เจียวซินกับค่ายทหาร

4224 Words
“พวกเจ้าดูดีๆ ว่าครบแล้วหรือยัง” เจียวซินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ยืนอยู่หน้าตำหนักมองข้ารับใช้ขนหีบของรางวัลที่ได้รับจากองค์ฮ่องเต้มาไว้ที่ตำหนัก “ครบถ้วนแล้วพ่ะย่ะค่ะพระชายา” “ขอบใจพวกเจ้าทุกคนมาก ขนมนี้ก็นำกลับไปกินกันเถิด” เจียวชินให้ หนิงเออร์จัดเตรียมขนมของว่างเอาไว้แล้ว “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะพระชายา” ข้ารับใช้ต่างรับขนมกลับไปด้วยความดีใจ ตั้งแต่พระชายาตกน้ำตกท่าครานั้นก็ใจดีขึ้นมาก “หนิงเออร์ เจ้าว่าหยกพวกนี้จะขายได้สักเท่าใด” “ได้หลายตำลึงทองเพคะ แต่ของพระราชทานเช่นนี้พระชายาจะขายมิได้นะเพคะ” หนิงเออร์พูดดักทันที “เหตุใดจึงขายมิได้” “พวกเชื้อพระวงศ์และขุนนางเขาต่างเก็บไว้เป็นเกียรติ ไว้ประดับบารมีเพคะ” “โง่เง่าเสียจริง จะเอาเกียรติเอาบารมีไปเพื่อสิ่งใด สู้ขายแล้วนำเงินมาใช้จ่าย มิดีกว่าหรือ” เจียวซินขัดเคืองกับความคิดเช่นนี้อย่างมาก มัวแต่กอดบารมีเอาไว้จะอดตายเอาได้ “แล้วเดือนนี้ท่านอ๋องจะจ่ายเบี้ยหวัดเมื่อใดหรือ” ปากถามไปพลาง มือก็หยิบสำรวจของรางวัลที่ได้ว่าครบหรือไม่ หากไม่ครบจะได้ไปแจ้งท่านอ๋อง ให้ท่านอ๋องไปทวงจากฮ่องเต้ให้ “เอ่อ…หม่อมฉันลืมบอกไปเพคะ” “ว่า…?” เจียวซินละสายตาจากหีบขึ้นมามองคนสนิท “ที่จวนอ๋องจะให้เบี้ยหวัดหนาวละครั้งเพคะ แล้วหนาวนี้…พระชายาได้รับเบี้ยหวัดไปแล้วเพคะ” “ห๊าาา…นี่ นี่หมายความว่าข้าจะได้เบี้ยหวัดอีกทีก็-” “หนาวหน้าเพคะ” เจียวซินห่อเหี่ยวลงทันตา เงินที่มีตอนนี้มิรู้ว่าจะพอซื้อเสาตั้งสำนักศึกษาหรือไม่ด้วยซ้ำ แล้วจะหาเงินได้จากที่ใดอีกล่ะนี่ จริงสิ!!! อยากได้เงินก็ต้องทำงาน “ไปกันหนิงเออร์” เจียวซินลุกพรวดพราดขึ้น รีบปิดหีบรางวัลแล้วเดินออกไปทันที “ไปไหนเพคะพระชายา พระชายาเพคะ” หนิงเออร์รีบลุกวิ่งตามเจียวซินออกไป โดยไม่ลืมสั่งนางกำนัลซีซียกหีบไปเก็บไว้ ส่วนตนเองและซวนซวนรีบวิ่งตาม ผู้เป็นนายไปติดๆ เจียวซินวิ่งมาถึงที่โรงครัว เห็นเหล่าพ่อครัวแม่ครัวกำลังทำขนมกันอยู่ หากไปขอของว่างให้ท่านอ๋องตอนนี้ทุกคนคงต้องเร่งมือทำเป็นแน่ แล้วนางอาจถูกมองว่าเจ้ายศเจ้าอย่างก็เป็นได้ ดังนั้นแล้วนางจะอาสาไปช่วยทำก่อนแล้วค่อยขอแบ่งไปให้ท่านอ๋องดีกว่า คิกๆ “พวกเจ้าทำอันใดกันอยู่หรือ ให้ข้าช่วยทำได้หรือไม่” เจียวซินพูดด้วยน้ำเสียงหวาน