Chapter 5 คุณชายห้า
“ในเมื่อเจ้ามันไม่เอาไหน หน้าที่การงานก็สู้พี่ๆ ทั้งสี่ของเจ้าไม่ได้แม้แต่ปลายธุลี ดังนั้นเจ้าต้องแต่งงานกับคุณหนูตระกูลเหยา เพื่อกอบกู้หน้าตาของตระกูลเฉิน”
นายอำเภอซ่านกั๋วยื่นคำขาด ในเมื่อลูกชายไม่รักดี อีกทั้งยังปัญญาทึบ ไม่เก่งทั้งบุ๋นและบู๋เขาก็จำต้องให้แต่งงานกับลูกสาวพ่อค้า ซึ่งร่ำรวยเป็นคหบดีใหญ่ในอำเภอ อย่างน้อยเมื่อเขาจากโลกนี้ไป เจ้าลูกชายตัวแสบจะได้ไม่อดตาย
“แต่ท่านพี่...คุณหนูตระกูลเหยาที่ท่านพูดถึงแต่งงานออกเรือนกันไปหมดแล้ว ที่เหลือก็มีเพียงคุณหนูคนเล็กที่....” ชิวเจียรีบท้วงติงด้วยน้ำเสียงอึกอัก
“ยังไงก็ต้องแต่ง! แล้วอย่าหวังว่าจะหนีออกจากจวนไปเที่ยวเล่นเสเพลได้อีก ข้าไม่มีทางปล่อยให้เจ้าทำตามอำเภอใจได้อีกต่อไป!”
พูดจบนายอำเภอเฉินก็ก้าวจากไป โดยไม่คิดฟังคำทัดทานจากใคร เพราะคำพูดของผู้เป็นประมุขของบ้านถือเป็นคำขาด
ฮูหยินชิวเจียหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาก่อนจะหันไปมองบุตรชายคนเล็กด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักผสมปนเปไปกับความผิดหวัง
“เสี่ยวเทียนครั้งนี้เจ้าทำเกินไปจริงๆ ท่านพ่อของเจ้าทั้งรักและห่วงใยเจ้ามาก ตลอดเวลาที่เจ้าจากไปพวกเราไม่เคยได้นอนหลับเต็มตื่นเลยสักคืน ครั้งนี้ถือว่าแม่ขอร้อง ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องแต่งงานกับคุณหนูตระกูลเหยา”
“ท่านแม่! แต่ข้าไม่ต้องการแต่งงาน ข้าเพียงจะแวะมาเยี่ยมเยียนท่านทั้งสองแล้วจะออกเดินทางต่อ”
เทียนอี้บอกจุดประสงค์ของการมาในครั้งนี้ กว่าห้าปีที่เขาร่อนเร่ค้นหาความต้องการในชีวิต เขารู้แล้วว่าเขาไม่เหมาะกับงานราชการบ้านเมือง ไม่เหมาะกับการค้าขาย ที่กลับมายังสกุลเฉินก็ด้วยความเป็นห่วงในตัวมารดาที่แก่ชราลง และเห็นเคราะห์กรรมชั่วร้ายที่กำลังย่างกรายเข้ามาในสกุลเฉิน เขาจึงต้องเร่งรุดเดินทางกลับมาก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้
“พอเสียที! ข้าไม่อยากฟังเจ้าพูดจาไร้สาระอีกต่อไปแล้ว เจ้าต้องอยู่ที่นี่ห้ามไปไหนทั้งนั้น หากเจ้ายังเป็นผู้มีความกตัญญูรู้คุณ เจ้าก็ต้องทำตามความต้องการของท่านพ่อ”
ฮูหยินเฉินฝืนใจดุด่าบุตรชายด้วยความขมขื่น ก่อนจะหันไปสั่งบ่าวไพร่ในให้คอยตรวจตราอย่าให้คุณชายน้อยหนีออกไปจากจวนเป็นอันขาด
เฉินเทียนอี้ไม่ได้ตอบสิ่งใดกลับไป เขาเพียงแค่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน แล้วสืบเท้าเดินย่ำไปบนพื้นโรยกรวดอย่างเชื่องช้าราวกับกำลังใช้ความคิด จนมาหยุดยืนอยู่หน้าห้องพักของตน
“นำสุรามาให้ข้า”
เขาหันไปสั่งสาวใช้ก่อนจะก้าวเข้าไปในห้อง โดยมีผีสาวทำตาลุกวาวด้วยความดีใจ
“ไหนๆ สั่งสุราแล้ว เหตุใดนายท่านจึงไม่สั่งกับแกล้มเลิศรสมาด้วยละเจ้าคะ”
ผีสาวทำเสียงอ่อนเสียงหวานอย่างผีช่างประจบสอพลอ ก่อนจะลอยหายออกไปจากห้องนอนเทียนอี้ พุ่งตรงไปยังห้องครัว นางพยายามกระซิบบอกให้แม่ครัวเตรียมกับแกล้ม ไม่ว่าจะเป็นแพะตุ๋น ไก่นึ่ง หมูสามชั้นทอด หมั่นโถวร้อนๆ และขนมหวานละมุนสำหรับล้างปากหลังกินอาหารคาว
ทว่าสาวใช้กลับจัดเตรียมแค่เพียงสุรา และถั่วหลากหลายชนิดสำหรับเคี้ยวเล่นเท่านั้น สร้างความผิดหวังให้แก่ผีสาวจอมตะกละไม่น้อย
“เฮ้อ...อะไรกันแทนที่จะมีงานเลี้ยงฉลองที่คุณชายน้อยของสกุลเดินทางกลับมา กลับกลายเป็นบรรยากาศหดหู่ไปเสียได้”
พูดพลางยื่นมือไปเกาะไหล่สาวใช้ แล้วปล่อยร่างให้ล่องลอยอย่างเกียจคร้าน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“สุรามาแล้วเจ้าค่ะคุณชายเทียนอี้”
“เข้ามา”
สีหน้าเครียดขรึมมิอาจลดทอนความหล่อเหลาราวกับเทพเซียนของเฉินเทียนอี้ได้เลยแม้แต่น้อย เขานั่งอยู่บนพื้นชันเข่าข้างหนึ่งยกสูง แล้วเท้าแขนข้างที่ถือจอกสุราบนเข่า เอนกายไปทางด้านหลังพิงหมอนใบใหญ่ ปล่อยผมยาวที่ปกติมักรวบไว้ครึ่งศีรษะให้เป็นอิสระส่งผลให้ใบหน้าหล่อเหลายิ่งหวานล้ำราวกับภาพวาดชั้นเลิศ
ยามนี้เขาสวมเพียงเสื้อนอนสีขาวไม่ได้ผูกชายผ้าแต่ปล่อยให้เปิดเปลือยเห็นแผงอกแกร่งเต็มไปด้วยมัดกล้ามหนันแน่น กอปรกับสีผิวคร้ามแดดและท่าทางกร้าวห้าวหาญยิ่งชวนให้พิศมองอย่างหลงใหลไม่รู้หน่าย
ไม่น่าเชื่อเลยว่าบุรุษรูปงามคล้ายอิสตรีจะซ่อนความแข็งแกร่งเอาไว้ เฉินเทียนอี้ยังคงนิ่งเฉยไม่ต่างจากรูปปั้น ผีสาวนั่งมองผู้เป็นนายด้วยท่าทางเคลิ้มฝัน ส่วนมือเล็กเรียวของนางนะหรือ...ก็จ้วงถั่วในชามเข้าปากไม่หยุดหย่อนนะสิ
ความเพลินและรสถั่วที่กินมากไปจนรู้สึกไปเองว่าระคายคอ ทำให้นางฉวยหยิบแก้วสุราขึ้นดื่มไปหลายจอก กว่าจะรู้สึกตัวนางก็เริ่มมึนเมา ทรงตัวแทบไม่อยู่เสียแล้ว
“ข้าดีใจเหลือเกินที่มีเจ้านายหล่อเหลาเช่นท่าน บ่าวผู้จงรักภักดีตนนี้ขอดื่มเพื่อท่าน”
ผีสาวรินสุราแล้วยื่นไปชนจอกที่ชายหนุ่มถืออยู่ ยกดื่มจนหมดจอก ดวงตานางเริ่มพราวระยับตามปริมาณสุราที่แล่นพล่านอยู่ในกาย นางค่อยๆ ขยับ... ค่อยๆ ขยับ... กว่าจะรู้ตัวก็เบียดกระแซะนายท่านรูปหล่อเสียแล้ว
“ท่านรู้มั้ยว่าข้าทั้งเหนื่อย ทั้งหิว เป็นผีนี่มันไม่ง่ายเลย”
แน่นอนว่า...พอเริ่มเมานางก็เริ่มตัดพ้อโชคชะตาของตนเอง พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาหลายต่อหลายครั้ง
“ข้าเป็นผีความจำเสื่อม ไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีใครรัก แม้แต่กระดาษเงินกระดาษทองก็ไม่มีใครคิดมีน้ำใจเผามาให้ข้าใช้ในยมโลก เวลาข้าเห็นผีตนอื่นร่ำรวยเงินทอง อาหารการกินมากล้น กินทิ้งกินขว้างกินเท่าไหร่ก็ไม่หมด ข้าได้แต่นึกอิจฉา น้อยใจในวาสนาของตนเองเสียเหลือเกิน”
ผีสาวเริ่มฟูมฟายตีอกชกตัว ยกสุราขึ้นดื่มจอกแล้วจอกเล่า ขณะที่มนุษย์หนุ่มยังคงนั่งนิ่ง ดวงตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
“แต่นับว่าข้ายังมีบุญเก่า ถึงได้มาพบท่าน ได้ติดตามรับใช้ท่านผู้มีพระคุณ น่าเสียดายที่ข้าเป็นผีไม่อาจตอบแทนอะไรท่านได้” นางใช้นิ้วชี้จี้ไปที่ขมับของตนอย่างครุ่นคิด แล้วความเมาก็ทำให้นางคิดอะไรบางอย่างออกมา
นางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ดวงตาวิบวับพราวแสงราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า แล้วแอ่นหน้าอกทรงโตเบียดกระแซะต้นแขนของเจ้านายหนุ่ม