ตอนที่11 ภารกิจช่วยชีวิตฝ่าบาท

1290 Words
"ฝ่าบาทระวัง!" ตงฟางหรงคว้าคันธนูที่สะพายหลังออกมาอย่างรีบร้อน มือซ้ายของหญิงสาวกำคันธนูไว้แน่น มือขวาหยิบลูกศรเสียบไว้ที่คันธนูและสายธนู เธอใช้กำลังแขนดึงสายธนูให้ตึงเพื่อสะสมพลังงานก่อนจะปล่อยออกไป หัวลูกศรที่ทำจากเหล็กแหลมตอนนี้มุ่งหน้าด้วยความเร็วและแรง เสียงขนนกท้ายลูกศรเสียดสีกับแรงลมดังอื้ออึง ทหารฝ่ายตรงข้ามกำลังง้างดาบอยู่ทางด้านหลังของจวินเฟยหลง ชายหนุ่มชะงักหันมองตามเสียงร้องตะโกน ภาพของหญิงสาวที่เขาคุ้นตาอยู่บนหลังม้ากำลังง้างธนูช่างน่ามหัศจรรย์ ไม่เพียงแค่สร้างความประหลาดใจให้ชายหนุ่มหากแต่ตอนนี้หัวใจของเขากำลังเกิดความเปลี่ยนแปลงอยู่ภายใน ฟิ้ว.........ฉึก ลูกธนูเสียบตรงกลางหัวใจ ศัตรูล้มลงกองตรงหน้าจวินเฟยหลงเขามองศพทหารตรงหน้าสลับกับหน้าหญิงสาวไปมาอย่างอึ้งทึ่ง ฟิ้ว...... ฟิ้ว...... ฟิ้ว....... ลูกธนูมากมายถูกยิงมาจากหญิงสาว ทหารฝ่ายตรงข้ามที่อยู่ในรัศมีของฮ่องเต้ล้วนล้มตายไม่เป็นท่า "ตำแหน่งผู้กองไม่ได้มาเพราะโชคช่วยหรอกนะ" หญิงสาวยิ้มภูมิใจกับผลงานของตัวเอง แม้ไม่ได้จับคันธนูมานานแล้วหากแต่ความแม่นยำก็ยังฝังลึกอยู่ในตัวเธอ "แย่แล้ว..ลูกธนูหมด" มือเรียวควานหาลูกศรในกระบอก ตรงฟางหรงโยนคันธนูให้อวี๋อี่เก็บไว้ เธอชักดาบออกมาจากฝักกำไว้แน่น มืออีกข้างจับแน่นคุมบังเ**ยนควบม้ามาทางจวินเฟยหลง มือข้างที่ถือดาบฟาดฟันศัตรูคนแล้วคนเหล่า เธอฝ่าวงล้อมจนมาถึงตัวชายหนุ่ม เคร้ง..เคร้ง..เสียงดาบที่ตงฟางหรงออกแรงตวัดใส่ศัตรูดังกึกก้อง "เจ้ามาได้อย่างไร" เคร้ง.... "ขี่ม้ามา" เคร้ง.... "ฝ่าบาทระวัง" หญิงสาวกระโดดลงจากหลังม้าดึงจวินเฟยหลงมาทางด้านหลัง เธอกระโดดถีบศัตรูก่อนจะออกแรงฟันในระยะประชิด เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นโดนใบหน้างามของหญิงสาว จวินเฟยหลงได้แต่ยืนมองอย่างตะลึงงัน เคร้ง.เคร้ง. "ฝ่าบาททรงเหม่ออะไรอยู่" น้ำเสียงร้อนรนของหญิงสาวเอ่ยถามขึ้นมันช่างแตกต่างกับท่าทางเหม่อลอยของชายหนุ่มตอนนี้ "เปล่า" จวินเฟยหลงยกดาบขึ้นพร้อมกับดึงสตอกลับมา จวินเฟยหลงได้สติคืนมาเขากับตงฟางหรงร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู เขาคอยปกป้องเธอจากด้านหลังส่วนเธอก็คอยปกป้องเขาเช่นกัน