ในเช้าวันต่อมา เวลาประมาณเจ็ดโมง ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการตื่นเตรียมตัวไปทำงาน แต่ไร้วี่แววของเจ้าของบริษัท A. R. กรุ๊ป บริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านพลังงาน อีกทั้งบนโต๊ะรับประทานอาหารได้เตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว หม่อมอมราลงมาทำหน้าที่ตรวจตราความเรียบร้อยเหมือนเช่นทุกวัน เมื่อไม่เห็นอมเรศลงมาจึงต้องให้วัฒนะไปตาม
“นายวัฒ!!! นายวัฒอยู่หน้าบ้านหรือเปล่า หรือใครก็ได้ขึ้นไปตามคุณชายบนห้องทีซิ ตื่นหรือยังเนี่ย” หม่อมอมราชะโงกหน้าออกไปทางหน้าต่างของห้องรับประทานอาหาร และเอ่ยเรียกคนสนิทของอมเรศ ซึ่งในเวลาต่อมาวัฒนะก็วิ่งมาตามคำสั่งแบบไม่ต้องให้รอนานเช่นกัน
“ครับหม่อม” วัฒนะรับคำด้วยน้ำเสียงกระหืดกระหอบเล็กน้อย
“ขึ้นไปตามคุณชายซิ เมาค้างหรือยังไง” ดูเหมือนหม่อมอมราจะไม่พอใจตั้งแต่เมื่อคืนแล้วกระมัง อารมณ์ค้างยันตอนนี้ วัฒนะคิด
“ได้ครับ” วัฒนะรับคำและกำลังจะเอี้ยวตัวเพื่อที่จะเดินออกไปจากห้องรับอาหาร ทว่าเขาก็พลันได้เห็นเจ้าของรูปร่างสูงใหญ่ไซส์ฝรั่งเดินลงมาจากบันได พร้อมกับกระชับเสื้อสูทให้เข้าที่ จากเหตุการณ์ที่เมามายเมื่อคืนก็ได้นับได้ว่าอมเรศฟื้นตัวได้เร็วเกินกว่าคนปกติ เหมือนไม่ได้เมามาก่อนเลย และถือว่าเป็นเรื่องปกติของอมเรศอีกเช่นกัน
“มีอะไร ? ทำหน้าตาตื่น” อมเรศถามวัฒนะด้วยน้ำเสียงเรียบ วางมาดสุขุมตามสไตล์คุณชายขึ้นมาทันที
“เอ่อคุณชาย หม่อมกำลังจะให้ผมขึ้นไปตามครับ” น้ำเสียงของวัฒนะไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก น่าจะเดาได้ว่าอมเรศอาจจะเจอพายุเบา ๆ จากมารดา
“ไปไหนก็ไป เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
“ว่าแต่ทำไมคุณชายตื่นไหว เมื่อคืนกลับมาตั้งตีสองกว่านะครับ นึกว่าจะน็อคหรือแฮงค์ซะอีก”
“นายรู้จักฉันดีอยู่แล้วต่อให้เมาแค่ไหน ตื่นเช้ามาฉันก็จัดการกับตัวเองได้ เพราะรู้จักหน้าที่ดีว่าต้องลุกขึ้นไปทำงาน”
“ไม่ปวดหัวเหรอครับผมเป็นห่วง”
“นิดหน่อย งั้นก็ไปชงกาแฟดำมาให้สักแก้วไป”
“ได้ครับ” เมื่อรับคำแล้ววัฒนะก็รีบวิ่งเข้าห้องครัวเพื่อจัดการกาแฟให้เจ้านายหนุ่มทันที
ส่วนอมเรศก็เดินไปยังห้องรับอาหารสุดหรู ซึ่งมีมารดายืนรออยู่ก่อนแล้ว พร้อมกับชักสีหน้าไม่พอใจเสียอีก
“อรุณสวัสดิ์ครับคุณแม่” อมเรศกล่าวทักทายมารดาด้วยความคุ้นชิน เนื่องจากไม่ได้เรียกหม่อมแม่แต่อย่างใด
“ชายอั้ม จำได้ไหมว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น” ดูเหมือนมารดากำลังจะทบทวนความจำของเขาสินะ ว่าทำอะไรลงไปบ้าง
“อืม ขอโทษครับผมจำอะไรไม่ได้ สงสัยจะเมามากไปหน่อย” เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เสียมากกว่า
“ไม่หน่อยล่ะ เมามาก ๆ เลยต่างหาก นี่คุยกันเรื่องเมื่อวานหน่อยสิ”
“เอ่อ ปวดหัวจังเลยครับคุณแม่ ขอผมรอกาแฟจากเจ้าวัฒมันก่อนก็แล้วกัน นั่งก่อนนะครับ” อมเรศรีบตัดบททันทีเพราะไม่อยากคุยเรื่องสาว ๆ
“หาเรื่องเลี่ยงแม่ได้ตลอดเวลา เลี่ยงได้เลี่ยงไป” ว่าแล้วหม่อมอมราจึงเดินมานั่งที่เก้าอี้ด้านข้างหัวโต๊ะ เพราะให้เกียรติบุตรชายเป็นหัวหน้าครอบครัวนั่งหัวโต๊ะแทน
“คุณแม่ก็รู้ว่าผมยังไม่อยากมีใครในตอนนี้ ผมยังเด็กอยู่นะครับ” อมเรศตอบยิ้ม ๆ
“ยี่สิบเจ็ดปีเนี่ยนะ ไม่เด็กแล้ว ถ้าแต่งงานมีลูกกี่คนแล้วก็ไม่รู้ แม่อยากอุ้มหลานเร็ว ๆ”
“หึๆ แต่ผู้หญิงที่คุณแม่หามาให้ผม ไม่โอเคนี่ครับ ผมไม่ชอบแล้วก็ไม่ได้อยากมีลูกด้วย” อะไรจะพูดตรงปานนั้น
“ครบเครื่องกันทุกคนยังไม่ชอบอีกเหรอ หรือว่าชอบแบบไหน ลูกแม่ค้า ยาจกหรือยังไง แม่ก็ต้องเลือกคนที่เหมาะสมกับลูก สมฐานะทางสังคม เป็นหม่อมราชวงศ์ก็ต้องแต่งกับหม่อมราชวงศ์ด้วยกัน หรือไม่ก็หม่อมหลวงถึงจะถูก หรือพวกทายาทนักธุรกิจรวย ๆ”
“ขออนุญาตงดคุยเรื่องนี้กันสักสิบปีนะครับ” จะว่าไปแล้วเวลานี้เขารักการทำงาน และต้องทำหน้าที่แทนบิดาที่จากไป ยังไม่ฝักใฝ่เรื่องผู้หญิงที่จะมาเป็นคู่ชีวิต อย่างมากเขาก็คั่วให้หายเครียดไปวัน ๆ ได้เท่านั้น
“ว้าย!!! ชายอั้ม สิบปีเชียวหรือ อย่ามาประชดแม่นะ หรือชอบคั่วแม่พวกในผับในบาร์แบบทุกวันนี้ หืม” รู้ดีอีกต่างหากว่าเขาคั่วแบบนี้อยู่
“มันก็อิสระดีนะครับคุณแม่ พวกเธอไม่งอแง ไม่งี่เง่า ไม่ตามตื้อหรือจิกทุก ๆ วัน”
พูดแบบนี้ประชดไปจนถึงเหล่าคุณหญิงทั้งหลายสินะ ทำไมหม่อมอมราจะไม่รู้
“อั้ม!!!” หม่อมอมราถึงกับเค้นเสียงเรียกบุตรชายเลยทีเดียว แต่นั่นล่ะเขาไม่ได้แคร์สักเท่าไหร่ และในจังหวะเดียวกันนั้นวัฒนะก็นำกาแฟดำนำมาเสิร์ฟ ส่วนคนรับใช้ก็เป็นคนมาเปิดฝาครอบสแตนเลสที่ปิดอาหารให้เปิดออกพร้อมกับรับประทาน
“ดื่มกาแฟแทนข้าว จะไม่กินข้าวใช่ไหม” จะมีสักครั้งไหมที่มารดาจะไม่เจ้ากี้เจ้าการเขาเนี่ย เขาคิดและหรี่ตามองเล็กน้อย
“เอ่อ ผมแฮงค์ครับขอดื่มกาแฟแล้วค่อยกินอาหารก็ได้” พูดจบเขาก็ยกกาแฟขึ้นดื่มทีละนิด เพื่อรับรู้รสชาติของความข่ม หวังจะให้มันกระตุ้นร่างกายและจะได้สร่างเมา
“แล้วจะทำงานไหวไหมล่ะลูก”
“ไหวเสมอครับคุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วง เชิญรับประทานครับ ผมจะได้รีบไปทำงาน”
“ชายอั้ม เมื่อวานพลาดนัดไปแล้ว งั้นเสาร์อาทิตย์ก็แล้วกันนะลูก แม่จะนัดคุณหญิงน้อยมาหา แล้วก็มีคุณหญิงอีกคนจะแนะนำให้รู้จัก แต่คนนี้เป็นรุ่นน้อง”
“ผมบอกคุณแม่ว่า ของดคุยเรื่องว่าที่เมียสิบปี โอเคไหมครับ ถ้าผมอยากได้เดี๋ยวบอกเอง” เขามันก็พูดตรงเสียจนมารดาอยากจะเอานิ้วจิ้มตานักเชียว
“ถ้าเป็นเด็กแม่จะจับตีเสียให้เข็ด” หม่อมอมราพูดด้วยความหมั่นไส้เมื่อรู้ว่าบังคับบุตรชายไม่ได้
“ข้อหา?” อมเรศถามสั้น ๆ พลางปรายตามองมารดายิ้ม ๆ
“ขัดใจแม่” ว่าแล้วหม่อมอมราก็ตอบด้วยความงอนเง้าแล้วตักอาหารเข้าปาก พลางตวัดหางตาใส่บุตรชาย
“ฮ่า ๆ ๆ” อมเรศได้แต่หัวเราะลั่น ด้วยความพอใจเมื่อขัดใจมารดาได้ จากนั้นการสนทนาก็มีอันต้องยุติลง เพราะขืนเถียงกันต่อไปรังแต่จะสร้างความไม่พอใจให้กันเสียเปล่า ๆ อีกอย่างอมเรศไม่อยากทำร้ายจิตใจมารดาเกินไปนัก รู้ดีว่าคาดหวังเอาไว้มาก
“ต้องไปทำงานแล้วนะครับคุณแม่” อมเรศกล่าวเมื่อเดินมาหน้าบ้าน ขณะมารดาเดินมาส่งที่รถ แต่ถึงกระนั้นหม่อมอมรายังคงทำท่างอนเง้าใส่เขาอยู่ดังเดิม
“ไม่เอา ไม่งอนนะครับ เดี๋ยวแก่เร็วนะจะบอกให้” แทนที่จะง้อให้มารดาหายงอนแต่กลับเย้าแหย่เรื่องแก่ที่มารดาไม่อยากเอ่ยถึงอีกต่างหาก
“นี่ ชักจะพูดมากเกินไปแล้วนะเรา จะไปทำงานก็ไป เจอกันตอนเย็นและห้ามเถลไถลด้วยเข้าใจไหม แม่กินข้าวเย็นคนเดียวหลายวันแล้วนะลูก” สุดท้ายหม่อมอมราก็ต้องเป็นฝ่ายง้อบุตรชายอยู่ดีสินะ
“ผมขอโทษครับคุณแม่ที่ ไม่ได้เอาใจใส่คุณแม่เท่าที่ควร เอาเป็นว่าตอนเย็นเจอกันครับ” พูดจบอมเรศจึงโน้มตัวเข้าไปสวมกอดมารดา พร้อมกับหอมแก้มหนึ่งฟอดเบา ๆ ก่อนจะดันตัวออกห่างเล็กน้อย แล้วเดินขึ้นรถ จากนั้นจึงหันกลับมายิ้มให้มารดาอีกครั้ง กระทั่งรถแล่นออกไปจากหน้าบ้าน ทิ้งให้หม่อมอมรายิ้มหน้าเจื่อน ๆ แล้วเดินคอตกเข้าบ้าน
เวลานี้ถือว่าอมเรศไปทำงานช้าพอสมควร เพราะเอาแต่พะเน้าพะนอมารดา ฉะนั้นเขาจึงต้องนั่งอยู่บนรถท่ามกลางรถราที่ติดกันยาวเหยียด ถือเป็นช่วงเวลาของคนที่กำลังขวักไขว่เพื่อให้ไปทำงานให้เร็วที่สุด เขามองออกไปนอกรถด้วยความรู้สึกหลากหลายเพราะคุ้นชินกับสิ่งที่เห็น มันช่างไม่มีสีสันเอาเสียเลย ทุกคนดูรีบเร่ง ใบหน้าเคร่งเครียดจนลืมไปว่าควรหาเวลายิ้มให้กับตัวเองเสียบ้าง แม้กระทั่งเขาเองนั่นแหละ
“เฮ้อ!!!” คิดแล้วเขาก็ถอนหายใจเบา ๆ
“เป็นอะไรไปครับเจ้านาย” วัฒนะอดถามไม่ได้เพราะได้ยินเสียงถอนหายใจดังเชียว
“เบื่อ ๆ น่ะไม่มีอะไรหรอก” พูดจบอมเรศจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูท พร้อมกับเปิดมือถือเพื่อหาเบอร์โทรศัพท์อันคุ้นเคย ซึ่งเบอร์ที่เขาหาอยู่นั้นไม่ได้ติดต่อมานานพอสมควร แม้กระทั่งโทรไปก็ไม่ติดเสียด้วยซ้ำ
“เฮียทำอะไรอยู่ ยังสบายดีอยู่ใช่ไหมครับ ทำไมผมติดต่อเฮียไม่ได้เลย” อมเรศบ่นลอย ๆ ถึงเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่ง ซึ่งเคารพนับถือกับประหนึ่งพี่ชายร่วมสาบานกันเลยทีเดียว หากแต่เวลาผ่านไปมันทำให้ทั้งคู่ห่างเหินไร้การติดต่อ อมเรศก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ความรู้สึกบางอย่างทำให้เขาดูกระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก
“กำลังคิดถึงคุณย่งอยู่หรือเปล่าครับ” วัฒนะแทรกขึ้นอย่างรู้ทัน
“อืม ปกติติดต่อกันตลอด พักหลัง ๆ สงสัยจะติดงาน โทรไปก็ไม่รับสาย”
“ไม่หาเวลาว่างไปเยี่ยมที่นครสวรรค์ดูล่ะครับ ใกล้กันแค่นี้เอง”
“ฉันยังไม่ว่างนี่สิปัญหา อีกอย่างเฮียไม่อยากให้ฉันไปที่นั่นมันอันตราย แต่คิดว่าเฮียคงสบายดีล่ะมั้ง”
“ผมว่าคุณชายอาจจะคิดมากเกินไป”
“เผื่อเฮียย่งอยากจะขอความช่วยเหลือจากฉัน”
“แหมระดับเจ้าพ่อขนาดนี้ คงยากที่จะขอความช่วยเหลือใครนะครับ”
“ก็ไม่แน่ ฉันกำลังรอที่จะทำตามสัญญานั้นอยู่”
“หึๆ อย่าคิดมากเลยครับ เดี๋ยวเจ้านายจะไม่มีสมาธิทำงานเสียเปล่าๆ”
“คงงั้น” จากนั้นอมเรศจึงไม่เอ่ยอะไรอีกนอกเสียจากนั่งเฉย
แล้วนึกถึงเพื่อนรุ่นพี่คนนั้นพร้อม ๆ กับความเป็นห่วงที่อยู่ ๆ มันก็เกิดขึ้น
สิ่งที่อมเรศรอคอยนั้น คือคำมั่นสัญญาณที่ครั้งหนึ่งเคยให้ไว้กับผู้ชายที่ชื่อย่งเส็ง ทุกวันนี้เขารอที่จะตอบแทนบุญคุณของย่งเส็งอยู่ จากเหตุการณ์ครั้งหนึ่งในอดีตเมื่อสิบปีที่แล้ว และยังคงคิดถึงพี่ชายคนนี้เสมอ ทว่าบางความรู้สึกกลับทำให้หวั่นไหวได้อย่างประหลาด และใจหายอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งเขาไม่รู้หรอกว่าการตอบแทนบุญคุณนั้นมันกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า