ตอนที่ 6 ควันไฟ

1714 Words
อาการปวดหัวและปั่นป่วนในร่างกายของเขายามนี้ทวีความรุนแรงยิ่งกว่าเดิม สี่เสินเข้าใจได้รวดเร็วว่านี่คงเป็นเรื่องปกติธรรมชาติของร่างกายมนุษย์ยามที่หิวโหย “ข้าก็รู้สึกเหมือนกัน” เหยาจีลูบท้องขึ้นลงไปมา ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด นางไม่เคยหิวมาก่อน อาหารบนสวรรค์ล้วนแล้วแต่กินเข้าไปเพื่อตอบสนองความอยากลิ้มลองและเพื่อความเป็นมงคลทั้งสิ้น “ตามข้ามาเราต้องหาอาหารกินกันแล้วล่ะ” เด็กหนุ่มส่งมือไปให้น้องสาวที่ยังนั่งกองอยู่กับพื้นทราย เหยาจีเงยหน้าขึ้นมองมือเล็กที่ยื่นมาหานาง ช้อนสายตามองขึ้นไปอีกหน่อยก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาของสี่เสินที่ยืนอยู่เหนือศีรษะ เมื่อ 5,000 ปีก่อน สี่เสินยังตัวเตี้ยกว่านี้บอบบางกว่านี้ ภายหลังมหาเทพมู่ซีไม่อนุญาตให้ทูตสวรรค์กลับคืนร่างเดิมนางจึงไม่ได้เห็นสี่เสินมานานเลยทีเดียว ยื่นมือออกไปสัมผัสกับฝ่ามือเนียนนุ่มของอีกฝ่าย แรงดึงของสี่เสินเพียงเล็กน้อยกลับยกตัวนางให้ลอยขึ้นได้อย่างง่ายดาย ความรู้สึกที่ได้รับการดูแลและปกป้องในฐานะน้องสาวเป็นครั้งแรกนี่มันดีจริงๆ เหยาจีคิดในใจ สองพี่น้องเยาว์วัยหาอาหารใส่ท้องที่หิวจนไส้กิ่วได้อย่างง่ายดาย พวกเขาพบว่าสถานที่ที่ตนเองกำลังยืนอยู่เป็นเกาะขนาดใหญ่เลยทีเดียว มีภูเขาสูงอยู่ตรงกลางล้อมรอบไปด้วยชายหาดขาวสะอาดกลางทะเล น้ำตกจากบนภูเขาไหลรินลงสู่ธารน้ำจืดเบื้องล่างเอาไว้ให้ดื่มกินไม่มีวันหมด และยังมีผลไม้หลากหลายชนิดที่พวกเขารู้จักให้เก็บกินอยู่รอบตัว สี่เสินพาน้องสาวปีนป่ายไปบนยอดเขาที่สามารถมองเห็นรอบเกาะ ทั้งคู่ก็พบว่าบนเกาะแห่งนี้ไม่มีสิ่งก่อสร้างหรือมนุษย์คนใดอาศัยอยู่เลยสักคน สัตว์ที่เห็นก็มีเพียงสัตว์เล็กที่ไม่เป็นอันตราย เรื่องนี้ทำให้สี่เสินโล่งใจอยู่ไม่น้อยเพราะทั้งเขาและเหยาจีไม่มีอาวุธเอาไว้ต่อสู้กับสัตว์ป่า มีเพียงมีดเล่มเล็กที่เหยาจีพกติดตัวไว้แบ่งผลท้อหยิบยื่นให้สหายของนางได้กินเท่านั้น “เราจะนอนกันอย่างไรพี่สี่เสิน” “คืนนี้นอนตรงนั้นก็แล้วกัน เราอยู่ใกล้น้ำตกมากเกินไปก็ไม่ดี สัตว์ป่าต้องมากินน้ำ อาจจะมีสัตว์ใหญ่ที่เรายังไม่พบอยู่อีกก็เป็นได้” เด็กหนุ่มชี้มือไปยังพื้นที่โล่งกว้างขนาดใหญ่อีกฝั่งหนึ่งของภูเขา บริเวณนั้นนอกจากจะเป็นทุ่งหญ้ากว้างแล้วยังมีกลุ่มโขดหินขนาดใหญ่ใกล้เชิงเขาที่พวกตนสามารถปีนขึ้นไปนอนพักโดยสามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวในที่โล่งได้ชัดเจน “เอาน้ำจืดใส่ไปในน้ำเต้านั่นให้พอ ประเดี๋ยวข้าจะเก็บผลไม้ไปเอง” สี่เสินเหนื่อยจนแทบจะขาดใจ การเดินและปีนขึ้นที่สูงในฐานะมนุษย์ครั้งแรกของสองพี่น้องกินแรงไปไม่น้อย ขาสองข้างของสี่เสินสั่นและปวดร้าวจนแทบจะก้าวไม่ไหวอยู่แล้ว แต่เมื่อมองเห็นใบหน้าที่แดงก่ำของเหยาจี เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นทั่วใบหน้าเล็กๆ ของนาง