ดูเหมือนตอนนี้สถานการณ์เริ่มคลี่คลายกองทัพห่าวจิงกำลังได้เปรียบ ท่ามกลางแสงแดดจ้าเหล่าทหารมากมายฆ่าฟันกันไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ศพทหารมากมายตายเกลื่อนกลาด กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว ลูกธนูของแต่ละฝ่ายถูกยิงมาจากทั่วทุกทิศทาง นี่คือสงครามที่แท้จริงไม่เพียงแค่ต้องหลบคมดาบเท่านั้นหากแต่ยังต้องคอยหลบลูกธนูด้วย หญิงสาวยกดาบขึ้นฟาดฟันศัตรูนับครั้งไม่ถ้วนเธอพร่ำบอกตัวเองอยู่ในใจคราวนี้เธอจะตายไม่ได้ ตงฟางหรงได้แต่นึกสงสัยอยู่ข้างใน ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเธอต้องออกรบแบบนี้ตั้งแต่วัยรุ่นเขาผ่านเรื่องราวเหล่านี้มาได้อย่างไร ไม่ทันที่จะหายสงสัยตอนนี้ทหารฝ่ายตรงข้ามวิ่งเข้ามาจากทางด้านหลังของชายหนุ่ม ตงฟางหรงวิ่งเข้าไปยกดาบสกัดไว้ จวินเฟยหลงหันกลับมาแทงดาบไปที่ท้องศัตรู ฉึก ดูเหมือนว่าจวินเฟยหลงจะถูกฟันเข้าที่ต้นแขนจากศัตรูที่อยู่ด้านข้างอย่างจัง เลือดสีแดงสดไหลออกมาในทันที "โอ๊ะ..โอ๊ย!" จวินเฟยหลงยกมือขึ้นกุมแผลใบหน้าเหยเก "ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง ทรงได้รับบาดเจ็บนี่เพคะ" "ไม่เป็นไร แผลเล็กน้อย" "เล็กน้อยที่ไหนกัน อู่ติ่ง" เสียงหญิงสาวร้องเรียกองครักษ์อู่ติ่งที่อยู่ไม่ไกล "พ่ะย่ะค่ะ" "อารักขาฝ่าบาทกลับค่าย" หญิงสาวลากจวินเฟยหลงที่ทำท่าไม่ยอมกลับให้ขึ้นม้า " ชอย่าดื้อเพคะ ทรงบาดเจ็บอยู่อย่างไรต้องรักษาบาดแผลก่อน" "เจ้าจะสู้คนเดียวได้อย่างไร" "หม่อมฉันไม่ได้สู้คนเดียวเพคะ หม่อมฉันมีองครักษ์อวี๋แล้วก็ทหารนับพันที่เคียงข้างหม่อมฉัน อย่าทรงห่วงเลย ตำแหน่งผู้กองไม่ได้มาเพราะโชคช่วยนะเพคะ" "?" "หม่อมฉันหมายถึงที่สำคัญคือปกป้องชีวิตฝ่าบาท" "ขึ้นม้าเถอะเพคะ อย่าอยู่เป็นภาระของหม่อมฉันเลย" หญิงสาวยิ้มให้ชายหนุ่ม "เจ้า!" "วางใจได้เสด็จเถอะเพคะ อู่ติ่งพาฝ่าบาทออกไป" ตงฟางหรงรับคันธนูที่ฝ่าบาทโยนมาให้ เธอยิงลูกศรออกไปลูกแล้วลูกเหล่าฝ่าวงล้อมให้จวินเฟยหลงจนตอนนี้ลูกธนูที่ชายหนุ่มให้ไว้หมดแล้ว แต่ด้านหน้ายังมีพลธนูของฝ่ายตรงข้างเล็งเป้ามาที่จวินเฟยหลงอีกคน เธอดึงมีดสั้นที่เหน็บอยู่เอวออกมาก่อนจะขวางไปยังศัตรู ฉึก..