"ฝ่าบาทระวัง!"
ตงฟางหรงคว้าคันธนูที่สะพายหลังออกมาอย่างรีบร้อน มือซ้ายของหญิงสาวกำคันธนูไว้แน่น มือขวาหยิบลูกศรเสียบไว้ที่คันธนูและสายธนู เธอใช้กำลังแขนดึงสายธนูให้ตึงเพื่อสะสมพลังงานก่อนจะปล่อยออกไป หัวลูกศรที่ทำจากเหล็กแหลมตอนนี้มุ่งหน้าด้วยความเร็วและแรง เสียงขนนกท้ายลูกศรเสียดสีกับแรงลมดังอื้ออึง
ทหารฝ่ายตรงข้ามกำลังง้างดาบอยู่ทางด้านหลังของจวินเฟยหลง ชายหนุ่มชะงักหันมองตามเสียงร้องตะโกน ภาพของหญิงสาวที่เขาคุ้นตาอยู่บนหลังม้ากำลังง้างธนูช่างน่ามหัศจรรย์ ไม่เพียงแค่สร้างความประหลาดใจให้ชายหนุ่มหากแต่ตอนนี้หัวใจของเขากำลังเกิดความเปลี่ยนแปลงอยู่ภายใน
ฟิ้ว.........ฉึก
ลูกธนูเสียบตรงกลางหัวใจ ศัตรูล้มลงกองตรงหน้าจวินเฟยหลงเขามองศพทหารตรงหน้าสลับกับหน้าหญิงสาวไปมาอย่างอึ้งทึ่ง
ฟิ้ว......
ฟิ้ว......
ฟิ้ว.......
ลูกธนูมากมายถูกยิงมาจากหญิงสาว ทหารฝ่ายตรงข้ามที่อยู่ในรัศมีของฮ่องเต้ล้วนล้มตายไม่เป็นท่า
"ตำแหน่งผู้กองไม่ได้มาเพราะโชคช่วยหรอกนะ" หญิงสาวยิ้มภูมิใจกับผลงานของตัวเอง แม้ไม่ได้จับคันธนูมานานแล้วหากแต่ความแม่นยำก็ยังฝังลึกอยู่ในตัวเธอ
"แย่แล้ว..ลูกธนูหมด" มือเรียวควานหาลูกศรในกระบอก
ตรงฟางหรงโยนคันธนูให้อวี๋อี่เก็บไว้ เธอชักดาบออกมาจากฝักกำไว้แน่น มืออีกข้างจับแน่นคุมบังเ**ยนควบม้ามาทางจวินเฟยหลง มือข้างที่ถือดาบฟาดฟันศัตรูคนแล้วคนเหล่า เธอฝ่าวงล้อมจนมาถึงตัวชายหนุ่ม
เคร้ง..เคร้ง..เสียงดาบที่ตงฟางหรงออกแรงตวัดใส่ศัตรูดังกึกก้อง
"เจ้ามาได้อย่างไร"
เคร้ง....
"ขี่ม้ามา"
เคร้ง....
"ฝ่าบาทระวัง" หญิงสาวกระโดดลงจากหลังม้าดึงจวินเฟยหลงมาทางด้านหลัง เธอกระโดดถีบศัตรูก่อนจะออกแรงฟันในระยะประชิด เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นโดนใบหน้างามของหญิงสาว จวินเฟยหลงได้แต่ยืนมองอย่างตะลึงงัน
เคร้ง.เคร้ง.
