Chapter 4
สาวใช้หน้าเจื่อน กลืนไม่เข้าคายไม่ออกและไม่กล้าตอบ ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจยกเอง
“เดี๋ยวดิฉันยกออกไปให้เองค่ะ” สาวใช้รับอาสากุลีกุจอเข้ามาช่วยยก
“ไม่ต้อง เธอเป็นผู้หญิง ไปบอกคนขับรถมายกนั่นแหละ” หญิงสาวตอบกลับเสียงหนัก
คราวนี้สาวใช้ลอบกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ แม้ว่าเธอจะเจอปถวีเพียงครั้งเดียวและวันนี้เขาจะอยู่ในชุดเก่าซีด แต่เธอก็จำได้แม่นว่าคนที่ขับรถของไร่มารับมิราต้องเป็นเขา สายตาคมๆ ของเขาทำให้ผู้หญิงเกือบทั้งโลกต้องหลอมละลาย เพียงแค่เขาเหลือบสบตาพร้อมกับริมฝีปากหยักยกสูงยิ้มน้อยๆ
แต่เพราะคำสั่งของคุณหนูใหญ่ของบ้าน เธอก็ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากขัด
“เอ่อ...ค่ะ” สาวใช้ตอบรับ ทั้งที่อึกอัก สบตาเจ้าสัวเหมือนขอความช่วยเหลือ
“ทำตามที่คุณมิราบอกนั่นแหละ” เจ้าสัวสำทับ
“ค่ะ” หญิงสาวโค้งรับคำ และก้าวออกไป
“กินอะไรก่อนไหมมิรา” เจ้าสัวถามหลานสาว
มิราหันกลับไปมองปู่เล็กของเธออีกครั้ง “ไม่ดีกว่าค่ะ มิราไม่อยากให้ถึงที่นั่นสาย ไม่ชอบเดินทางท่ามกลางแสงแดด”
“แต่กว่าจะถึงที่นั่นก็สายมากนะ เราควรจะหาอะไรรองท้องเสียก่อน” ชายสูงวัยบอกด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ
“ไม่เป็นไรค่ะ มิราดูแลตัวเองได้”
เจ้าสัวพยักหน้าหงึกๆ ระอากับความรั้นเอาแต่ใจของหลานสาว แต่ทันทีที่เขาเหลือบเห็นคนขับรถของเหมืองที่มารับหลานสาวเดินเข้ามา เจ้าสัวปราณก็แอบซ่อนยิ้ม ไม่รู้ว่าเมื่อคนที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่สิ่งที่เขาเห็นทำให้รู้ว่าเป็นลางดีของเขาถ้าหากปถวีมารับเธอด้วยตัวเอง
ปกติปถวีงานยุ่งมาก และไม่บ่อยที่เขาจะยอมเข้ากรุงเทพ เพราะบ่อยครั้งที่ถูกบังคับให้เข้ามาแต่ปถวีก็หาทางหลีกเลี่ยงทุกครั้ง แม้กระทั่งวันที่กำหนดนัดเซ็นรับมรดกตามแผนที่ถูกกำหนดเอาไว้ ชายหนุ่มยังปฏิเสธที่จะเข้ามาและหาข้ออ้างต่างๆ นานาที่จะไม่ช่วยเรื่องนี้ จนเขาต้องขอร้องไห้ภรรยาช่วยพูดอีกแรง
“สวัสดีครับท่านเจ้าสัว นายเหมืองปถวีสั่งให้ผมมารับคุณหนูครับ” ปถวียกมือไหว้ทำความเคารพอย่างนอบน้อม พร้อมกับรายงานออกไป เพียงประโยคเดียวของเขาก็เปิดและปิดทุกคำถามและไขข้อสงสัยของเจ้าสัวได้ทุกข้อ
มิราเหลือบสายตามองชายหนุ่ม ปากของเธอยกขึ้นแหยๆ ผู้ชายผมเผ้ารุงรัง เนื้อตัวสกปรก แถมเสื้อผ้ายังเป็นเสื้อเก่าขาดๆ
ปถวีตั้งใจแต่งชุดแบบนี้มารับเธอ เพราะอยากรู้จักคุณหนูของบ้านคนนี้ หลังจากที่เขาได้กลับไปนั่งคิดทบทวนและตกลงใจที่จะช่วยเหลือ บุญคุณที่เจ้าสัวมีให้ทั้งหมดเทียบกับเรื่องที่ท่านขอก็เพียงเศษเสี้ยว
“ไหนครับ ของที่จะให้ผมยกไป” ชายหนุ่มถามและมองหาพร้อมกับเดินตรงเข้ามาหากระเป๋า
มิราชักมือหนีบหูกระเป๋าแน่น เริ่มหวงของที่เธอถือมาขึ้นทันที
เธอมองคนขับรถของเหมืองที่มารับเธออย่างสำรวจ ผู้ชายรูปร่างดีสมส่วนในชุดเสื้อผ้าสกปรกมอซอ แต่แววตาคมกริบคู่นั้น ก็ทำให้เธออดแย้งในใจกับตำแหน่งของเขาไม่ได้
“ไม่เป็นไร! เดี๋ยวฉันบอกให้คนในบ้านยกออกไป” หญิงสาวบอกเสียงแข็ง ถึงอย่างไรเธอก็ยังมองว่าเนื้อตัวของเขาสกปรกเกินกว่าที่จะยอมให้สัมผัสกับกระเป๋าราคาแพงของเธอ
“ผมหมดหน้าที่แล้วใช่ไหม” ชายหนุ่มตอบกลับเสียงเรียบ ไม่มีหางเสียงเหมือนคนเป็นลูกน้องทำกัน
เจ้าสัวปราณยังนั่งนิ่งไม่สนใจ ยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ
มิราเชิดหน้ามองอย่างไม่พอใจ “นายไม่รู้หรือว่าฉันเป็นใคร เวลาพูดกับเจ้านายต้องให้มีหางเสียงทุกครั้ง ก็อย่างว่าคนบ้านป่าเมืองเถื่อนจะได้รับการอบรมได้อย่างไร หัวหน้าที่เหมืองก็คงไม่ต่างกัน” มิราพาดพิงไปถึงปถวี
“แคกๆๆ”
เสียงเจ้าสัวสำลักกาแฟ เรียกความสนใจให้มิรากลับไปมองปู่เล็กของเธออีกครั้ง
“ปู่เล็กก็เหมือนกัน คงจะให้ท้ายกันจนชิน”
“อืม...ปู่ยอมรับผิด ยอมรับเต็มประตูว่าไม่เคยได้ไปยุ่งเกี่ยวกับงานที่เหมืองสักครั้งปล่อยให้ปถวีบริหารจัดการเองทั้งหมดตั้งแต่เริ่ม ที่ผ่านมาก็เพียงรอรับผลกำไรเท่านั้น”
“ผลประโยชน์ที่ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยนั่นหรือคะ” หญิงสาวถามกลับทันที
คราวนี้คนยืนฟังชักสีหน้าไม่พอใจ หันไปสบตาเจ้าสัวนิดหนึ่ง แต่เมื่อเห็นเจ้าสัวพยักหน้าให้เป็นเชิงขอโทษแทนหลานสาว ก็ทำให้เขานึกถึงคำพูดของเจ้าสัววันนั้น
คำขอร้องวิงวอนที่ท่านเจ้าสัวขอเขาไว้ครั้งสุดท้าย ให้เขาช่วยดัดนิสัยหลานสาวคนนี้ให้ เห็นอย่างนี้เขาก็มองออกว่าหลานสาวสุดหวงของเจ้าสัวคนนี้เกินเยียวยา
ขืนปล่อยให้น้าสาวของเขารับมือคนเดียว ผู้หญิงมองโลกในแง่ดีอย่างนั้นคงจะไม่สามารถสู้รบปรบมือกับหลานสาวเจ้าสัวคนนี้ได้ ผู้หญิงอย่างนี้ต้องเจอกับคนเถื่อนๆ อย่างเขา
ปถวียิ้มน้อยๆให้เจ้าสัว พยักหน้าเป็นเชิงตอบรับคำขอโทษ ก่อนที่จะเดินออกไปยืนรอที่หน้าประตู
หลังจากที่ปถวีเดินออกไปแล้วเจ้าสัวปราณก็หันกลับมาติงหลานสาว
“พูดอะไรของแกน่ะมิรา ไปดูให้เห็นกับตาก่อนแล้วค่อย
กลับมาพูดจะดีกว่า เที่ยวพูดกับคนอื่นไปทั่วอย่างนี้ ผลเสียก็ย่อมตกมาที่คนพูดเพียงคนเดียวเท่านั้น”
“มิรารับผิดชอบคำพูดของตัวเองเสมอ ขอตัวไปดูให้เห็นกับตานะคะ” หญิงสาวตอบกลับมาอย่างมั่นใจ
เจ้าสัวปราณส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหัวใจ
“เตือนด้วยความหวังดีนะมิรา”
“ปู่เล็กปกป้องออกรับแทนคนพวกนั้นขนาดนี้ มิราคงไม่สามารถเชื่อได้เต็มร้อยหรอกค่ะ ต้องไปดูให้เห็นกับตาแน่ๆ
“งั้นก็ไปเถอะเดี๋ยวสาย อย่าให้คนเขารอนาน”
“กะอีแค่คนขับรถในไร่” มิรามองชายหนุ่มด้วยสายตาเหยียดหยามเล็กน้อย
เจ้าสัวปราณมองหน้าหลานสาวด้วยแววตาไม่พอใจอีกครั้ง แม้ว่าจะเป็นเจ้านายและร่ำรวยมากแค่ไหน ก็ไม่มีสิทธิ์ไปดูถูกคนอื่น
“กับใครก็ตามมิราไม่สมควรพูดแบบนี้ ยังไงเขาก็เป็นคนของเรา ทำงานให้เรา” เจ้าสัวติงหลานสาวเป็นเชิงสอน ทั้งที่รู้ว่าคนอย่าง มิราไม่เคยยอมฟังอะไรง่ายๆ
หญิงสาวสะบัดหน้าพรืดตัดบท ไม่สนใจคำพูดของคนเป็นปู่ “มิราไปแล้วนะคะ”
ทุกอย่างก็เป็นจริงอย่างที่เจ้าสัวปราณคาดคิดเอาไว้ มิราไม่สนใจในคำพูดของเขา เธอบอกลาเจ้าสัวหันไปสั่งสาวใช้ในบ้านให้ยกกระเป๋า ส่วนตัวเธอก็เดินออกไปจากตรงนั้นทันที
“เธอ...ยกกระเป๋าตามฉันไปขึ้นรถซิ”
เจ้าสัวได้แต่ส่ายหน้าเนือยๆ มองหน้าปถวีที่ยืนอยู่เกือบถึงหน้าประตูด้านนอกอย่างฝากฝัง มิราเดินผ่านหน้าชายหนุ่มไปโดยไม่เห็นแววตาของคนเป็นปู่ที่เธอเดินหันหลังให้
หลังจากที่หญิงสาวเดินผ่านชายหนุ่มก็เดินตามหญิงสาวออกไป เจ้าสัวปราณมองตามอย่างมีความหวัง เขาได้แต่หวังว่าปถวีจะช่วยจัดการทุกอย่างได้ดี
ปถวีเปิดประตูให้หญิงสาวขึ้นไปนั่งรอในรถ เขาไม่ชอบเธอตั้งแต่ได้ยินเสียงในโทรศัพท์เมื่อคืน ชื่อของเธอฝังอยู่ในหัวแน่น ‘มิรา’ เขาอยากรู้จักเธอมากขึ้นกว่าเดิมจนต้องขับรถมารับด้วยตัวเอง
ชายหนุ่มนิ่งรอคำสั่งเหมือนคนขับรถคนหนึ่ง หน้าที่และภารกิจของเขาวันนี้
“เสร็จแล้วก็ออกรถสิ” หญิงสาวสั่งเสียงสะบัด เพราะอารมณ์ขุ่นมัวที่คั่งค้างอยู่เมื่อครู่ด้วย
“ครับ” ชายหนุ่มตอบรับพร้อมกับจังหวะการเคลื่อนตัวของรถ
หลังจากที่รถขับออกไปพ้นรั้วบ้าน หญิงสาวหันกลับมามองคฤหาสน์ด้านหลังด้วยแววตาหม่นหมอง แต่มีริ้วรอยแห่งความหยิ่งผยองอยู่ในที ได้แต่บอกกับตัวเองว่าทุกอย่างในอาณาจักรต้องเป็นของเธอเพียงผู้เดียว หรืออย่างน้อยคนที่จะได้ส่วนแบ่งก็แค่สองสาวแฝดนั่น
คนขับรถยังทำหน้าที่ของเขาได้อย่างดีเยี่ยม รถแล่นออกสู่ถนนหลักอย่างนิ่มนวล คนขับยังรักษาความเงียบงันเอาไว้ครบถ้วน ไม่มีแม้กระทั่งเสียงเพลง