พร้อมกับยิ้มเต็มใบหน้า ตลอดเดือนที่ผ่านมาเขาเอาแต่ศึกษาตำราเตรียมตัวแปลสารจากราชทูตมิได้สนใจจะผูกมิตรกับผู้อื่น “มิได้เพคะ!!!” เป็นเสียงของหนิงเออร์และซวนซวนที่พึ่งวิ่งมาถึง “ข้าทำได้ มาๆ เจ้ามาสอนข้าที มันเรียกว่าสิ่งใดหรือ” “ทูลพระชายา สิ่งนี้เป็นขนมทานเล่นเรียก อิ่วก้วย พ่ะย่ะค่ะ” พ่อครัวหลักกล่าวทูลต่อพระชายาด้วยท่าทางนอบน้อม “เช่นนั้นสอนข้าทำทีเถิด ข้าอยากช่วย” รอยยิ้มหวานโปรยไปทั่วทั้งโรงครัว เมื่อเจียวซินยืนยันว่าจะทำก็มิมีใครกล้าขัดขึ้นมาอีก แม่ครัวคนหนึ่งจึงรับหน้าที่สอนพระชายาใส่ใส้และห่อแป้งขนม คราแรกก็ทุลักทุเลอยู่พอควรแต่สุดท้ายก็ทำได้เสร็จสิ้น “เสร็จแล้วหรือ…เช่นนั้นข้าขอแบ่งไปให้ท่านอ๋องสักหน่อยได้หรือไม่” เจียวซินเอ่ยขอกับเหล่าพ่อครัวแม่ครัว “เอ่อ ได้ ได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะรีบจัดพร้อมกับชุดน้ำชาให้พ่ะย่ะค่ะ” “มิต้องรีบๆ ข้ามิได้รีบอันใด หากรีบคงไม่มานั่งช่วยทำขนมอยู่นานสองนาน” เจียวซินนั่งรอไม่นานเจียวซินก็ได้รับขนมและน้ำชามาสองชุด “ขอบใจพวกเจ้ามาก วันหลังข้าจะมาช่วยใหม่ อ่อ...แล้วอย่าลืมนำขนมไปให้ชายารองและอนุทั้งสามด้วยเล่า บอกพวกเขาด้วยว่าข้าตั้งใจทำสุดฝีมือ คิก คิก” เจียวซินได้พบกับบรรดาเมียๆ ของท่านอ๋องอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มีแขวะกันบ้างตามประสา วันดีคืนดีพวกนางก็ตบตีกัน หน้าปูดหน้าบวมมาให้นางตัดสิน แต่ละวันก็หัวหมุนไม่น้อย คงมีแต่อนุถังที่สงบปากสงบคำ มิมีเรื่องกับผู้ใดให้ระคายหู แม้แต่น้อย สมกับเป็นอนุคนโปรดของท่านอ๋อง เมื่อคิดถึงจุดนี้ในใจเจียวซินวูบโหวงมิน้อย วูบโหวงงั้นหรือ นี่มิใช่ว่า…นางกำลังรู้สึก…กับ…ท่านอ๋อง มิใช่ๆ คงเป็นเพราะความรู้สึกรักใคร่ที่เจียวซินคนเก่ามีต่อท่านอ๋องกระมัง นางจึงรู้สึกเช่นนี้ เมื่อคิดได้ดังนั้นก็รีบปัดความรู้สึกทั้งหมดออกไป แล้วจึงมาขอเข้าพบท่านอ๋องที่ห้องตำรา “ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันนำของว่างมาให้เพคะ ท่านขันที ท่านห่าวซวน ของว่างอีกชุดเป็นของพวกท่าน” เจียวซินเอ่ยแล้วจึงยกน้ำชาและของว่างของท่านอ๋องมาว่างไว้ของโต๊ะทำงานพร้อมกับรินขาให้เรียบร้อย เฟยเทียนมองท่าทีเอาอกเอาใจของเจียวซินก็นึกแปลกใจมิน้อย แต่ก็มิได้เอ่ยสิ่งใดออกไป ทำเพียงยกชาขึ้นดื่มแล้วลองชิมขนมท่านั้น “รสดีหรือไม่เพคะ” “อืม รสดีมิน้อย” “ถ้าเช่นนั้น…” เจียวซินยิ้มกว้างแล้วแบมือเรียวยื่นออกไปตรงหน้าท่านอ๋อง “อันใดของเจ้า” เฟยเทียนถึงกับงุนงง นางยื่นมือมาให้เขาทำไมกัน หรือนางอยากทักทายแบบชาวตะวันตก คิดเช่นนั้นเขาจึงยื่นมือไปจับมือนาง “มิใช่เพคะ…หนึ่งตำลึงเงินเพคะ” เจียวซินเอ่ยทวงขึ้นมาอีกครั้ง “หนึ่งตำลังเงิน ทำไมงั้นหรือ” เฟยเทียนที่ยังงุนงงก็ถามกลับ “ก็ค่าน้ำชากับขนมอย่างไรเพคะ นี่หม่อมฉันนำมาให้ตั้งสองชุด อีกอย่างนะ เพคะ…ขนมนี้หม่อมฉันเข้าครัวเองเลยนะ ดูนี่ อันที่บิดๆ เบี้ยวๆ นี่หล่ะที่หม่อมฉันทำ หนึ่งตำลึงเงินถือว่าลดราคาแล้วเพคะ” เจียวซินอธิบายร่ายยาวเป็นแถบ “ห๊า!! ค่าขนมกับน้ำชา ทั้งที่เงินซื้อวัตถุดิบต่างๆ เป็นเงินข้า ข้ายังต้องจ่ายให้เจ้าอีกหรือ” “ก็ค่าทำ ค่าขนส่งอย่างไรเพคะ…พูดเช่นนี้ท่านจะกินแล้วไม่จ่ายหรือ” เจียวซินลุกขึ้นเท้าสะเอวจ้องท่านอ๋องตาเขม็ง ราวกับยักษ์ที่กำลังเกรี้ยวโกรธ “เห้อออ…จ่ายๆ นี่หนึ่งตำลึงเงินของเจ้า” เฟยเทียนถึงกับถอนหายใจ “ขอบพระทัยเพคะ ท่านอ๋องมีสิ่งใดเรียกใช้หม่อมฉันได้นะเพคะ คิดเพียงงานละหนึ่งตำลึงเงินเท่านั้น ท่านขันทีกับท่านห่าวซวนก็ด้วยเรียกใช้ข้าได้ๆ” เมื่อได้เงินก็ยิ้มแย้มราวกับร่างยักษ์เมื่อครู่มิได้มีอยู่จริง “เป็นถึงชายาเอกของข้าเจ้าจะให้ผู้อื่นเรียกใช้ไปมั่วมิได้ อนุญาตให้เจ้าปรนนิบัติเพียงข้าเท่านั้น” “เช่นนั้นก็ได้เพคะ ท่านอ๋องมีอันใดให้ข้าทำหรือไม่เพคะ” เจียวซินยิ้มแย้มให้กับนายจ้างผู้ร่ำรวย “ปวดหลัง ปวดไหล่เสียจริง” เฟยเทียนที่คิดอยากกลั่นแกล้งนางจึงเปรยขึ้น “หม่อมฉันนวดได้เพคะ…” เจียวซินแบมือรับเงินหนึ่งตำลึงมาแบบสวยๆ งานสบายได้เงินดี ฮ่าๆ เจียวซินที่คิดแต่จะหาเงินไม่ได้สนใจว่าเฟยเทียนแอบยกยิ้ม กับท่าทีของนาง “ข้าจะออกไปค่ายทหารจะไปด้วยหรือไม่ อ่อ…แล้วข้าจะไปรับหนิงหลงมาค้างแรมที่จวนเราด้วย” “ไปเพคะ หม่อมฉันอยากฝึกการต่อสู้ หม่อมฉันพอจะเตะต่อยได้บ้างเพคะ” “หืม แม่ทัพจางยอมสอนเจ้าเตะต่อยด้วยหรือ” เฟยเทียนได้แต่สงสัยเพราะเท่าที่รู้มาเจียวซินมิค่อยได้ทำสิ่งใด วันๆ ก็มีบ่าวไพร่ล้อมหน้าล้อมหลัง “เอ่อ คือ…หม่อมฉันแอบฝึกเพคะ แหะๆ” เจียวซินแก้ตัวข้างๆ คูๆ ไม่รู้ว่าท่านอ๋องจะเชื่อหรือไม่ แต่มันก็มิมีคำแก้ตัวที่ดีกว่านี้แล้ว “งั้นหรือเช่นนั้นก็ไปกันเถิด ข้าจะลองทดสอบฝีมือเจ้าเสียหน่อย” ใช้เวลาไม่นานเฟยเทียนและเจียวซินก็มาอยู่ที่ค่ายทหาร เจียวซินที่กำลังเดินตามเฟยเทียนมาตรวจตราทหารก็สอดส่องไปทั่ว ภายในค่ายทหารทุกนายยังฝึกฝนกันอย่างขันแข็ง เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้นางยังพบเห็นทหารหญิงอยู่บ้างประปราย แต่มิแปลกเท่าใดเพราะหญิงสาวในยุคนี้คงนิยมอยู่กับบ้าน เรียนเย็บปักถักร้อยมากกว่าจะเรียนเรื่องรบราฆ่าฟัน ส่วนเจียวซินคนนี้น่ะหรือ ขอออกไปท่องโลกกว้างเสียยังดีกว่า “ข้าอยากทดสอบฝีมือเจ้าเสียหน่อย เตะต่อยพอได้ใช่หรือไม่” เฟยเทียนก้าวเข้าไปในลานกว้าง รอบข้างเป็นสนามฝึกของทหารมากมาย “ย่อมได้เพคะ แต่ท่านอย่าใส่เต็มแรงมากเล่า ข้ามิได้ฝึกร่างกายมานานแล้ว” “เช่นนั้นก็ย่อมได้ การประลองเพื่อทดสอบครานี้ห้ามใช้อาวุธ” ทั้งเฟยเทียนและเจียวซินก้าวออกมายืนตรงกลางลานกว้างคำนับต่อกันแล้วจึงเริ่มการประลอง ทหารหลายนายให้ความสนใจมายืนล้อมดูรอบลานกว้าง เหล่าทหารรู้จักทั้งสองฝ่ายเป็นอย่างดี ฝ่ายหนึ่งคือนายเหนือหัวผู้สูงศักดิ์ อีกฝ่ายเป็นบุตรีของอดีตแม่ทัพที่พวกเขาเคารพรักที่บัดนี้มียศเป็นถึงสะใภ้หลวง เช่นนี้พวกเขาจะอยู่ข้างใดดีเล่า “พระชายาทรงระมัดระวังอย่าให้เจ็บตัวนะเพคะ” หนิงเออร์ที่น้ำตาคลอกลัวผู้เป็นนายจะบาดเจ็บ แต่ก็เอ่ยห้ามอันใดมิได้ “นักรบย่อมมีบาดแผล เจ้าอย่าห่วงไปเลยหนิงเออร์” โถ่ พระองค์เป็นพระชายาเพคะ หาใช่นักรบไม่! เจียวซินที่ตอนนี้ตั้งแขนขึ้นสองข้าง กระโดดหย็องแหย็ง ก้าวเข้าก้าวออกอยู่อย่างนั้นเพื่อดูเชิงคู่ต่อสู้ ด้วยท่าทีที่แปลกประหลาดนี้ทำเอาเหล่าทหารหญิง ที่เข้ามาดูหัวเราะกันคิกคัก สตรีในห้องหอจะมาประลองต่อสู้ได้อย่างไรกัน แต่ทันใดนั้นเจียวซินใช้เท้าแตะเข้าไปที่กลางอกของเฟยเทียนอย่างจัง ด้วยท่วงท่าที่ยกเข่าขึ้นสูง พลิกตัวกะระยะให้สันเท้าหันเข้าหาเป้าหมาย แล้วออกแรงถีบด้วยความเร็วและแรง จนเฟยเทียนเซไปด้านหลังเล็กน้อยเนื่องจากไม่ทันตั้งตัว เจียวซินหมุนตัวเตะซ้ำเข้าไปอีกครั้ง แต่ครานี้เฟยเทียนหลบหลีกได้จึง มีจังหวะสวนกลับบ้าง เปลี่ยนกับรุกเปลี่ยนกันรับอยู่อย่างนั้น เจียวซินเมื่อประทะกับแรงของเฟยเทียนรู้ได้ทันทีว่าท่านอ๋องผ่อนแรงลงมาก อาจเพราะเพียงต้องการทดสอบเขาเท่านั้นจึงมิได้ใส่แรง แต่มักจะโต้กลับเพื่อทดสอบนางเท่านั้น เหล่าทหารที่เฝ้ามองอยู่ก็รู้ได้ทันทีว่าแม่ทัพใหญ่ของพวกเขาต้องการทดสอบชายาของตนเท่านั้นเพราะมิได้ลงแรงอันใดมาก แต่ก็อดทึ่งกับความสามารถด้านการต่อสู้ของพระชายามิได้ คุณหนูในห้องหอต่อสู้ได้มากเพียงนี้ถือว่าเก่งกาจมิน้อย ทั้งก่อนหน้าพวกเขาต่างก็ได้ยินมาว่าพระชายาเป็นผู้แปลสารจากคณะราชทูตทั้งยังเจรจาต่อรองได้สำเร็จ ไหนจะเก่งกาจเรื่องการคำนวณจนขุนนางน้อยใหญ่ต่างทึ่งไปตามๆ กัน เรื่องราวความเก่งกาจของพระชายามิได้มีเพียงเหล่าทหารที่รู้ แต่ชาวบ้านทั่วไปต่างเล่าลือกัน “พอเท่านี้ก่อน เจ้าเตะต่อยได้ดีเช่นที่เคยโอ้อวดไว้จริงๆ” เฟยเทียนกล่าวหยุดการประลองในครานี้ “เป็นเช่นนั้นเพคะ” เจียวซินยืดอกอย่างภูมิใจ ถือว่านางพอสู้คนได้ แม้จะเจ็บบ้างแต่ก็ไม่มากมายอันใด รอยฟกซ้ำเป็นเรื่องธรรมดาในตอนที่นางเรียนเทควันโดในโลกก่อน “แต่ท่วงท่าของเจ้าช่างประหลาดเหลือเกิน ไปเล่าเรียนจากที่ใดมาหรือ” คำถามของเฟยเทียนทำให้เหล่าทหารต่างพยักหน้าตาม พวกเขาเองก็อยากรู้เช่นกันเผื่อจะได้ไปเล่าเรียนดูบ้าง “เอ่อ เรียนจาก…จากตำราเพคะ มิได้มีผู้ใดสอนหม่อมฉันศึกษาด้วยตนเอง” เฟยเทียนยังไม่ทันได้เอ่ยถามต่อก็มีทหารคนหนึ่งเข้ามาเรียกเฟยเทียน “ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ รองแม่ทัพซีห่าวส่งจดหมายมาพ่ะย่ะค่ะ” “ท่านพี่…” เจียวซินพึมพำขึ้น “เจ้าจะไปด้วยหรือไม่ ข้ากับห่าวซวนจะไปทำงานสักครู่” เฟยเทียนกล่าวถามเจียวซิน “หม่อมฉันขอเดินเล่นบริเวณนี้สักครู่นะเพคะ แล้วจะตามเข้าไป” “อืม ส่วนพี่ชายเจ้า หากเขาส่งจดหมายถึงเจ้าข้าจะนำมาให้” เฟยเทียนส่งสัญญาณให้องค์รักษ์เงาทั้งสามติดตามเจียวซินอย่างใกล้ชิด “ขอบพระทัยเพคะ” เมื่อเฟยเทียนเดินจากไป ก็มีทหารหนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามา “พระชายา มิได้พบกันเสียนาน พระองค์สบายดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เจียวซินหันมองหน้าทหารหนุ่มคนนั้น “คุณชายสกุลหรงเพคะ เป็นสหายสนิทของคุณชายใหญ่เพคะ” หนิงเออร์ก้าวเข้ามากระซิบข้างหูผู้เป็นนาย “อ่อ คุณชายหรงนั้นเอง ข้าสบายดี ท่านเองก็คงจะสบายดีใช่หรือไม่” เจียวซินเอ่ยถามสหายของพี่ชาย “กระหม่อมสุขเพียงกาย แต่ใจนั้น…” คุณชายหรงมองน้องสาวของเพื่อนสนิทด้วยสายตาเศร้าหมอง “ขอคุณชายระวังคำพูดด้วย” หนิงเออร์ที่รู้ว่าคุณชายหรงต้องการจะสื่อสิ่งใดก็รีบเอ่ยห้ามปรามทันที “เอ่อ เช่นนั้นข้าก็ขอให้ท่านสบายทั้งกายและใจ ข้าขอตัวก่อน” เจียวซินที่เห็นท่าไม่ดีจึงกล่าวตัดและเดินออกมาทันที นางเดินเตร็ดเตร่ดูนั่นนี่ไปทั่ว จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงหลายคนกำลังซุบซิบเรื่องของนางอยู่ “เจ้าเห็นหรือไม่ ข้าว่านางมิได้ความจำหดหายเป็นแน่ เห็นอยู่ว่านางพูดคุยกับนายกองหรงด้วยท่าทางสนิทสนมเพียงใด คงจะเป็นมารยาในการเข้าหาท่านอ๋องมากกว่า ซูหลินเจ้าก็รู้จากพระชายารองอันมิใช่หรือว่าจางเจียวซินผู้นี้มากเล่ห์เพียงใด” “เป็นเช่นนั้นจริงหรือ ข้าคิดว่าเป็นเพียงข่าวลือเสียอีก” ทหารหญิงที่นั่งอยู่ด้วยกล่าวขึ้น “ใช่ พระชายารองอันถึงกลับกล่าวว่านางเคยคิดใช้คุณไสยกับท่านอ๋องเลยทีเดียว” ทหารหญิงที่ชื่อซูหลินเอ่ยตอบ เจียวซินที่ฟังอยู่ถึงกับทนไม่ไหว ก้าวไปหาและยื่นหน้าเข้าไปร่วมวงกับพวกนาง “แล้วชายารองอันได้บอกเจ้าหรือไม่ว่าโทษของการนินทาว่าร้ายสะใภ้หลวงเช่นข้ามีโทษอย่างไร” เหล่าทหารหญิงที่นั่งร่วมวงอยู่ถึงกับผงะแล้วรีบก้มหัวจรดลงพื้นอย่างรวดเร็ว หลายคนถึงกับสั่นงกเงิ่น “ชายารองอันคงมิได้บอก ว่านินทราเชื้อพระวงศ์มีโทษหนัก อย่างน้อยที่สุดคงต้องตัด!! ลิ้นพวกเจ้าไปโยนให้สุนัขกิน” เจียวซินตั้งใจเน้นคำว่าตัดให้ดัง เพื่อข่มขู่พวกนาง เพราะเจียวซินมิได้คิดจะทำจริง อย่างไรเสียเจียวซินคนเก่าก็เคยคิดจะใช้ผงเสน่ห์กับท่านอ๋องจริง “หมะ…หม่อมฉัน หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ ขอพระชายาโปรดอภัย โปรดอภัยด้วยเพคะ” ทหารหญิงต่างก้มหัวจดพื้นแล้วเอ่ยขออภัยมิหยุด “ไปซะ อย่าให้ข้าเห็นหน้าพวกเจ้าอีกเพราะคราหน้าข้าจะเอาลิ้นพวกเจ้าไปให้สุนัขหน้าจวนกิน” เจียวซินยกมือเท้าสะเอวมองทหารหญิงเหล่านั้นวิ่งหายไป หึ!!! นึกว่าจะแน่ “หนิงเออร์ เรื่องผงเสน่ห์มีผู้ใดรู้บ้าง” เจียวซินที่ยังสงสัยว่าชายารองอันรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร จึงเอ่ยถามกับหนิงเออร์ “มีเพียงพระชายา หม่อมฉันและพ่อค้าต่างเมืองคนนั้นเพคะ” นางมั่นใจว่ามิมีผู้ใดรู้มากไปกว่านี้ “แล้วอันอ้ายฉิงรู้ได้อย่างไร…หรือว่า..นางเป็นคนจ้างพ่อค้าผู้นั้นมาหลอกข้า!!!” เจียวซินถึงกับปรี๊ดแตก หนอยยยย กล้ามาหลอกข้าได้ เงินที่ต้องเสียไปหลายร้อยตำลึงทองเป็นเพราะนางสินะ แม่ดอกบัวขาวกลีบเน่า! “แล้วข้าได้ทดลองใช้หรือไม่ ผงเสน่ห์นั้นน่ะ แล้วใช้เมื่อใด” หรือว่าอันอ้ายฉิงต้องการป้ายความผิดฐานเล่นคุณไสยใส่ท่านอ๋องให้กับเจียวซินคนเก่า “ครานั้นพระชายาเพียงบอกหม่อมฉันว่ามันมิได้ผล แล้วปาทิ้งลงสระบัวไปเลยเพคะ หม่อมฉันจึงมิรู้ว่าพระชายานำไปใช้เมื่อใด” หนิงเออร์ตอบความจริงกับผู้เป็นนาย “ช่างเถิด เรากลับไปหาท่านอ๋องเถิด” เจียวซินและหนิงเออร์เดินกลับกระโจมที่ทำงานของเฟยเทียน ด้านเฟยเทียนเมื่อได้รับจดหมายข่าวจากรองแม่ทัพซีห่าวก็ยินดีที่ รองแม่ทัพซีห่าวได้รับชัยในสงครามกับพวกนอกด่านครานี้และจะเดินทางกลับมาวังหลวงในอีกหนึ่งหนาวข้างหน้า ด้วยเหตุที่ว่าต้องช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากสงครามก่อนจะนำทัพกลับมาเมืองหลวง แต่ยินดีได้ไม่นาน รองแม่ทัพซีห่าวก็ได้รายงานเรื่องที่น่าหนักใจไม่น้อย เนื่องจากหน่วยลาดตระเวนของรองแม่ทัพซีห่าวได้ไปพบการซ่องสุมกำลังหลายพันคนบริเวณชายแดนทางเหนือเยื้องไปทางตะวันออก กำลังจะเริ่มแล้วสินะ “ท่านอ๋อง หม่อมฉันเข้าไปได้หรือไม่เพคะ” เสียงเจียวซินทำให้เฟยเทียนหลุดจากภวังค์ “อืม เข้ามาได้…พวกเจ้าออกไปให้หมด” เมื่อเจียวซินเข้ามาเฟยเทียนจึงสั่งให้ทหารและหนิงเออร์ออกไปรอด้านนอก “มีอันใดหรือเพคะ” เจียวซินที่กำลังงุนงงกับคำสั่งของเฟยเทียนเอ่ยถามขึ้น “พี่ชายเจ้าเขียนจดหมายมาถึงเจ้า หากอยากอ่านก็เดินอ้อมมาตรงนี้” เจียวซินที่อยากอ่านจดหมายจากพี่ชายเดินอ้อมไปหาท่านอ๋อง แต่ทว่านางต้องตกใจเมื่อท่านอ๋องรวบตัวนางให้นั่งลงบนตักแกร่ง ตึกตักๆ ตึกตักๆ “อ๊ะ ท่านอ๋อง…ทำอันใดเพคะ ปล่อยหม่อมฉันเถิดเพคะ” “ข้าก็จะให้เจ้าอ่านจดหมายของพี่ชายเจ้าอย่างไร นั่งเช่นนี้จะได้เห็นจัดเจนขึ้น” เฟยเทียนเอ่ยกระซิบข้างหูเจียวซิน เขารอไม่ได้อีกต่อไปแล้ว จากที่คิดว่าจะค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์กับนางไปเรื่อยๆ บัดนี้รองแม่ทัพจางซีห่าวมีกำหนดกลับมาวังหลวงแล้ว หากพี่ชายนางกลับมานางย่อมเอ่ยเรื่องหย่าขาดจากเขาแล้วกลับไปอยู่สกุลเดิมกับพี่ชายเป็นแน่ เฟยเทียนแน่ใจมาสักพักใหญ่ว่าความรู้สึกของตนที่มีต่อชายาเอกผู้นี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาอยากพบหน้านาง อยากรู้เรื่องราวว่านางทำสิ่งใดอยู่ อยากนอนร่วมเตียงกับนางดังเช่นวันนั้น ห่าวซวนบอกกับเขาว่าอาการเช่นนี้เป็นอาการของคนที่กำลังหลงรักใครสักคน ซึ่งคนๆ คือจางเจียวซิน จางเจียวซินคนนี้ คนที่อยู่ในอ้อมแขนเขาตอนนี้ เจ้าเตรียมใจไว้ให้ดีเถิด