แสงสีแดงฉานของเปลวเพลิง ที่ปะทุโชติช่วงชัชวาลขนาดเท่าภูเขาลูกใหญ่กำลังกลืนกินสำนักพยัคฆ์เมฆาหงส์ฟ้าเหินจนย่อยยับทั้งสำนัก ไม่เว้นแม้แต่เรือนเล็กเรือนน้อย
เสียงเปรี๊ยะๆ ของเปลวเพลิงมอดไหม้เรือนไม้ผสมผสานเสียงกรีดร้องอันโหยหวนของเหล่าผู้คน เสียงต่อสู้ฟาดฟันของอาวุธมากมายจากหลากหลายผู้คนปะทะใส่กันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน
เสียงเหล่านั้นดังสะท้านสะเทือนกึกก้องไปทั่วทั้งภูเขาเร้นลับแห่งนั้น สถานที่ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักพยัคฆ์เมฆาหงส์ฟ้าเหิน
ซูเจิน หญิงสาวสะพรั่งในวัยสิบหกปี ยังคงได้ยินเสียงและมองเห็นภาพเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี ผ่านจิตมโนสำนึกยามหลับตา ถึงแม้ว่ามันจะผ่านมานานแล้วหลายราตรี
กลิ่นคาวโลหิตโชยฉุนเหม็นคละคลุ้งไปทั่วอาณาบริเวณอยู่ทุกสารทิศภายในหุบเขาแห่งนั้น ไม่เว้นแม้แต่ตามเรือนร่างของนางเอง เลือดอุ่นๆ เป็นเมือกเหนียวหนืดติดอยู่ตามวงหน้าและเสื้อผ้ากระทั่งไหลเข้าดวงตา แต่ทว่านางกลับมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจนถนัดตาถึงแม้ว่าเปลือกตาของนางในยามนั้นจะหนักอึ้งเต็มที อีกทั้งร่างทั้งร่างของนางยังกำลังร่วงหล่นตกดิ่งลงเหวสูงชันที่อยู่ไม่ไกลกันจากสำนักใหญ่โตที่กำลังมอดไหม้เป็นเถ้าธุลี
ครอบครัวของนาง บ้านของนาง สำนักของนาง บิดามารดาของนาง ญาติพี่น้องทุกคน
ตายหมด...
จ้าวสำหนักซูหยางบิดาผู้ยิ่งใหญ่ของนางต้องสิ้นชื่อจากเหตุการณ์นั้น
นักฆ่าระดับตำนานสู่ดาบเคียงมังกรแห่งองค์จักรพรรดิแคว้นฉู่เมื่อสิ้นพระองค์ดาบคู่มังกรซูหยางจึงปลีกตัวโบยบินสู่โลกกว้างสร้างอาณาจักรเป็นของตนเองจนกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุทธภพภายในเวลาไม่นาน มิคาดว่าจักรพรรดิพระองค์ใหม่จะทรงระแวงเกรงจะเป็นหอกข้างแคร่ทำบัลลังก์มังกรสั่นคลอนด้วยนักฆ่าระดับตำนานย่อมเป็นที่ต้องการของผู้นำหลากแคว้นให้เข้าสวามิภักดิ์
ซูเจินธิดาสาวหนึ่งเดียวของซูหยางเมื่อยามเยาว์วัยยังเคยได้เห็นจักรพรรดิองค์ก่อนกับบิดารักใคร่ฉันท์มิตรสหายกระทั่งนางยังเคยได้ขึ้นนั่งบนพระเพลา(ตัก,หน้าขา)ของเจ้าแห่งแผ่นดินแคว้นฉู่
มิคาดว่าเมื่อสิ้นพระบิดาแห่งแคว้นฉู่ผู้ที่สืบทอดกลับกระทำการไร้ความคิดไล่ปั่นชีวิตของผู้จงรักภักดีแห่งเจ้าเหนือหัวพระองค์ก่อนเสียสิ้นไม่เว้นแม้แต่บ้านของนาง
ซูเจินยิ่งคิดยิ่งแค้นจนต้องสำรอกโลหิตในอกออกมาเป็นลิ่มไหลเป็นทางยาวอยู่ตรงริมฝีปาก
“ไอ๊หยา! สำลักเลือดออกมาอีกแล้ว สกปรกเสียจริง” เสียงของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นอยู่นอกกรงขังใจที่ซูเจินกำลังนั่งอยู่ในนั้น
หลังจากตกจากหน้าผาลงมาในลำธารเชี่ยวกรากและถูกกระแสน้ำพัดพามาไกลหลายลี้ สภาพของซูเจินจึงดูไม่เหมือนมนุษย์สักเท่าไหร่ หากบอกว่าเป็นซากศพก็คงไม่ต่าง
“สตรีนางนี้มีทั้งบาดแผลทั้งเลือดเปรอะเปื้อน อีกไม่นานก็คงตาย เอามันออกมาแล้วทิ้งไว้ข้างทางนี่ล่ะ” ชายคนเดิมยังคงเอ่ยต่อพลางหันหน้าไปทางบุรุษอีกสองคนที่ยืนอยู่ด้วยกันตรงกลางเมืองที่กำลังคลาคล่ำไปด้วยผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา
“เอาอย่างนั้นหรือหัวหน้า” ชายคนหนึ่งเอ่ยถามด้วยสีหน้าที่บ่งบอกได้ว่ามิรู้สึกอะไร “เผื่อว่ามันยังพอขายออกนาท่าน”
“จะขายออกได้อย่างไร สภาพเยี่ยงนี้ หอนางโลมก็ไม่รับ โรงเตี๊ยมยังไม่สน เหลาสุรายังไม่เอา ไยต้องเก็บเอาไว้ให้เกะกะรกหูรกตา เอามันออกมา!” ชายคนหัวหน้าบ่นยาวเหยียดตามด้วยออกคำสั่งเด็ดขาดทันที
เพียงอึดใจร่างบางที่แสนจะบอบช้ำเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลใบหน้าเปื้อนเปรอะดวงตาหม่นแสงของซูเจินก็ถูกดึงออกมาจากกรงขังในขบวนค้าทาสแล้วถูกเหวี่ยงเอาไว้ตรงริมทางในทันที และเพียงไม่นานต่อมาขบวนค้าทาสดังกล่าวก็เคลื่อนตัวออกไปจากมุมเดิมเพื่อไปหามุมใหม่เพื่อเร่ขายทาสคนอื่นๆ ต่อไป
ซูเจินที่ไม่ต่างจากเนื้อตากแห้งได้แต่นอนหายใจรวยรินอยู่ที่เดิมไม่สามารถลุกขึ้นนั่งได้แต่อย่างใด แม้แต่เรี่ยวแรงที่จะกระดิกนิ้วยังไม่มี นางทำได้เพียงหลับตาลงช้าๆ อย่างต้องการข่มกลั้นความเจ็บปวดที่กำลังมีอยู่ทั่วเนื้อตัว
นางต่อสู้กับพวกที่เข้ามาทำลายสำนักของบิดาและได้บิดาปกป้องจนตัวตายเพื่อให้นางได้หนีออกมาจากกองเพลิง แต่ทว่าก็ยังไม่พ้นพวกสวะหลายรายที่ดาหน้ากันเข้ามาหมายปลิดชีพนาง และนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้นางต้องตกหน้าผาลงมานอนจมกองเลือดร่างกายคล้ายแหลกเหลวอยู่ที่ก้นเหวนั่น จนกระทั่งพวกพ่อค้าเร่ขายทาสเดินทางมาพบและเก็บนางมาหวังนำมาทำกำไร
มิรู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่นางยังมิตาย นางแค่เพียงบาดเจ็บสาหัส รอยแผลตามตัวพวกนี้ไม่นับว่าเป็นอันใด ถึงแม้ว่านางจะเป็นอิสตรีทั้งยังอายุเพียงสิบหกปีแต่ทว่านางฝึกวรยุทธ์มาตั้งแต่จำความได้ แต่ในยามนี้การถนอมแรงกายเอาไว้นับว่าเป็นการดี การนอนนิ่งๆ เสมือนว่าตายแล้วเยี่ยงนี้นับได้ว่าสมควร