ราวกับว่ามีดสั้นมีตาตอนนี้มันถูกปักอยู่ที่อกข้างซ้ายของศัตรูอย่างแม่นยำ ชายหนุ่มบนหลังม้าได้แต่มองตามภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างประหลาดใจอีกครั้งและอีกครั้ง เขามองหญิงสาวที่คว้าดาบเข่นฆ่าศัตรูอย่างสงสัย แม้ว่าตอนนี้เธอจะเก่งกาจแค่ไหนแต่เขาไม่อยากทิ้งเธอไว้เบื้องหลังคนเดียว ตงฟางหรงยืนหยัดต่อสู้กับศัตรูไม่มีถอย องครักษ์อวี๋ที่ท่าทางเหนื่อยล้าเต็มทียืนเคียงข้างไม่ห่างไปไหน "ถอยทัพ" ฝ่ายศัตรูถอยทัพกลับเมื่อไม่สามารถต้านทานกองทัพของตงฟางหรงได้อีกต่อไป เหล่าทหารต่างวิ่งคืนถิ่นของตนเอง ตงฟางหรงยืนท่ามกลางสมรภูมิ บนพื้นที่กว้างใหญ่แห้งแล้งแห่งนี้เต็มไปด้วยบาดแผล คราบเลือดและศพทหารนับพัน ถึงแม้วันนี้จะรบชนะหากแต่หญิงสาวก็รู้สึกเศร้าใจไม่น้อย ใกล้มืดแล้วเธอยังยืนอยู่ที่เดิมมองศัตรูล่าถอยไปจนหมด "หวงกุ้ยเฟยทรงเป็นเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ" องครักษ์อวี๋อี่เอ่ยถามขึ้น "ไม่เป็นไรแค่รอยข่วนเล็กน้อย" ตงฟางหรงยกแขนให้องครักษ์อวี๋ดู "เสด็จกลับค่ายเถอะพ่ะย่ะค่ะ" "แล้วศพทหารเหล่านี้ล่ะ" หญิงสาวเอ่ยถามขึ้น "ให้เป็นหน้าที่ของเหล่าทหารเถอะพ่ะย่ะค่ะ" "ดี..อย่าปล่อยให้พวกเขาตายอย่างโดดเดี่ยว" ตงฟางหรงมองออกไปเบื้องหน้าที่ร่างไร้วิญญาณนับร้อยนอนตายเกลื่อน "เชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะ" ตงฟางหรงควบม้าออกมาแม้เธออยากจะหันกลับไปมองด้านหลังแต่ก็ทำได้เพียงกลั้นใจไว้ ภาพด้านหลังหนักหนาเกินกว่าที่หญิงสาวจะทนรับได้ อยู่ที่นี่ตายที่ไหนฝังที่นั่นถ้าเป็นยุคที่เธอจากมายังสามารถกลับบ้านได้แต่ที่นี่แค่คิดก็เศร้าใจแล้ว อาชาแกร่งตอนนี้มาหยุดอยู่หน้าค่ายเสียงทหารโห่ร้องต้อนรับการกลับมาของหญิงสาวดังกึกก้อง เธอกระโดดลงจากหลังม้าเดินเข้าที่พักเพื่อดูอาการของจวินเฟยหลง ชายหนุ่มยังคงนอนหลับอยู่บนเตียง หญิงสาวพินิจบาดแผลของชายหนุ่มด้วยสายตาเป็นกังวล "ฟางหรง ฟางหรง" เสียงแผ่วลอดจากลำคอเบาๆ "หม่อมฉันอยู่นี่" ตงฟางหรงนั่งลงมองข้างๆ ชายหนุ่มที่กำลังหลับอยู่ วูบหนึ่งเธอกลับรู้สึกว่าตัวเองรู้สึกหวั่นไหว เธอคิดอยู่ในใจ (บางทีความเหนื่อยล้า กดดัน จากสงครามก็ทำให้คนเราสับสนมึนงงได้เหมือนกัน) ................. .....
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD