สิ่งที่รุ่นพี่บอก ทำให้คนฟังทำตาโต โวยลั่น “ไม่เอานะ หนูจะไปด้วย หนูอยากเห็นวัวไล่ชนคนนี่ เฮียวินท์มารับหนูเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
“แกอยู่ที่นั่นแหละ อย่าดื้อได้ไหมยายลิง ฉันไม่อยากให้แกต้องเสี่ยงอีก”
“ไม่เอาหนูจะไป ถ้าเฮียไม่มารับหนูไปเองก็ได้ เฮียอย่าลืมนะว่าหนูต้องเป็นคนสัมภาษณ์ ประธานจัดงานนั้น แล้วยังต้องสัมภาษณ์มาทาดอร์อีกคนด้วย ถ้าไม่มีหนูเฮียก็ทำงานไม่ได้นะ อย่าลืมสิ” สิงหกัลยาไม่ยอมให้รุ่นพี่ทิ้งเธอไว้ที่นี่แน่
“เออ... ก็ได้ เดี๋ยวฉันจะไปหาแกที่นั่น ถ้าเขาไม่ให้ฉันเข้าไป แกก็อยู่ที่นั่นไปเถอะ” พูดจบนภวินท์ก็วางสายไป
“อะไรกันเฮียวินท์ สงสัยใกล้วัยทองแล้วเลยอารมณ์แปรปรวน” เมื่อกี้ยังบอกให้เธออยู่ที่นี่ แล้วก็เปลี่ยนใจซะอย่างนั้น ท่าทางเหมือนเขามีอะไรปิดบังอยู่ สิงหกัลยาแยกเขี้ยวเข้าใส่โทรศัพท์นึกฉุนรุ่นพี่ขึ้นมา
คนที่นั่งฟังอยู่นาน อมยิ้มเมื่อเห็นกิริยานั้นของหญิงสาว “พี่ชายคุณจะมารับหรือคะ”
“ค่ะ ตอนแรกเขาว่าจะไปพัมโพลนาเลย คิดจะทิ้งน้องไว้ที่นี่ ดูสิน่ารักแค่ไหน” เจ้าตัวยุ่งยังบ่นไม่เลิก
“ความจริงคุณยังบาดเจ็บอยู่ น่าจะพักให้หายก่อนนะคะ”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ” คนเจ็บแตะแผลตัวเอง ยิ้มกว้าง ใบหน้าเรียวคมนั้นสดใสเมื่อรอยยิ้มกระจ่างปรากฏขึ้นบนริมฝีปากอิ่ม“เจ็บมากกว่านี้ก็เคยมาแล้ว”
“คุยกันตั้งนาน เรายังไม่รู้จักชื่อกันเลย ฉันชื่อ ลีเดีย ราโดรเปรเรสค่ะ” ลีเดียแนะนำตัวเอง ดวงตายาวเรียวเหมือนเม็ดอัลมอนต์สบตาคนตรงหน้าด้วยแววตาเป็นมิตร
“ฉันชื่อสิงหกัลยาค่ะ เรียกง่ายๆว่าสิงห์ค่ะ”
“ชื่อสิงห์หรือคะ ชื่อเหมือนผู้ชายเลยนะคะ แปลกดี” ชื่อของเจ้าหล่อน ทำให้คนฟังเผลอทำตาโต
เจ้าของชื่อมองหน้าของคนพูดแล้วหัวเราะ ใครที่รู้จักเธอครั้งแรก มักจะแปลกใจในชื่อของเธอทั้งนั้น สิงหกัลยาชินแล้ว
“ถ้าคุณ ไม่ชินปากเรียกฉันว่าลีโอโนร่าก็ได้ค่ะ นี่เป็นชื่อที่พ่อของฉันตั้งให้”
สิงหกัลยามีอีกชื่อหนึ่งว่า ลีโอโนร่า ซึ่งมีเพียงบิดาเท่านั้นที่เรียกเธอด้วยชื่อนี้
“แปลว่าสิงห์ทั้งสองชื่อเลย ถ้างั้นลีเดียขอเรียกว่าลีโอโนร่านะคะ ชอบชื่อนี้ค่ะ” ลีเดียยิ้มให้เพื่อนใหม่ เธอรู้สึกถูกชะตากับแม่สิงห์สาวคนนี้ขึ้นมาอย่างไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน “คุณลีโอโนร่าหิวไหมคะ ลีเดียว่าเราไปหาอะไรทานกันดีกว่า ทานเสร็จพี่ชายของคุณคงมาถึงพอดี”
“ค่ะ คุณลีเดียเรียกฉันลีโอโนร่าเฉยๆดีกว่านะคะ เราน่าจะอายุเท่าๆกัน”
