แสงอาทิตย์สาดแสงอันอบอุ่นเหนือสวนอันเขียวชอุ่มของตำหนักจินหลิง สตรีวัยกลางคนสวมอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ ปักลายดอกไม้ด้วยด้ายสีทองและสีเงินที่ชายผ้า ยาวเยื้องย่างผ้าปลิวไสวเกิดเป็นแสงระยิบระยับเมื่อสะท้อนแสงแดด นางเดินเข้าไปหาลูกสาวของคนโตที่กำลังนั่งวาดภาพสวนอยู่ในศาลาไม้
ผิวขาวบริสุทธิ์ดั่งหิมะยามเหมันต์กาล ตัดกับผมสีดำขลับยาวสลวยดังสายธารน้ำหมึก ดวงตากลมโตสีน้ำตาลที่อ่อนหวานแต่เปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญดั่งแววตาของมารดาผู้ให้กำเนิด
มือเรียวสวยจับพู่กันมั่น และบรรจงตวัดลายเส้นที่ชดช้อยพลิ้วไหวราวกับภาพที่มีชีวิต กลิ่นหอมของดอกไม้บานลอยอยู่ในอากาศ เสริมบรรยากาศแห่งความเงียบสงบให้สดชื่น
ฉินเก๋อจินเดินเชิดหน้าเข้าไป ซ่อนแววตาดุเอาไว้ใต้ใบหน้าเรียบเฉยเมื่อนางเข้าใกล้ลี่ฮวา ซึ่งกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับการ วาดและชื่นชมกลีบดอกที่มีชีวิตชีวาของดอกโบตั๋น
“ลี่เอ๋อร์” ฉินเก๋อจินเปล่งเสียงออกมา เมื่อนางนั่งลงตรงข้ามกับบุตรสาวคนโต น้ำเสียงของนางสื่อถึงอำนาจอันละเอียดอ่อนที่ต้องการความสนใจ
ดวงตาคู่งามของฉินลี่ฮวาละจากแผ่นกระดาษ และเงยขึ้นมาสบสายตากับมารดาของนาง ซึ่งกำลังจ้องเขม้นอยู่เหมือนโกรธเคืองอะไร
“แม่มีเรื่องสำคัญต้องพูดกับเจ้า หวังว่าคงจะไม่รบกวนเวลาวาดภาพของเจ้าหรอก...ใช่หรือไม่” ฉินเก๋อจินพูด แล้วส่งสายตาบอกให้นางรับใช้ออกไปจากพื้นที่ เพราะต้องการความเป็นส่วนตัว
“ท่านแม่มีเรื่องสำคัญอันใดหรือเจ้าคะ” ผู้เป็นบุตรสาวเอ่ยถามอย่างฉงน แต่ในใจก็แอบคิดถึงอยู่เรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องเดียวที่ตัวนางนั้นพยายามหลบเลี่ยงมาโดยตลอด
“ก็มีอยู่เรื่องเดียว เรื่องเดิมๆ ที่แม่พูดกับเจ้ามาตลอดหนึ่งปี จนไม่สามารถนับได้แล้ว ว่าแม่พูดไปเท่าไหร่ นี่ยังไม่รวมกับที่แม่พูดกับท่านพ่อของเจ้าอีกนะลี่เอ๋อร์” เพียงเท่านี้ฉินลี่ฮวาก็รับรู้ได้ทันที ว่าเรื่องที่แม่ของนางกำลังจะพูดนั้น เป็นเรื่องเดียวกันกับที่นางคิดเอาไว้
“พ่อของเจ้าผัดวันประกันพรุ่ง เรื่องการเตรียมขบวนแต่งงาน เจ้าอายุ 16 ปีอีกแล้วนะลี่เอ๋อร์ ยังไร้วี่แววจะเดินทางไปเตรียมตัว แบบนี้มันถือว่าหยามเกียรติอีกฝ่ายรู้หรือไม่” ฉินเก๋อจินกล่าว น้ำเสียงของนางเผยให้เห็นถึงความอดทนที่หมดสิ้น
“แม่ต้องการให้เจ้า พูดคุยกับท่านพ่อด้วยตัวเอง บอกกับพ่อของเจ้าว่าต้องการจะเดินทางไปเมื่อจูไห่ ไม่อย่างนั้นทางนั้นจะเปลี่ยนใจ ไปสู่ขอองค์หญิงจากเมืองอื่นเอาได้”
ฉินลี่ฮวาลังเล ดวงตาของนางสั่นไหวด้วยความกังวลและไม่เต็มใจ
“ท่านแม่เจ้าคะ ลูกเคยพูดไปหลายหนแล้วเช่นกัน ว่ายังไม่พร้อมสำหรับเรื่องนี้ ลูกต้องการเวลามากกว่านี้” นางเปล่งเสียงอ้อนวอนอย่างแผ่วเบา ด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ
คนเป็นมารดาสูดลมหายใจเข้า เพื่อรวบรวมความอดทน ท่าทางของนางเข้มงวดขึ้น และอำนาจของความเป็นมารดาก็ฉายแววในดวงตาของนาง
“เวลาเป็นของฟุ่มเฟือยที่เราเสียไปแล้วก็จะเสียไปเลย การเป็นพันธมิตรกับองค์ชายแคว้นจูไห่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อ จุดยืนของเมืองจินหลิง ตลอดไปจนถึงความสัมพันธ์กับแคว้นด้วย เราต้องเร่งจัดการให้เร็วที่สุด ตอนแม่แต่งงานกับพ่อของเจ้า แม่ก็ไม่ได้เต็มใจนักหรอก”
ฉินเก๋อจินออกคำสั่งให้ลูกสาวของนางอย่างไม่ยอมแพ้
“ไปหาพ่อของเจ้า พูดโน้มน้าวให้เขาเร่งจัดการเรื่องขบวนแต่งงาน ความมั่นคงของเมืองจินหลิงและเศรษฐกิจในอนาคตอันใกล้ ขึ้นอยู่กับการแต่งงานในครั้งนี้”
ลี่ฮวาถอนหายใจ โดยต้องเลือกระหว่างหน้าที่ครอบครัวกับความอิสระของตนเอง
“ลูกขอเวลาอีกสักปีไม่ได้หรือเจ้าคะท่านแม่ ลูก...”
ฉินเก๋อจินขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงของนางอย่างหนักแน่น
“เชื่อแม่เถิดลี่เอ๋อร์ แม่รู้ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับลูกสาวของแม่ อย่าเถียงแม่เรื่องนี้เลย” ฉินลี่ฮวาเงียบไปพักหนึ่ง เพื่อทบทวนทุกอย่าง นางพยายามหลบหนีเรื่องนี้มาตลอด เพราะรู้ดีว่าการแต่งงานเป็นการฆ่าอิสระให้สูญสิ้น
แต่เมื่อรู้สึกถึงความคาดหวังของมารดา ฉินลี่ฮวาจึงพยักหน้ารับ แม้จะไม่ได้เต็มใจเลยสักนิด แต่ก็ดูเหมือนว่าจะปฏิเสธต่อไปไม่ได้อีกแล้ว
“ลูกจะลองพูดกับท่านพ่อดูเจ้าค่ะ”
“เจ้าต้องขอร้อง บอกกับพ่อของเจ้าว่าเต็มใจจะไป และห้ามบอกเด็ดขาดว่าแม่สั่ง” บุตรสาวแสดงสีหน้าสงสัย นางไม่เข้าใจว่าทำไมถึงบอกพ่อเรื่องนี้ไม่ได้
“อย่างที่เจ้าเองก็คงจะรู้เต็มอก ว่าเจ้าเป็นลูกคนที่พ่อรักมากกว่าใครๆ ถ้าเจ้าไม่พูดว่าเจ้าเต็มใจ ทั้งยังบอกอีกว่าแม่เป็นคนสั่ง พ่อของเจ้าก็คงจะเมินเฉยเหมือนเคย และแม่ก็จะถูกตำหนิ พี่น้องคนอื่นก็...จะน้อยใจที่พ่อเอาใจเจ้าอยู่คนเดียว” เรื่องนี้เหมือนเป็นปมในใจของฉินลี่ฮวา เรื่องที่แม่ชอบพูดว่านางเป็นลูกรักคนเดียวของฉินฝานหรู ทั้งที่พี่น้องคนอื่นก็คิดเหมือนกัน ว่าพ่อรักลูกทุกคนเท่ากัน
บางครั้งนางยังเผลอคิดว่า แม่เสียอีกที่เหมือนจะรักนางน้อยกว่าลูกคนอื่น แต่ก็เข้าใจว่าอาจจะเป็นเพราะที่แม่เข้าใจผิด เรื่องที่หาว่านางเป็นลูกรักของพ่อ จึงต้องพยายามรักน้องทั้ง 3 คนให้มากกว่า
“เจ้าค่ะ ลูกจะไม่บอกท่านพ่อ ว่าท่านแม่เป็นคนสั่งให้ลูกไป” รอยยิ้มพอใจคลี่บนใบหน้าของฉินเก๋อจิน มือบางเอื้อมไปจับที่ปอยผมของลูกสาว ก่อนจะเสยขึ้นไปทัดที่หู
“ดีมากลี่เอ๋อร์ แม่ทำทั้งหมดก็เพื่อเจ้า แม่ไม่อยากให้ลูกพลาดโอกาสที่ดีเช่นนี้ เมืองจูไห่เป็นเมืองท่าที่สำคัญ หากไม่ปรองดองกันไว้ แล้วพลาดให้ตกไปอยู่ในมือคนอื่น จินหลิงก็จะแย่” ฉินลี่ฮวาพยักหน้ารับ ใบหน้าสวยเต็มไปด้วยความกังวลและอึดอัด
ถึงจะไม่อยากทำเลย แต่ในเมื่อมารดาพูดขนาดนี้แล้ว นางจะขัดความตั้งใจของอีกฝ่ายอย่างไรได้ เด็กสาวได้แต่คิดถึงชีวิตที่เป็นอิสระของตัวเอง หากฉินฝานหรูยอมทำตามคำขอนี้ก็เท่ากับว่านางจะต้องพลัดบ้านพลัดเมืองไปอยู่ต่างแคว้น ต้องอยู่ไกลจากพ่อแม่พี่น้อง คนที่นั่นจะยินดีต้อนรับนางหรือไม่ ก็ไม่มีใครรู้ได้
อีกทั้งยังได้ยินมาว่าทางผ่านไปยังเมืองจูไห่ โจรชุกชุมเสียยิ่งกว่ายุง จะเกิดอันตรายขึ้นหรือไม่ก็ยังไม่รู้ได้