"ฝ่าบาททรงเหม่ออะไรอยู่" น้ำเสียงร้อนรนของหญิงสาวเอ่ยถามขึ้นมันช่างแตกต่างกับท่าทางเหม่อลอยของชายหนุ่มตอนนี้
"เปล่า" จวินเฟยหลงยกดาบขึ้นพร้อมกับดึงสตอกลับมา
จวินเฟยหลงได้สติคืนมาเขากับตงฟางหรงร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู เขาคอยปกป้องเธอจากด้านหลังส่วนเธอก็คอยปกป้องเขาเช่นกัน ดูเหมือนตอนนี้สถานการณ์เริ่มคลี่คลายกองทัพห่าวจิงกำลังได้เปรียบ
ท่ามกลางแสงแดดจ้าเหล่าทหารมากมายฆ่าฟันกันไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ศพทหารมากมายตายเกลื่อนกลาด กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว ลูกธนูของแต่ละฝ่ายถูกยิงมาจากทั่วทุกทิศทาง นี่คือสงครามที่แท้จริงไม่เพียงแค่ต้องหลบคมดาบเท่านั้นหากแต่ยังต้องคอยหลบลูกธนูด้วย หญิงสาวยกดาบขึ้นฟาดฟันศัตรูนับครั้งไม่ถ้วนเธอพร่ำบอกตัวเองอยู่ในใจคราวนี้เธอจะตายไม่ได้
ตงฟางหรงได้แต่นึกสงสัยอยู่ข้างใน ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเธอต้องออกรบแบบนี้ตั้งแต่วัยรุ่นเขาผ่านเรื่องราวเหล่านี้มาได้อย่างไร ไม่ทันที่จะหายสงสัยตอนนี้ทหารฝ่ายตรงข้ามวิ่งเข้ามาจากทางด้านหลังของชายหนุ่ม ตงฟางหรงวิ่งเข้าไปยกดาบสกัดไว้ จวินเฟยหลงหันกลับมาแทงดาบไปที่ท้องศัตรู
ฉึก ดูเหมือนว่าจวินเฟยหลงจะถูกฟันเข้าที่ต้นแขนจากศัตรูที่อยู่ด้านข้างอย่างจัง เลือดสีแดงสดไหลออกมาในทันที
"โอ๊ะ..โอ๊ย!" จวินเฟยหลงยกมือขึ้นกุมแผลใบหน้าเหยเก
"ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง ทรงได้รับบาดเจ็บนี่เพคะ"
"ไม่เป็นไร แผลเล็กน้อย"
"เล็กน้อยที่ไหนกัน อู่ติ่ง" เสียงหญิงสาวร้องเรียกองครักษ์อู่ติ่งที่อยู่ไม่ไกล
"พ่ะย่ะค่ะ"
"อารักขาฝ่าบาทกลับค่าย" หญิงสาวลากจวินเฟยหลงที่ทำท่าไม่ยอมกลับให้ขึ้นม้า
" ชอย่าดื้อเพคะ ทรงบาดเจ็บอยู่อย่างไรต้องรักษาบาดแผลก่อน"
"เจ้าจะสู้คนเดียวได้อย่างไร"
"หม่อมฉันไม่ได้สู้คนเดียวเพคะ หม่อมฉันมีองครักษ์อวี๋แล้วก็ทหารนับพันที่เคียงข้างหม่อมฉัน อย่าทรงห่วงเลย ตำแหน่งผู้กองไม่ได้มาเพราะโชคช่วยนะเพคะ"
"?"
"หม่อมฉันหมายถึงที่สำคัญคือปกป้องชีวิตฝ่าบาท"
"ขึ้นม้าเถอะเพคะ อย่าอยู่เป็นภาระของหม่อมฉันเลย" หญิงสาวยิ้มให้ชายหนุ่ม
"เจ้า!"
"วางใจได้เสด็จเถอะเพคะ อู่ติ่งพาฝ่าบาทออกไป"
ตงฟางหรงรับคันธนูที่ฝ่าบาทโยนมาให้ เธอยิงลูกศรออกไปลูกแล้วลูกเหล่าฝ่าวงล้อมให้จวินเฟยหลงจนตอนนี้ลูกธนูที่ชายหนุ่มให้ไว้หมดแล้ว แต่ด้านหน้ายังมีพลธนูของฝ่ายตรงข้างเล็งเป้ามาที่จวินเฟยหลงอีกคน เธอดึงมีดสั้นที่เหน็บอยู่เอวออกมาก่อนจะขวางไปยังศัตรู
ฉึก..ราวกับว่ามีดสั้นมีตาตอนนี้มันถูกปักอยู่ที่อกข้างซ้ายของศัตรูอย่างแม่นยำ
ชายหนุ่มบนหลังม้าได้แต่มองตามภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างประหลาดใจอีกครั้งและอีกครั้ง เขามองหญิงสาวที่คว้าดาบเข่นฆ่าศัตรูอย่างสงสัย แม้ว่าตอนนี้เธอจะเก่งกาจแค่ไหนแต่เขาไม่อยากทิ้งเธอไว้เบื้องหลังคนเดียว
ตงฟางหรงยืนหยัดต่อสู้กับศัตรูไม่มีถอย องครักษ์อวี๋ที่ท่าทางเหนื่อยล้าเต็มทียืนเคียงข้างไม่ห่างไปไหน
"ถอยทัพ" ฝ่ายศัตรูถอยทัพกลับเมื่อไม่สามารถต้านทานกองทัพของตงฟางหรงได้อีกต่อไป เหล่าทหารต่างวิ่งคืนถิ่นของตนเอง
ตงฟางหรงยืนท่ามกลางสมรภูมิ บนพื้นที่กว้างใหญ่แห้งแล้งแห่งนี้เต็มไปด้วยบาดแผล คราบเลือดและศพทหารนับพัน ถึงแม้วันนี้จะรบชนะหากแต่หญิงสาวก็รู้สึกเศร้าใจไม่น้อย ใกล้มืดแล้วเธอยังยืนอยู่ที่เดิมมองศัตรูล่าถอยไปจนหมด
"หวงกุ้ยเฟยทรงเป็นเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ" องครักษ์อวี๋อี่เอ่ยถามขึ้น
"ไม่เป็นไรแค่รอยข่วนเล็กน้อย" ตงฟางหรงยกแขนให้องครักษ์อวี๋ดู
"เสด็จกลับค่ายเถอะพ่ะย่ะค่ะ"
"แล้วศพทหารเหล่านี้ล่ะ" หญิงสาวเอ่ยถามขึ้น
"ให้เป็นหน้าที่ของเหล่าทหารเถอะพ่ะย่ะค่ะ"
"ดี..อย่าปล่อยให้พวกเขาตายอย่างโดดเดี่ยว" ตงฟางหรงมองออกไปเบื้องหน้าที่ร่างไร้วิญญาณนับร้อยนอนตายเกลื่อน
"เชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะ"
ตงฟางหรงควบม้าออกมาแม้เธออยากจะหันกลับไปมองด้านหลังแต่ก็ทำได้เพียงกลั้นใจไว้ ภาพด้านหลังหนักหนาเกินกว่าที่หญิงสาวจะทนรับได้ อยู่ที่นี่ตายที่ไหนฝังที่นั่นถ้าเป็นยุคที่เธอจากมายังสามารถกลับบ้านได้แต่ที่นี่แค่คิดก็เศร้าใจแล้ว
อาชาแกร่งตอนนี้มาหยุดอยู่หน้าค่ายเสียงทหารโห่ร้องต้อนรับการกลับมาของหญิงสาวดังกึกก้อง เธอกระโดดลงจากหลังม้าเดินเข้าที่พักเพื่อดูอาการของจวินเฟยหลง
ชายหนุ่มยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง หญิงสาวพินิจบาดแผลของชายหนุ่มด้วยสายตาเป็นกังวล
"ฟางหรง ฟางหรง" เสียงแผ่วลอดจากลำคอเบาๆ
"หม่อมฉันอยู่นี่" ตงฟางหรงนั่งลงมองข้างๆ ชายหนุ่มที่กำลังหลับอยู่ วูบหนึ่งเธอกลับรู้สึกว่าตัวเองรู้สึกหวั่นไหว
เธอคิดอยู่ในใจ
(บางทีความเหนื่อยล้า กดดัน จากสงครามก็ทำให้คนเราสับสนมึนงงได้เหมือนกัน)
.................
.....