“งั้น ลีโอโนร่าก็ต้องเรียกลีเดีย ว่าลีเดียเฉยๆเหมือนกัน”
สองสาวจ้องหน้ากัน ก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน มิตรภาพของเพื่อนใหม่เบ่งบานในหัวใจของทั้งสองรวดเร็วจนน่าตกใจ ลีเดียดึงมือเพื่อนใหม่ให้ลุกจากเตียงพาไปยังห้องแพลนทรี สองสาวคุยกันถูกคอเสียงคุยกับเสียงหัวเราะดังออกไปนอกห้องจนคนที่เดินมาขมวดคิ้วหยุดฟังอย่างสนใจ
ราฟาเอลเสยผมที่ยาวระใบหน้าให้เรียบร้อย เขาไม่เคยปรากฏตัวต่อสายตาคนนอกด้วยสภาพไม่เรียบร้อย เมื่อสำรวจตัวเองอีกครั้งผ่านกระจกแล้ว ร่างสูงสง่าก็เดินเข้าไปในห้องแพลนทรีนั้น เขาส่งยิ้มให้น้องสาวที่นั่งหันหน้ามาทางประตู ข้างกายของลีเดียมีร่างของผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ด้วย เธอหันหลังให้ประตูจึงมองไม่เห็นหน้า ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปหาน้องสาว
“มีอะไรทานมั่งจ้ะคนสวย”
เขาเดินไปโอบไหล่น้องสาวอย่างรักใคร่ ก่อนจะกวาดสายตามองมายังแขกของลีเดีย ดวงตาสีควันบุหรี่วาบไหวก่อนจะแข็งกร้าวขึ้น เมื่อเห็นใบหน้าของคนที่นั่งอยู่ชัดเจน
“เธอ... ยายตัวแสบ ! ”
สิงหกัลยาอ้าปากเหวอ ดวงตากลมโตเบิกกว้างราวกับเห็นพญามัจจุราชอยู่เบื้องหน้า หญิงสาวตกใจจนแทบหงายหลังตกเก้าอี้
งานเข้าแล้วครับพี่น้อง ! ประโยคนี้ดังก้องอยู่ในหัวของสิงหกัลยา หญิงสาวเจอโจทย์เก่าเข้าอย่างจัง ทฤษฎีว่าด้วยโลกมันกลมได้รับการพิสูจน์ก็หนนี้เอง
“อะไรกันคะพี่ราฟ”
ลีเดียมองหน้าพี่ชาย สลับกับมองหน้าซีดๆของเพื่อนใหม่อย่างสงสัย ไม่ทันที่คนทั้งสองจะพูดอะไร เฟอร์นันโดก็เดินเข้ามาในห้องนั้น ทำให้สงครามที่กำลังจะเกิดมีอันต้องยุติลงก่อน เฟอร์นันโดมองสาวน้อยที่นั่งหน้าซีดอยู่ด้วยความสงสัย เจ้าหล่อนเป็นใครกัน ไม่ทันได้เอ่ยถามอังตวนก็เข้ามาขัดจังหวะพอดี
“นายท่านครับ”
อังตวนคนสนิทของเฟอร์นันโด เข้ามากระซิบบางอย่างข้างหูผู้เป็นนาย ทำให้เฟอร์นันโดหน้าเครียดขึ้งทันที
“เขาอยู่ที่ไหน”
“อยู่หน้าบ้านครับ บอกว่าจะมารับน้องสาว” อังตวนมองหน้าสิงหกัลยา พลอยให้ผู้เป็นนายมองตาม “คงเป็นคุณผู้หญิงคนนั้นครับ”
“เชิญเขาไปพบฉันที่ห้องทำงาน อย่าให้ใครไปรบกวน ฉันกับเขามีเรื่องต้องคุยกันยาว” ผู้นำตระกูลราโดรเปรเรสเดินออกไปจากห้อง
“ใครมาพบป๋า” ราฟาเอล หันไปถามอังตวน
“คุณนภวินท์ครับ”
ชื่อของชายหนุ่มทำให้คนถามหน้าเครียดเคร่งกว่าเดิม ลีเดียมองหน้าพี่ชายอย่างสงสัยผู้ชายที่ชื่อนภวินท์เป็นใคร ทำไมพี่ราฟถึงทำหน้าแบบนั้น
สิงหกัลยาได้ยินชื่อรุ่นพี่ของเธอก็ดีใจจนแทบกระโดด เธอแอบมองหน้าคมเข้มของมาทาดอร์หนุ่มอย่างหวาดหวั่น โชคดีที่เธอไม่ใช่คนมือหนัก แก้มของชายหนุ่มจึงไม่มีรอยฝ่ามือเธอประทับติดอยู่ ดวงตาสีควันบุหรี่ตวัดวาบมา จนทำให้คนแอบจ้องอยู่สะดุ้งโหยง รีบหลบตาแทบไม่ทัน
‘เฮียวินท์ มารับหนูไปจากที่นี่ไวไวเหอะ ก่อนที่สิงห์จะถูกนายมาทาดอร์นี่ ฆ่าตายเหมือนวัวกระทิง’
การเผชิญหน้ากัน ระหว่างนภวินท์กับเฟอร์นันโด เกิดขึ้นที่ห้องทำงานของเจ้าของบ้าน ช่างภาพหนุ่มจ้องหน้านักธุรกิจใหญ่นิ่ง ดวงตาคมเข้มกับดวงตาสีควันบุหรี่จดจ้องกันไม่ยอมหลบ ต่างฝ่ายมองท่าทีกันไปมา
“มีอะไรจะพูดกับผมก็พูดมา” เฟอร์นันโดเป็นคนเอ่ยขึ้นก่อน
นภวินท์ยิ้มเย็น เขายังคงมองหน้าอีกฝ่ายอย่างสงบ “ผมมีแค่คำถามเดียว ทำไมคุณถึงโกหกว่ากี้ตายแล้ว” เขายิงคำถามคาใจออกไป
“เธอตายแล้วจริงๆ ไม่มีกีรดารินทร์ในโลกนี้อีกต่อไป” เฟอร์นันโดตอบคำถามนั้น ด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“กี้ยังมีชีวิตอยู่ ผมเจอเธอแล้ว อย่ามาทำเหมือนผมเป็นคนโง่เลย มิสเตอร์เฟอร์นันโด”
“ผมไม่ได้โกหก กีรดารินทร์ตายไปแล้ว เธอตายไปพร้อมความทรงจำเลวร้ายที่คุณทำไว้กับเธอ” น้ำเสียงของเฟอร์นันโดเริ่มขุ่นขึ้น “สองปีก่อน คุณทำให้เธอเสียใจแค่ไหนคุณก็รู้ดี คุณไม่เคยรักเธอเลย ทั้งๆที่เธอรักคุณมากขนาดนั้น”
คนพูดตอกลิ่มแหลมๆเข้าใส่หัวใจคนฟัง นภวินท์ปวดร้าวในหัวใจจนชาไปทั้งตัว เขานิ่งเงียบคล้ายยอมรับความผิด เมื่อทุกสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมันจริงทุกคำ เขาทำร้ายจิตใจกีรดารินทร์อย่างสาหัส
“ผู้หญิงคนหนึ่งถูกผู้ชายที่เธอรัก ด่าว่าเหมือนเธอเป็นคนไร้ยางอาย เขาเหยียบหัวใจรักของเธอด้วยฝ่าเท้า มันเจ็บแค่ไหนคุณรู้หรือเปล่า” มีดปลายแหลมล่องหนอีกเล่ม ถูกเสียบทะลุหัวใจคนฟัง
“หนูกี้ต้องเสียใจที่ถูกคุณทำร้ายจิตใจไม่พอ เธอยังต้องสูญเสียพ่อเธอไปอีก หัวใจของเธอแหลกยับจนไม่เหลือซาก หากเธอยังมีชีวิตอยู่พร้อมความทรงจำเหล่านั้น คุณคิดว่าเธอจะอยู่อย่างมีความสุขได้หรือไง”
นภวินท์นึกภาพตามแล้วหลับตาลงอย่างปวดร้าว ภาพของกีรดารินทร์ในตอนที่ถูกเขาด่าว่าวาบผ่านเข้ามาในมโนนึก
กีรดารินทร์ เชิดหน้าขึ้นอย่างทระนงตน ขณะเอ่ยถ้อยคำสุดท้าย ที่ทำให้คนได้ยินจำไม่ลืม
“ฉันกีรดารินทร์ จะไม่มาให้นายเห็นหน้าอีกตลอดชีวิต จำไว้ว่าผู้หญิงโง่ๆคนนี้ มันรักนายสุดหัวใจ ถ้าความรักโง่ๆ ของคนปัญญาอ่อนคนนี้ ทำให้นายต้องรำคาญหรือเดือดร้อน จงเตะมันทิ้งไปซะ อย่าเก็บไว้ให้รกหัวใจอีกเลย”
ทันทีที่ประโยคสุดท้ายได้สิ้นสุดลง ร่างบางก็เดินจากเขาไปโดยไม่ยอมมองหน้า