“เจ้าบ้าไปแล้วหรือไร เราคุยกันแล้วมิใช่รึ ไยเจ้าถึงใจแคบนัก เจ้าเปลี่ยนไป” หลิ่งหมิงต่อว่าหนิงเยว่ซินด้วยคำรุนแรง
หญิงสาวถึงกับเบิกตากว้าง “ใช่! ข้าบ้า” นางเสียงดังมากกว่าเดิม “เป็นข้าที่เปลี่ยนไป ใช่แล้ว เป็นข้าเองที่เปลี่ยนไป” หนิงเยว่ซินคำรามทั้งน้ำตา “ย่อมเป็นข้าที่เปลี่ยนไป ข้ามิใช่เยว่ซินผู้อ่อนหวานคนเดิม ข้าเกลียดท่าน หลิ่งหมิง ข้าเกลียดท่าน”
หนิงเยว่ซินร้องไห้โฮด่าทอตนเองกระทบสามีอย่างจงใจก่อนจะวิ่งหายไปจากเรือน
วันแล้ววันเล่าที่หนิงเยว่ซินเอาแต่ร่ำไห้อยู่ในห้องโดยไม่ยอมพบหน้าของหลิ่งหมิงอีกถึงแม้ว่าเขาจะมาหานางทุกวัน แต่กระนั้นหนิงเยว่ซินก็ยังคงเอาแต่ร้องไห้ทำใจมิได้เรื่องของเขา
“ข้ารักเจ้ามิได้ลดน้อยลงเลย หากแต่ความรับผิดชอบของข้ายังคงต้องมี เยว่ซิน...เหตุใดเจ้าไม่เข้าใจ”
นั่นคือประโยคสุดท้ายหลังบานประตูที่หนิงเยว่ซินได้ยิน
หญิงสาวเริ่มรับรู้ได้ว่านางเริ่มเปลี่ยนไป สภาวะอารมณ์ของนางผันแปรไปไม่เหมือนเดิม
นางทั้งอารมณ์ร้ายทั้งชอบโวยวาย นางโมโหร้ายไม่ยอมใครทั้งนั้น จนกระทั่งหลิ่งหมิงเริ่มเอือมระอานางขึ้นมาจริงๆ เพราะเขาบัดนี้มีสตรีเปรียบเทียบกันอย่างชัดเจน
หนึ่งคือสตรีอารมณ์ร้ายไร้ความอ่อนโยนอ่อนหวานอย่างที่ควรเป็นกับอีกหนึ่งสตรีช่างน่ารักน่าทะนุถนอมคอยเอาอกเอาใจทั้งยังหวานล้ำในยามค่ำคืน
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครแพ้ใครชนะ
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหลิ่งหมิงจักเลือกใคร
หนิงเยว่ซินได้แต่ช้ำใจจนกระทั่งนางได้ล่วงรู้ถึงสาเหตุของอารมณ์ที่เปลี่ยนไปจากสตรีอ่อนหวานเป็นสตรีร้ายกาจของตนเอง
นางกำลังตั้งครรภ์!
สตรีตั้งครรภ์มักจะมีอารมณ์อ่อนไหวมากกว่าสตรีที่มิได้ตั้งครรภ์ ยิ่งเมื่อมีเรื่องมากระทบจิตใจกันเยี่ยงนั้น แน่นอนว่าย่อมรุนแรง
เมื่อนางรับรู้ถึงอีกหนึ่งชีวิตน้อยๆ ในท้องของตน นางจึงคิดจะบอกกล่าวแก่สามี คืนวันดีๆ ของสองเราอาจจะกลับมา
แต่ทว่านางกลับคิดผิดไป
หลายวันหลายคืนที่ผ่านมาที่นางเอาแต่ร่ำไห้ปานขาดใจอยู่ให้เหย้าในเรือนกินเวลาอยู่เป็นเดือน ในยามนี้ที่นางอายุครรภ์ได้เพียงสามเดือน เจียวลู่ที่เข้าหอกับหลิ่งหมิงเรื่อยมาก็ตั้งครรภ์ได้หนึ่งเดือน
เรื่องนั้นเปรียบเสมือนฟ้าผ่าลงกลางหน้าผาก
ข่าวการตั้งครรภ์ของเจียวลู่ที่ส่งถึงหลิ่งหมิงก่อนหน้านางทำให้นางถึงกับลิ้นจุกปาก
นางเดินมายังมิทันได้ถึงเรือนของหลิ่งหมิง นางก็เห็นหลิ่งหมิงกับเจียวลู่ยิ้มแย้มให้กันแลดูมีความสุขอยู่ในศาลากลางสวน ฝ่ามือของหลิ่งหมิงลูบท้องของเจียวลู่อย่างอ่อนโยน
หนิงเยว่ซินยืนมองภาพนั้นด้วยใจที่หนาวเหน็บเย็นจัดไปถึงกระดูก
ภาพของสามีแห่งตนยืนประคองกอดกับหญิงอื่นว่าเจ็บปวดมากแล้ว ยังมิเท่าภาพของสามีตนเองยืนลูบคลำท้องของสตรีผู้นั้นอย่างยินดีปรีดา
เสียงครวญครางที่นางได้ยินยามพวกเขาทำรักกัน นางคิดว่าเจ็บปวดมากแล้ว ก็ยังมิเทียบเท่ากับเสียงหัวเราะของพวกเขาในยามนี้
ช่างเจ็บปวดสิ้นดี ช่างเจ็บปวดเกินทานทน เจ็บเสียจนจวนเจียนใกล้สิ้นใจ
นับแต่บัดนั้น หนิงเยว่ซินจึงได้ตัดสินใจ
นางเลือกที่จะอยู่กับลูกในครรภ์ นางเลือกที่จะอุ้มท้องอย่างเข้มแข็งแม้โดดเดี่ยว นางเลือกที่จะไม่บอกกล่าวแก่หลิ่งหมิง นางเลือกที่จะขังตนเองไว้ในเรือนหลักไม่ออกมาพบหน้าของสามีอีกเลย
ชีวิตของนางจะมีเพียงลูกก็เท่านั้น นางจะมีชีวิตอยู่เพื่อลูกเท่านั้น
หากแต่สวรรค์คล้ายกลั่นแกล้งกัน
ในวันที่หนิงเยว่ซินคลอดลูกออกมาเพียงสามวัน วันนั้นคือวันสุดท้ายที่นางได้มองโลกผ่านม่านตาที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำสีใสก่อนจะจากลาโลกนี้ไปโดยทิ้งเอาไว้เพียงธิดาหนึ่งเดียวแห่งตน
หนิงเหมย คือเด็กน้อยอาภัพคนนั้น
หนิงเหมยอยู่ในครรภ์มารดาในวันที่บิดาพาสตรีคนใหม่เข้าเรือน
ในวันที่มารดารับรู้ถึงตัวตนของหนิงเหมยในครรภ์ก็คือวันที่มารดาต้องช้ำตรมระทมสุดแสน
ในวันที่หนิงเหมยคลอดออกมาดูโลกคือวันที่มารดาต้องลาจากโลกไปตลอดกาล
หนิงเหมยคือต้นเหตุที่ทำให้มารดาตายจาก
หนิงเหมยคือสาเหตุที่ทำให้มารดาเปลี่ยนไปจากสตรีที่สุขุมเยือกเย็นจิตใจดีงามกลับกลายเป็นสตรีอารมณ์ร้ายขี้โมโหชอบใช้ความรุนแรง
หนิงเหมยคือบุตรีที่บิดามองมาด้วยแววตาเย็นชาตั้งแต่เกิด
นางคือสตรีที่เติบโตมาท่ามกลางสายตาว่างเปล่าของทุกคน
ทุกคราที่นึกถึงนัยน์ตาของนางร้อนผ่าว น้ำตาไหลรินออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ สัมผัสได้เพียงความเจ็บปวดราวกับหัวใจฉีกขาดจนเป็นแผลกว้าง แผลนั้นเป็นบาดแผลที่ไม่มีวันจางหาย ทั้งยังกลัดหนองเจ็บหน่วงตลอดเวลา
แม่นมซือเสียนคือสาวใช้คนสนิทของหนิงเยว่ซินและเป็นผู้ที่เล่าเรื่องราวทุกอย่างให้หนิงเหมยฟังจนกระจ่างแจ้งแก่ใจถึงเรื่องราวที่หนิงเหมยสงสัยใคร่รู้และควรจักรู้เมื่อจำความได้
จนกระทั่งในวันที่หนิงเหมยอายุได้สิบเจ็ดปี แม่นมซือเสียนผู้เป็นคนเดียวที่อยู่กับหนิงเหมยตลอดมาต้องมาตายจากไปเนื่องจากถูกเจียวลู่ลงทัณฑ์โทษฐานที่ขโมยปิ่นทองคำและไข่มุกเม็ดงามไปขายทอดตลาดโดยมีหนิงเหมยรู้เห็นเป็นใจ
แม่นมซือเสียนที่มีอายุมากแล้วจึงมิอาจทนต่อการถูกโบยอย่างหนักเยี่ยงนั้นได้ ในขณะที่หนิงเหมยถูกเจียวลู่ส่งตัวไปลงทัณฑ์ยังวัดอันห่างไกลเพื่อไปชำระล้างจิตใจ
หญิงสาวถูกสั่งให้ถือศีลกินเจปฏิบัติธรรมที่วัดวัดฉือหนิงอันห่างไกลและทุรกันดารตั้งอยู่นอกเมืองโดยมีหลิ่งหมิงผู้เป็นบิดาเห็นชอบกับการตัดสินใจของเจียวลู่ผู้เป็นภรรยารองแห่งเขา
หนิงเหมยไม่แปลกใจว่าเหตุใดเจียวลู่ถึงได้ชิงชังนางนัก ด้วยเพราะว่าเจียวลู่เป็นเพียงภรรยารองตั้งแต่วันแรกที่แต่งเข้ามาจวบจนกระทั่งวันนี้
วันที่ถึงแม้ว่าภรรยาเอกอย่างหนิงเยว่ซินจะตายจากไปนานแล้ว แต่เจียวลู่ก็ยังคงเป็นได้เพียงภรรยารองของบิดานาง
นั่นจึงทำให้หนิงเหมยที่อยากจะเกลียดบิดาแต่ก็ไม่สามารถเกลียดท่านได้ลง ถึงแม้ว่าบิดาจะเย็นชากับนางเสมอมา
เห็นได้ชัดว่าบิดารักมารดามากเพียงใด หากแต่ด้วยอารมณ์ที่อยู่เหนือเหตุผลของมารดาและความเป็นชายที่หยิ่งทระนงตนของบิดา จึงทำให้ทุกชีวาต้องมาอยู่ยังจุดนี้ มีสภาพเยี่ยงนี้
หนิงเหมยได้แต่ก้มหน้ารับกรรมแห่งโชคชะตาของตนเอง
นางทำได้เพียงเท่านั้น
นางไม่สามารถทำสิ่งใดได้มากไปกว่านี้...
แต่นั่นก็คือความคิดก่อนหน้าที่หนิงเหมยจักเจอกับบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งนามว่าเจิ้งเหวินหลาง
เจิ้งเหวินหลางเป็นชายที่มีรอยยิ้มอบอุ่น ทั้งอ่อนโยนและจริงใจ กลิ่นอายรอบเรือนกายของเขาให้ความรู้สึกปลอดภัยและเป็นสุขใจยามเมื่อได้อยู่ใกล้กัน