“วันนี้นังน้ำอิง แกต้องเดินทางไปประเทศอาคาเรียตอนเย็นนี้ ท่านชีคอัลซาร์ส่งค่าตั๋วเครื่องบินมาให้แกแล้วด้วย พอไปถึงประเทศอาคาเรีย แกก็ต้องเข้าพิธีอภิเษกกับท่านชีคในทันที”
“ค่ะ ได้ค่ะคุณแม่ น้ำอิงจะไปประเทศอาคาเรียในวันนี้ น้ำอิงขอเวลาครึ่งวันไปลาออกจากงานให้เรียบร้อยก่อนนะคะ แล้วน้ำอิงจะไปขายตัวตามคำบัญชาของคุณแม่ค่ะ”
ฐิติรดาเดินโผเผราวกับนกปีกหักออกมาจากบ้านด้วยจิตใจเลื่อนลอย หญิงสาวกำลังช็อกในเรื่องที่ตนเองไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของมารดา และที่ช็อกสุดขีดทำเอาหัวสมองหยุดทำงานไปชั่วขณะ ก็คือเมื่อรู้ว่าตนเองกำลังถูกยัดเยียดให้เป็นโสเภณีที่มีค่าตัวถึงยี่สิบล้าน!
ฐิติรดาออกเดินทางจากบ้านเกิดเมืองนอนมายังแผ่นดินประเทศอาคาเรียในเย็นวันนั้น หญิงสาวรู้สึกเจ็บแปลบเมื่อมารดาไม่มีความสงสารเห็นใจเธอบ้างเลย นางออกมาส่งเธอขึ้นรถแท็กซี่แค่หน้าบ้านเท่านั้น แถมยังกำชับกำชากับคนขับแท็กซี่ว่าให้ไปส่งเธอที่สนามบินสุวรรณภูมิ มารดาเธอกลัวว่าเธอจะหลบหนีไม่เดินทางไปยังประเทศอาคาเรีย โดยไม่สนใจว่าพอเดินทางไปถึงดินแดนแห่งทะเลทรายแล้ว เธอต้องพบเจอกับความโหดร้ายอย่างไรบ้าง
‘แกไม่ใช่ลูกของฉัน แกเป็นลูกติดของพ่อแก’
หยาดน้ำตาอุ่นเอ่อคลอเบ้าทันที เมื่อเจ้าตัวนึกถึงคำพูดของมารดา หญิงสาวเพิ่งเข้าใจในเวลานี้นี่เองว่าที่ผ่านๆ มาทำไมมารดาถึงไม่เคยกอด ไม่เคยแสดงความรักต่อเธอเลย หญิงสาวจำได้ว่าเธอถูกมารดาตีไม่ยั้งในทุกๆ ครั้งที่ทำผิดแค่เพียงเล็กๆ น้อยๆ และหากคราใดเธอทำผิดขั้นรุนแรงในสายตาของมารดา เธอจะถูกขังให้อยู่แต่ในห้อง และวันนั้นทั้งวันเธอก็ได้กินแค่น้ำเปล่าเพื่อเป็นการประทังชีวิต
“คุณพ่อคะ น้ำอิงอยากไปอยู่กับคุณพ่อ...”
ฐิติรดาเอนศีรษะพิงกับเบาะที่นั่งอันเย็นเฉียบ ดวงตาคู่สวยซึ่งมีหยาดน้ำตาเอ่อคลอเบ้า เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบิน หากเธอมีความกล้าสักนิด เธอจะเสาะหาหนทางเพื่อให้ตัวเองได้ไปอยู่กับบิดาผู้ล่วงลับ แต่เมื่อยังไม่มีความกล้ามากพอ อีกทั้งคิดว่าการฆ่าตัวตายเป็นวิธีของคนสิ้นคิด หญิงสาวจึงจำยอมก้มหน้าก้มตารับชะตากรรมที่รอเธออยู่ข้างหน้า
“น้ำอิง เธอต้องเข้มแข็ง มันต้องมีสักวัน ที่จะเป็นวันของเธอ”
ฐิติรดาพยายามให้กำลังใจตัวเอง อีกทั้งยังสั่งให้หัวสมองเลิกคิดถึงเรื่องที่ผ่านๆ มา เพราะถึงคิดไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ยังไงๆ เธอก็ต้องเดินทางไปประเทศอาคาเรีย ไปเป็นนางบำเรอให้กับท่านชีคอัลซาร์ผู้สูงวัย ทว่ายังตัณหากลับริมีเมียเด็ก ทั้งๆ ที่ควรจะหยุดเรื่องกามารมณ์ได้แล้ว
สิบสี่ชั่วโมงเต็มสำหรับการเดินทางข้ามขอบฟ้ามายังประเทศอาคาเรีย เครื่องบินพาณิชย์ลงจอดในสนามบินนานาชาติอาคาเรีย ตอนเข็มนาฬิกาชี้บอกเวลา 18.00 นาฬิกาพอดี
และด้วยอำนาจของชีคอัลซาร์ ซึ่งสั่งกำชับกับเจ้าหน้าที่สนามบินไว้แล้ว ฐิติรดาจึงไม่ต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง เท้าเล็กไม่ทันแตะกับแผ่นดินประเทศอาคาเรียดี ก็มีองครักษ์สองคนเดินมาโค้งคำนับให้ ก่อนที่คนตัวใหญ่สูงตระหง่านกว่าใครเพื่อน จะเอ่ยแนะนำตัวเองด้วยน้ำเสียงห้าวทุ้มติดห้วนอยู่เล็กน้อย
“สายันต์สวัสดิ์ ขอต้อนรับสู่ประเทศอาคาเรีย พวกเราสองคนได้รับคำสั่งจากท่านชีคอัลซาร์ ให้มารับคุณฐิติรดาไปพระราชวัง”
ฐิติรดาเงยหน้ามององครักษ์คนที่อยู่ตรงหน้า ยอมรับว่าอีกฝ่ายมีเรือนกายสูงใหญ่ล่ำสันมาก ขนาดว่าเธอใส่รองเท้าส้นสูงถึงสองนิ้วแล้ว แต่ยังต้องเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายจนเมื่อยคอ หญิงสาวช้อนดวงตากลมโตมององครักษ์หนุ่มที่สวมหมวกหม้อตาลสีขาวมีกระบังด้านหน้าคล้ายๆ กับหมวกนายร้อยตำรวจของประเทศไทย ซึ่งอีกฝ่ายดึงกระบังหมวกลงมาปิดใบหน้า ปิดดวงตาของตนเอง จนเธอมองเห็นไม่ค่อยชัดเจนเท่าไร จากนั้นก็เอ่ยถามอีกฝ่าย เพื่อไม่เป็นการประมาทว่าเธอจะไม่ถูกหลอกเอา
“ฉันจะเชื่อได้ยังไงว่าคุณเป็นองครักษ์ของท่านชีคอัลซาร์ตามที่บอกมา มีบัตรแสดงตัวหรือเปล่าคะ”
‘ถามหาให้ตาย เราก็ไม่มีให้หรอก’
องครักษ์จอมปลอมตรัสตอบอยู่ในพระทัย พลางหันไปมององครักษ์ตัวจริงซึ่งยืนอยู่ไม่ห่าง และดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้งานรีบหยิบบัตรประจำตัวมายื่นให้หญิงสาวแสนสวยรับไปอ่าน
องครักษ์นาฟฟาลดึงบัตรประจำตัวซึ่งห้อยอยู่ตรงหน้าอกออกมา จากนั้นก็ยื่นให้ฐิติรดา พร้อมกับเอ่ยตอบเสียงเข้มไม่แพ้ผู้เป็นเจ้าเหนือหัว
“นี่ครับ บัตรประจำตัวของพวกเรา”
ฐิติรดารับบัตรประจำตัว ซึ่งพิมพ์ชื่อ นามสกลุ ตำแหน่งหน้าที่การงาน ทั้งภาษาถิ่นและภาษาอังกฤษกำกับไว้อย่างสวยงาน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมององครักษ์ร่างยักษ์ ซึ่งกำลังจ้องมองเธอเขม็งอย่างไม่กะพริบตา
“แล้วบัตรของคุณล่ะคะอยู่ไหน ทำไมไม่เอามาแสดงให้ดิฉันดูด้วย”
“เรื่องมากชะมัด เดี๋ยวพ่อก็ทุบให้สลบแล้วลากขึ้นรถซะเลย”
องครักษ์จอมปลอมสบถลอดไรฟันเป็นภาษาถิ่น พระพักตร์คมเข้มบูดบึ้งราวกับกินรังแตนมาก็ไม่ปาน เปลวไฟแห่งโทสะพุ่งพรวดอยู่ทั่วพระวรกาย เมื่อเห็นว่าที่เจ้าสาวของพระบิดานั้นสวยเซ็กซี่ชวนกลืนกินไปทั้งเนื้อทั้งตัว และพระวรกายของพระองค์ก็ช่างตอบสนองอารมณ์กำหนัดได้ดีเหลือเกิน เมื่อจู่ๆ มันก็แข็งขึงตื่นตัวดุนดันกับกางเกงผ้านิ่มจนพระองค์รู้สึกปวดร้าวไปทั้งพระวรกาย
“กรุณาพูดเป็นภาษากลางได้ไหมคะ เพราะดิฉันฟังภาษาของคุณไม่ออก”
ฐิติรดาสั่งเสียงเข้ม ไม่ค่อยพอใจที่องครักษ์ร่างยักษ์เลือกพูดภาษาถิ่น แทนการพูดภาษาสากลกับเธอ อีกทั้งไม่ค่อยชอบสักเท่าไร เมื่อนัยต์ตาคมกริบดุจพญาเหยี่ยว จ้องมองเธอด้วยแววตาหื่นกระหาย ราวกับต้องการเปลื้องผ้าเธอออกก็ไม่ปาน
องครักษ์จอมปลอมนึกโมโห ที่ฐิติรดาขยันตวัดปลายลิ้นสีชมพูมาไล้ริมฝีปากอวบอิ่มแดงระเรื่อของเธอ เพราะมันทำให้พระองค์จินตนาไปไกล ว่าจะรู้สึกสุขสมมากเพียงใด หากปลายลิ้นนุ่มๆ ได้ตวัดโลมไล้ทั่วกายแข็งแกร่งร้อนผะผ่าวของพระองค์
“ขึ้นรถได้แล้วคุณผู้หญิง และไม่ต้องกลัวว่าจะถูกหลอกไปปู้ยี่ปู้ยำที่ไหน ราษฎรค่อนประเทศ เขารู้แล้วว่าคุณเป็นว่าที่พระชายาของท่านชีคอัลซาร์ เพราะฉะนั้นไม่มีใครกล้าแตะต้องคุณแม้แต่ปลายเล็บ”
‘ยกเว้นเจ้าชายคามิล ฮานีฟ อาคาเรีย คนเดียว ที่กล้าแตะต้องเจ้า และกล้าสั่งสอนให้เจ้าหลาบจำว่าอย่าริอาจทำตัวเป็นหนูตกถังข้าวสาร’
องครักษ์จำเป็น ไม่ได้ตรัสบอกปากเปล่า ทว่าพระหัตถ์ใหญ่ได้คว้าหมับเข้าตรงต้นแขนนุ่มเนียนมือ แล้วลากให้ร่างอรชรเดินตามไปขึ้นรถแลนด์โรเวอร์ ซึ่งจอดอยู่ไม่ห่าง