เขาจำเป็นต้องข่มกลั้นความเหน็ดเหนื่อย แสร้งทำเป็นเข้มแข็งเพื่อสร้างกำลังใจให้เหยาจีเดินลงไปถึงลานหินด้านล่างที่เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ได้ก่อนที่ฟ้าจะมืด ………. เช้าวันรุ่งขึ้น เหยาจีลืมตาขึ้นจากแสงแดดยามเช้าที่สาดส่องมาบนก้อนหินใหญ่ไร้ร่มไม้ที่นางและสี่เสินใช้อาศัยหลับนอนเมื่อคืน นางจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่านางกลับมาถึงก้อนหินใหญ่ก้อนนี้ได้อย่างไร กว่าจะเดินลงมาถึงชายเขาด้านล่าง นางก็จำได้ว่านางล้มลงไปนอนแผ่อยู่กับพื้นหลายครั้ง สุดท้ายสี่เสินก็ต้องแบกนางขึ้นหลังที่บอบบางของเขา ลืมตามาอีกครั้งก็เป็นเช้าวันใหม่เสียแล้ว “พี่สี่เสิน” เหยาจีมองไปรอบกายที่มีเพียงก้อนหินและทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ มองไม่เห็นพี่ชายของนาง ความเคลื่อนไหวจากบริเวณแนวป่าใกล้โขดหินใหญ่ทำให้เหยาจีรู้สึกประหม่าเล็กน้อย ไม่มั่นใจว่าสิ่งที่อยู่ใต้ยอดหญ้าสูงท่วมศีรษะนั้นเป็นสัตว์ป่าดุร้ายหรือไม่ “เหยาจี” เสียงเรียกจากสี่เสินทำให้เด็กหญิงแทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความโล่งใจ “เมื่อวานข้าต้องแบกเจ้าลงมา เลยทิ้งน้ำกับผลไม้ไว้ที่ธารน้ำตก หิวหรือยัง รีบกินเสียก่อน” สี่เสินรีบปีนขึ้นมาบนโขดหินที่ปล่อยให้น้องสาวนอนอยู่เพียงลำพัง “หิวแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ ขอบคุณพี่ชาย” คำขอบคุณเล็กๆ น้อยๆ กับการได้เห็นน้องสาวเริ่มดื่มน้ำและกัดกินผลไม้ด้วยความหิวโหยทำให้สี่เสินหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เขาเองก็อ่อนล้าไม่น้อยเช่นกัน หลับพักผ่อนไปได้ไม่นานก็ต้องรีบลุกขึ้นกลับไปเก็บผลน้ำเต้าตักน้ำในลำธารขึ้นมาดื่มด้วยความกระหาย กลับมาอีกครั้งเหยาจีก็ตื่นขึ้นมาพอดี “วันนี้เจ้าเดินไหวหรือไม่ เราคงต้องสำรวจรอบเกาะกันอีกครั้งเพื่อมองหาที่อยู่ที่ดีกว่าเดิม ที่นี่แม้จะปลอดภัยแต่มันก็กันแดดกันฝนไม่ได้ ไม่เหมาะจะอยู่อาศัยในระยะยาวหรอก” “เดินช้าลงนิดก็น่าจะไหวเจ้าค่ะ” เหยาจียกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดคราบผลไม้ที่เปรอะเปื้อนอยู่ริมฝีปาก ไม่คิดเลยว่าผลไม้ในแดนมนุษย์จะมีรสชาติดีเยี่ยมถึงเพียงนี้ สองพี่น้องใช้เวลาไปอีกครึ่งวันจึงได้พบกับถ้ำหินขนาดไม่ใหญ่มากนัก สี่เสินจำต้องทดลองจุดไฟด้วยการถูกิ่งไม้แห้งเข้าด้วยกันจนสำเร็จแล้วเข้าไปสำรวจในถ้ำให้แน่ใจว่าไม่มีร่องรอยของสัตว์ป่าอาศัยอยู่ด้านใน และในที่สุดค่ำคืนที่สองของพวกเขาก็ได้ที่พักใหม่ภายในถ้ำที่อยู่ไม่ไกลจากธารน้ำตกมากนัก ห้าวันในการใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์ของเหยาจีและสี่เสินไม่ได้ลำบากมากเกินไป พวกเขามีผลไม้ป่าที่อุดมสมบูรณ์ ทั้งยังมีมากจนเกินไปอีกด้วยซ้ำ มีน้ำจืดที่สามารถใช้กินและอาบน้ำชำระล้างร่างกายได้ แต่แล้วสี่เสินก็พบว่าการกินแต่ผลไม้และน้ำไม่เพียงพอกับร่างกายของเด็กหนุ่มวัยกำลังเจริญเติบโตอย่างตนได้เลย “เหยาจี ข้าจะจับปลามาย่างกิน” สี่เสินตัดสินใจในที่สุด เขารู้ดีว่าเหยาจีเป็นมิตรกับสัตว์ทุกชนิด และแน่นอนนางเคยกินแต่ผลท้อไม่เคยกินเนื้อสัตว์มาก่อน แต่ยามนี้ทั้งคู่ก็ไม่ใช่เซียนและทูตสวรรค์อีกต่อไปแล้ว “พวกมัน..” “พวกมันเป็นอาหารของมนุษย์ และเราเป็นมนุษย์นะ” เด็กสาวเม้มปากครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ใช่ว่านางไม่หิว กินแต่กล้วยกับผลไม้ป่ามา 5 วันเต็มๆ ตามจริงนางทั้งเบื่อทั้งรู้สึกไม่อิ่มท้องจนต้องฝืนกินผลไม้เหล่านั้นอยู่บ่อยๆ “ท่านต้องรับปากก่อนว่าจะถามพวกมันทุกครั้ง ว่าพวกมันใช่สหายข้าหรือไม่” สี่เสินหัวเราะเบาๆ ที่แท้นางก็ไม่ได้รังเกียจที่จะกินเนื้อสัตว์ เพียงแต่น้องสาวเกรงว่าจะเผลอจับเอาสหายที่กระโดดลงมาจากแดนสุขาวดีกินลงท้องไปเท่านั้น “ตกลง ข้าจะถามมันก่อน” เด็กหนุ่มตอบรับด้วยความอ่อนโยนและทำตามสัญญาอย่างเคร่งครัด “ปลาน้อย เจ้าเคยเป็นสัตว์เลี้ยงของเหยาจีหรือไม่ หากใช่พวกเจ้าก็รีบมาแสดงตัว ข้าจะได้แยกเจ้าไว้อีกทาง” เหยาจียืนมองพี่ชายตะโกนซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบที่ธารน้ำตก ผ่านไปเนิ่นนานจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีปลาตัวใดทำท่าทางว่าจะรู้จักพวกตน สี่เสินก็เดินลงน้ำใช้เสื้อผ้าช้อนปลาตัวอ้วน 2 ตัวที่มารุมล้อมรอบตัวเขาอย่างไม่กลัวเกรง เริ่มจากกินปลาน้ำจืดในธารน้ำตก เด็กสองคนก็ค่อยๆ เปลี่ยนเส้นทางอาหารไปยังชายฝั่งทะเล สี่เสินมองหาโขดหินใต้น้ำเพื่อจับปูและกุ้งที่มีอยู่มากมายขึ้นมาย่างกินกับน้องสาวอย่างเอร็ดอร่อย “ที่แท้เป็นมนุษย์ก็ไม่ได้ยากเย็นอันใดเลยพี่สี่เสิน เพียงแค่เรารู้สึกเหนื่อย หิว ง่วง ก็เท่านั้นเอง” เหยาจีกินเนื้อกุ้งตัวโตเท่าแขนตนไปถึง 3 ตัว นางล้มตัวลงนอนกับพื้นทรายแล้วอยู่ดีๆ ก็ลุกพรวดขึ้นมาทำสีหน้าแตกตื่น “พี่สี่เสิน ทางนั้นมีควันไฟ!” เหยาจีชี้มือไปยังเกาะที่อยู่ใกล้พวกนางมากที่สุด คะเนระยะทางด้วยสายตาก็น่าจะราว 5 ลี้ (1 ลี้ = 0.5 กิโลเมตร) สี่เสินหันมองตามนิ้วมือของน้องสาว เขาขมวดคิ้วแน่นด้วยความสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง หลายวันมาที่ผ่านมาใช่ว่าตนไม่เคยมองออกไปรอบเกาะ เกาะขนาดใหญ่ตรงหน้านี้เขาเคยกะระยะทางว่าน่าจะห่างจากเกาะที่ตนอาศัยอยู่ราว 15 ลี้ ดูเหมือนว่าเกาะที่เขากำลังมองอยู่นี้มันใกล้เข้ามามากกว่าเดิมอยู่บ้าง แต่ความสงสัยเรื่องระยะห่างก็ถูกสี่เสินหลงลืมไปสนิท เขาพุ่งความสนใจไปที่กลุ่มควันไฟหลายแห่งที่พวยพุ่งขึ้นจากบริเวณกลางเกาะขนาดใหญ่นั้นมากกว่า “มีควันไฟแสดงว่าเกาะนั้นมีมนุษย์อาศัยอยู่” “มนุษย์คนอื่นหรือเจ้าคะ ข้าอยากเห็นพวกเขา! พี่ชายคิดว่าเราจะว่ายน้ำไปถึงเกาะนั้นไหวหรือไม่?” เท้าเล็กๆ ของเหยาจีไม่ได้อยู่นิ่ง นางวิ่งลงไปในน้ำทะเลทันทีด้วยความตื่นเต้น
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD