวกับเทพบุตรมาคนหนึ่งแล้ว ต่อมาก็เป็นผีเสื้อสาวที่งดงามไร้ที่ติผู้มาแจ้งข่าว พวกเขาจับคู่ผีเสื้อเกล็ดแก้วแววใสกับบุรุษร่างยักษ์ใบหน้าเหี้ยมเกรียมตรงหน้าผู้นี้ไม่ได้แม้แต่น้อย “ข้าเชื่อว่าข้าจะหาทางตามหากับสี่เสินและเหยาจีได้ดีกว่าผู้อื่น ข้าสนิทสนมและจดจำกลิ่นอายของทั้งคู่ได้แม่นยำ อีกอย่างข้าเป็นผู้คัดเลือกท่านเซียนหลวนหลงมาด้วยตนเอง ข้าสมควรติดตามไปช่วยเหลือเขาขอรับท่านมหาเทพสิงเทียน” ฝูซีขยับขาเล็กน้อยครู่หนึ่งก็มายืนอยู่เบื้องหลังหลวนหลงทำหน้าที่เป็นผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ มหาเทพสิงเทียนนึกเสียดายทูตสวรรค์ชั้นยอดอย่างฝูซีไม่น้อย แต่นั่นก็เป็นธรรมชาติของผีเสื้อเกล็ดแก้ว พวกเขาจงรักภักดีกับผู้ใดแล้วก็มักจะไม่เปลี่ยนแปลง “ได้ ข้าอนุญาต ฝูซีเป็นทูตสวรรค์อายุหลายหมื่นปีเลยทีเดียว เรื่องราวอันใดในแดนมนุษย์ที่พวกเจ้าไม่เคยรู้ก็ให้ถามจากเขา เซียนหลวนหลงเจ้ามีทูตสวรรค์ที่เยี่ยมยอดอยู่กับตัวแล้ว หวังว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จกับการตามหาเมล็ดพันธุ์ก็แล้วกันนะ” ร่างของเซียนที่อาสาสมัคร ยืนล้อมรอบบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่เอาไว้ พวกเขาจำเป็นต้องแยกย้ายกันออกไปทั่วแดนมนุษย์และตกลงกันไว้ว่าหากผู้ใดพบเจอเหยาจีก็จะหาทางส่งสัญญาณถึงกัน มีเพียงทูตสวรรค์ฝูซีคนเดียวเท่านั้นที่เกาะติดอยู่กับหลวนหลงไม่ห่างกาย หลังจากหลวนหลงและฝูซีกระโดดลงล่อเป็นคู่แรก คนอื่น ๆ ก็พร้อมใจกระโดดตามลงไปพร้อมกัน .......... แดนมนุษย์ “เราสองคนดูเหมือนจะไม่มีสิ่งใดผิดแปลกไปจากเดิมแม้แต่น้อยเลยนี่นา” เหยาจีเดินหมุนไปรอบตัวสี่เสิน พร้อมกับก้มมองดูไปที่ร่างของตน แม้แต่ชุดสีชมพูกรุยกรายที่นางสวมใส่อยู่ก็ยังคงเป็นชุดเดิม “แสดงว่าเราคงเริ่มต้นอายุขัยตามแบบของมนุษย์นับตั้งแต่ตอนนี้แล้วล่ะ” สี่เสินคาดเดาว่าตนเองน่าจะมีอายุราว 14 ปี ส่วนเหยาจีก็คงจะราว 12 ปี เท่านั้น ข้าบินไม่ได้แล้ว ท่านเล่าท่านกลับไปเป็นผีเสื้อได้หรือไม่?” "ไม่ได้ ก็เราเป็นมนุษย์แล้วนี่เหยาจี จากนี้ไปเจ้าต้องจำไว้ว่าข้าเป็นพี่ชายของเจ้า หากพบเจอมนุษย์คนใดต้องบอกพวกเขาเช่นนั้นข้าจะได้ปกป้องเจ้าได้” สี่เสินอายุบนแดนสุขาวดีก็ราว 3 หมื่นปีเศษ แม้จะไม่รู้ว่าดินแดนมนุษย์ยามนี้เป็นไปอย่างไรบ้างแล้ว แต่เรื่องราวของมนุษย์ที่เคยได้ยินได้ฟังมาจากท่านเทพทั้งหลาย ที่เล่าเรื่องราวเมื่อครั้งที่แดนสวรรค์และแดนมนุษย์ยังไปมาหาสู่กันได้อยู่ให้ตนฟังก็มีไม่น้อย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD