โถงรับงาน บนกระดานไม้แผ่นใหญ่มีกระดาษถูกติดไว้อยู่มากมายหลายร้อยแผ่น เรียงอย่างเป็นระเบียบ ด้านในมีศิษย์สำนักนอกและศิษย์สำนักในเดินอยู่หลายสิบคน กึ่งกลางมีโต๊ะยาวเป็นครึ่งวงกลม มีเจ้าหน้าที่สองคนนั่งคอย
คนที่สนใจรับงานดึงกระดาษแล้วไปแจ้งสถานะของตนและรายละเอียดของงาน
“มีงานมากมายจริงๆ”
“แน่นอน เจ้าดูสิแต่ละระดับแถวก็จะมีความยากง่ายต่างกัน ทั้งค่าตอบแทนก็เพิ่มมากขึ้นตามระดับที่สูงขึ้นไป เจ้าดูมันมีทั้งหมดเก้าชั้น แถวล่างสุดง่ายที่สุดและแถวที่เก้าหรือชั้นบนสุดคืองานที่ยากที่สุด”
“คนในโถงเหล่านี้คือศิษย์ที่มาเพื่อรับภารกิจหรือเจ้าอ้วน”
“ข้าเคยบอกเจ้าแล้วนะว่าเวลาออกมาข้างนอกต่อหน้าผู้คนให้เรียกชื่อข้า ชิ”
“หลีเหยียนฉือ สุดหล่อ พอใจหรือยัง”
“ค่อยยังชั่วหน่อย แน่นอน เจ้าดูด้านหลังเจ้าสิ นั่นเป็นกระดานรายชื่อศิษย์ที่สามารถทำภารกิจที่โดดเด่นสิบอันดับแรกของสำนักเรา หมายความว่าถ้าเจ้ามีฝีมือนอกจากได้รางวัลแล้วยังมีโอกาสให้คนอื่นๆในสำนักรู้จักพูดง่ายๆคือวิธีสร้างชื่อเสียงให้ตนเองอย่างไงหล่ะ”
“อ่อ”
“เดี๋ยว ฟ่านหงอี้เจ้าหยุดให้ข้าเดี๋ยวนี้ เจ้าจะไปไหน”
ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งหน้าตาหล่อเหลาเดินลงบันไดโถงรับงานมีชายหนุ่มอ้วนกลมวิ่งตามหลังเป็นภาพที่น่าสนใจของศิษย์ที่อยู่ในบริเวณนั้นไม่น้อยทีเดียว เมื่อเขาหยุดลงก็แทบล้มคว่ำไปข้างหน้า เพราะเจ้าอ้วนวิ่งทุ่มเข้ามาเต็มหลังโดยไม่ได้ชะลอความเร็วลงแม้แต่น้อย
“เจ้าชนข้าทำไม”
“ก็เจ้าหยุดทันทีข้าหยุดไม่ทัน เจ้ารับงานเป็นเพื่อนข้าหน่อยไม่ได้หรือ”
“เพื่อสิ่งใด ข้าอยู่เรือนทบทวนวิชาไม่ดีกว่าหรือ ข้าไม่อยากออกไปนอกสำนัก”
“แต่ข้าอยากออกไป ได้โปรด”
“เจ้าเองก็มีฝีมือไม่น้อย สามารถรับภารกิจโดยลำพังได้เหตุใดต้องให้ข้าไปร่วมภารกิจกับเจ้า”
“ฮี่ฮี่ ข้าจะถือโอกาสที่เจ้าไปทำภารกิจ แวะทำธุระระหว่างทางนิดหน่อย”
“เจ้านี่มัน ไม่ เจ้าไปคนเดียวเถอะ”
“ฟานหงอี้ หากเจ้ายินดีไปด้วยรับรองได้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายเลยที่ข้าจะให้เจ้าช่วยเช่นนี้”
“เจ้าแน่ใจ”
“แน่ใจ สาบานด้วยเกียรติของข้าเลย”
ทั้งสองเดินกลับเข้าไปเพื่อเลือกภารกิจ โดยเงื่อนไขการคัดเลือกภารกิจคือหนึ่งระดับหนึ่งถึงสามสำหรับศิษย์ที่ทำภารกิจเพียงลำพัง ระดับที่สี่และห้าทำสองคน หกและเจ็ดสามารถทำสามคนได้ สุดท้ายระดับแปดและเก้าสำหรับกลุ่มสามคนขึ้นไป ยกเว้นคนที่มีรายชื่อสามอันดับแรกของเดือนจะสามารถเลือกทำภารกิจระดับที่สี่ขึ้นไปโดยลำพังได้ทุกภารกิจ
“เจ้าเข้าไปเลือก”
“วางใจได้ ข้าจัดการเอง”
ทั้งสองกลับมาที่นั่งที่โต๊ะหินหน้าเรือนของฟ่านหงอี้ เพื่อคุยเรื่องรายละเอียดของภารกิจ บนโต๊ะมีซองกระดาษสีเหลืองตัวอักษรสี่ดำ (ระดับหก) คิ้วบนใบหน้าของฟ่านหงอี้ขมวดขึ้น นี่เขามองตัวอักษรบนซองผิดไปหรือไม่ เหตุใดเจ้าอ้วนเลือกภารกิจระดับหกแทนที่ควรจะเป็นระดับสี่สำหรับคนสองคนมากันนี่
“เจ้าอ้วน ข้าตาลายหรือไม่เหตุใดอักษรหน้าซองจึงระบุว่าระดับหกแทนที่จะเป็นระดับสี่”
“เจ้าไม่ได้ตาลาย ข้าเลือกระดับหกมาจริงๆ”
“ทำไมถึงเป็นระดับหก พวกเราคุยกันแล้วไม่ใช่หรือครั้งนี้ทำเพื่อออกไปนอกสำนักเท่านั้นจะเลือกงานที่มีระดับง่ายๆเช่นระดับสี่เท่านั้น เจ้าพูดมาไม่เช่นนั้นเจ้าไปคนเดียว”
“คือว่า ระยะเวลาในการออกไปทำภารกิจมันแตกต่างกัน หากเป็นระดับหกสามารถออกไปได้ถึงสิบห้าวันส่วนระดับสี่อนุญาตให้ออกไปได้เพียงสิบวันเท่านั้น ข้า..ข้า”
“เจ้านี่มันเหลือเกินจริงๆ แล้วที่นี้จะทำอย่างไร นี่เป็นครั้งแรกเจ้าก็คิดว่ามันง่ายหรือไร”
ระหว่างที่ทั้งสองยังโต้เถียงกันอยู่นั้น ด้านนอกรั้วมีคนมาหยุดยืนฟังก่อนที่จะตัดสินใจเคาะที่รั้วเป็นสัญญาณให้ทั้งสองหันไปสนใจ
“ขอโทษ ไม่ทราบว่าพวกท่านยังต้องการคนเข้าร่วมกลุ่มเพื่อทำภารกิจด้วยหรือไม่”
ทั้งสองจึงมองบุคคลที่ก้าวเข้ามาในเขตเรือนด้วยสายตาพิจารณาก่อนที่จะลองสอบถามเพื่อตัดสินใจว่าควรรับเป็นผู้ร่วมกลุ่มทำภารกิจด้วยกันหรือไม่
“เจ้าคือ?"
“ข้า เหวินปิงฉี เป็นศิษย์ที่เข้ามาพร้อมกับพวกเจ้าอาศัยอยู่อีกสามเรือนถัดไป บังเอิญเดินผ่านมาได้ยินพวกเจ้าคุยกัน(เสียงดังออกไปไกล) จึงเดินมาสอบถามเดิมทีข้าก็อยากทำภารกิจเพื่อฝึกปรือฝีมือทั้งสร้างประสบการณ์ด้วยเพียงแต่ยังใหม่ต่อสำนักและไม่มีสหาย”
“เจ้าใช้สิ่งใดเป็นอาวุธ”
“ข้าใช้ดาบและไฟเป็นพลังวิญญาณ”
“โอ้ ดีเลยข้าหลีเหยียนฉือ ใช้ดาบและลมเป็นอาวุธ”
“ข้าฟ่านหงอี้ ใช้กระบี่และสายฟ้าเป็นอาวุธ”
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะรีบไปเพิ่มชื่อของเจ้าเข้าไปในภารกิจครั้งนี้ พวกเจ้าคุยกันไปก่อนข้ารีบไปจะรีบมา”
วันรุ่งขึ้นทั้งสามคนลงจากเขาโดยแสดงหนังสือรับภารกิจแสดงตัวตนก่อนจะรีบเร่งเดินทางด้วยเท้า ผ่านไปครึ่งวันหลีเหยียนฉือก็บอกว่าพรุ่งตนจะแยกออกจากกลุ่มให้ทั้งสองเดินทางล่วงหน้าไปก่อนสามวันให้หลังจะรีบตามไปให้ทัน กำหนดการเริ่มภารกิจคือวันที่หก
“เจ้าจะแยกไปไม่ใช้ปัญหา แต่ว่าข้าเปิดดูภารกิจเหตุใดบอกเพียงปลายทางที่จะทำภารกิจเหตุใดไม่มีรายละเอียด”
เจ้าอ้วนเอามือตบที่ศรีษะเบาๆ ก่อนที่จะเอ่ยด้วยเสียงสำนึกผิดว่า
“ข้าลืมบอกพวกเจ้าไป ภารกิจระดับหกขึ้นไปการบอกรายละเอียดจะบอกตามลำดับคือจุดหมายปลายทาง เมื่อเดินทางไปถึงจึงจะบอกขั้นตอนต่อไป”
“หลีเหยียนฉือ หากข้าไม่ถามเจ้าคงจะลืมจนพวกข้าเดินทางไปถึงใช่หรือไม่ เจ้ามาให้ข้าจัดการเจ้าเชียว”
ฟ่านหงอี้ มองสหายทั้งสองคนวิ่งไล่กันไปอย่างอารมณ์ดีการมีสหายร่วมทางก็ดูมีสีสันมากกว่าครั้งที่เขาเดินทางคนเดียวมากนัก
“เจ้าสองคนไปกับข้าสิ เสียเวลาสองวันไม่ทำให้ภารกิจล่าช้าแน่นอน”
“เจ้าจะไปไหน พวกข้าไปกับเจ้าได้หรือ”
“ได้สิ ไปหลายคนสนุกดี”
“สนุก หมายความว่ายังไงเจ้าอ้วน เจ้าบอกว่าเป็นธุระสำคัญจำเป็นต้องมาให้ได้ แล้วตอนนี้บอกว่าสนุก มันคืออะไรกันแน่”
“เอ่อ ข้าจะชวนทั้งสองคนให้หยุดแวะด้วยกัน หอหว่านชุย”
“เจ้าอ้วนเจ้ารับภารกิจระดับหกเพื่อมาแวะเที่ยวสถานเริงรมย์เนี่ยนะ”
“สถานเริงรมย์”
“ใช่”
ฟ่านหงอี้กับเหวินปิงฉีสองคนทิ้งเจ้าอ้วนหลีเหยียนฉือทันทีที่รู้เป้าหมายของอีกฝ่าย
เมื่อทั้งสองคนถึงจุดหมายสำหรับการทำภารกิจ ข้อความปรากฏให้เห็นเป็นแถวอักษรสีแดงตัวใหญ่ ที่เห็นแล้วลมแทบจับ “ให้ช่วยชีวิตอสูรเขี้ยวแก้ว(อสูรขั้นสาม) แล้วนำกลับมาสำนักแบบมีชีวิต”
เมื่อเขาอ่านออกมาด้วยเสียงอันดัง สหายที่ยืนอยู่ด้านข้างหน้าซีดประหนึ่งกำลังจะเป็นล้มหมดสติเสียเดี๋ยวนั้น พวกเขาสามคนรวมกันยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถต่อสู้กับอสูรระดับสามได้เลยด้วยซ้ำ แล้วคำว่าช่วยเหลือหมายความว่าอีกฝ่ายอาจมีระดับที่สูงกว่า(สูงกว่าเท่าไหร่ก็ไม่รู้)
“นี่มันภารกิจบ้าอะไร แน่ใจนะว่าระดับหก เจ้าอ้วนนั่นหาเรื่องแล้วหายหัวไปคลุกอยู่กับสตรี”
อีกฝ่ายส่งเสียงโวยวาย(อยู่ใกล้หมีกดำเช่นหมึก) จากคนสุภาพเปลี่ยนไปจนจำไม่ได้แล้ว
“ให้ช่วยอสูรระดับสาม บ้าไปแล้วภารกิจเช่นนี้ไม่ใช่ระดับหกแล้วกลับไปข้าต้องร้องเรียนแน่นอน ระดับเก้ายังดูจะน้อยไปด้วยซ้ำ”
เดินบ่นวนเวียนระหว่างรอเจ้าอ้วนตามมา ในมือเอาดาบฟาดฟันต้นไม้ใบหญ้ารอบๆระบายอารมณ์ไปพลาง
“ข้าว่าพวกเราลองเดินดูบริเวณรอบๆ แถวนี้ก่อนไหม อย่างน้อยก็อาจใช้เป็นทางหนียามจำเป็นได้ หรืออาจจะมีแหล่งน้ำก็ได้”
“ก็ดีให้รอแบบนี้ข้าหงุดหงิด ว่าแล้วก็อยากทุบเจ้าอ้วนเหลือเกิน”
“ข้ายังไม่เคยพบอสูรเลยเจ้าลองเล่าให้ฟังหน่อยสิว่าเป็นอย่างไร”
“อสูร คือสัตว์ที่มีพลังเวทย์ตามชนิดของมัน ปกติจะออกเป็นห้าระดับ ยิ่งระดับสูงยิ่งแข็งแกร่ง หากเหนือสัตว์อสูรขึ้นไปก็สัตว์เทพ แต่เป็นเพียงตำนานเล่าลือยังไม่เคยมีผู้ใดพบเห็น นอกนั้นยังมีลูกผสมอีกนะเอาไว้พวกเราฝึกฝนมากกว่านี้อาจจะมีโอกาสได้เจอก็ได้นะ”
“อืม”
ฟ่านหงอี้ ส่งเสียงรับในลำคอเขานึกถึงคนผู้หนึ่ง นางจัดเป็นสิ่งใดกันนะ เป็นสัตว์อสูร สัตว์เทพ หรืออย่างอื่น สองคนเดินสำรวจไปเรื่อยๆ ต้นไม้และใบไม้ขนาดของมันแตกต่างจากต้นไม้ทั่วไปสีสันจัดจ้าน บ้างเข้มเขียวจัดแดงจัดส้มจัด บ้างก็ซีดจาง บางใบคมจนไม่ระวังสามารถทำเสื้อผ้าที่สวมอยู่ได้ขาดเป็นรอยยาว
ห่างไปไม่ไกลนักมีเสียงดังโครมคราม ดูเหมือนกำลังมุ่งหน้ามาทางพวกเขาสองคนต่างหันหน้ามองกันก่อนจะพุ่งตัวไปหลบหลังต้นไม้ด้านข้างที่ดูแข็งแรงมั่นคงพอให้ป้องกันอันตรายได้