ต่อจากนี้ข้าจะทำให้เจ้ารักข้าให้จงได้ “หม่อมฉันนำไปอ่านตรงนั้นก็เห็นชัดเพคะ” เจียวซินกล่าวด้วยน้ำเสียงขัดเขิน จะไม่ให้เขินอย่างไรไหวก็ท่านอ๋องเล่นหายใจรดต้นคอนางเช่นนี้ ทั้งยังกอดเอวนางแน่นมิยอมปล่อย “ไม่ รีบอ่าน หากไม่อ่านข้างจะได้เผาทิ้ง มันมีข้อมูลสำคัญอยู่” เฟยเทียนแกล้งเอ่ยเสียงดุเร่งเจียวซิน “หม่อมฉันขออ่านก่อน สักครู่นะเพคะ” เจียวซินรีบอ่านจดหมายที่พี่ชายเขียนถึงนาง ส่วนมากเป็นการบอกความเป็นอยู่ทั่วไป บอกรัก บอกคิดถึง และบอกกำหนดการเดินทางกลับมาเมืองหลวงในอีกหนึ่งหนาวข้างหน้า เจียวซินช่างโชคดีเหลือเกิน ไม่สิเจียวซินคนเก่าช่างโชคดีเหลือเกินที่มีพี่ชายที่รักนางมากถึงเพียงนี้ นึกถึงเรื่องเจียวซินคนเก่า ช่วงนี้นางฝันถึงเจียวซินคนเก่าอยู่หลายครั้ง ในฝันนางมีท่าทีนิ่งเฉย ไม่พูดสิ่งใด เจียวซินฝันเช่นนี้อยู่หลายคืน หรือเจียวซินคนเก่าต้องการจะบอกอะไรงั้นหรือ หรือจะเป็นเรื่องท่านอ๋อง หรือจะคิดว่านางแย่งท่านอ๋องไป หรือว่า… “เป็นอันใดไปงั้นหรือ ไม่สบายหรือเหตุใดใบหน้าซีดเซียวเช่นนี้” เฟยเทียนที่เห็นท่าทีผิดปกติของเจียวซินจึงเอ่ยถาม มือใหญ่ก็แตะสัมผัสใบหน้าของเจียวซินจนทั่ว “มิ มิได้เป็นอันใดเพคะ อาจจะเพราะวันนี้ออกแรงมากเกินไป” เจียวซินค่อยๆ ผละออกจากตักท่านอ๋อง นางมิควรทำผิดต่อจางเจียวซินคนเก่า มิสมควรแม้แต่น้อย “มิเป็นอันใดก็ดีแล้ว เราไปรับหนิงหลงกันเถิด ป่านนี้คงมานั่งรอหน้าตำหนักของเสด็จแม่แล้วกระมัง” “เพคะ หม่อมฉันก็อยากพบองค์ชายน้อยแล้วเช่นกัน” เฟยเทียนยกยิ้มเมื่อเห็นว่าเจียวซินมีท่าดีขึ้น ทั้งสองจึงเดินทางไปรับองค์ชายน้อยที่ตำหนักของฮองเฮาทันที “น้องคิกถึงเจียวซินทูกวัน” องค์ชายตัวน้อยที่นั่งอยู่บนตักเจียวซินในรถม้ากล่าวอย่างอดอ้อนมิหลงเหลือความเย่อหยิ่งดังเช่นพบกันคราแรก “หม่อมฉันก็คิดถึงองค์ชายเพคะ” เจียวซินกดจมูกลงบนแก้มน้อยๆ ทั้งสองข้าง “อยู่แค่เรา พูดทามมะดากะได้” เสียงเล็กเอ่ยบอก “เช่นนั้นให้เจียวซินเรียกว่า อาหลง ดีหรือไม่” “ดี น้องชอบอาหลง” คนตัวเล็กผงกหัวงึกงัก “มิมีผู้ใดสนใจข้าแล้วกระมัง เช่นนี้คงไม่มีคราหน้าแล้ว” เฟยเทียนที่นั่งเงียบไม่มีตัวตนอยู่นาน จึงหาวิธีเรียกร้องความสนใจ “น้องคิกถึงพี่สามเช่นกัน” เด็กรู้ความรีบโน้มตัวเข้าไปจะกอดคอพี่ชายทั้งที่ ยังนั่งอยู่บนตักเจียวซิน จนเฟยเทียนต้องขยับตัวเข้าใกล้ทั้งสองอย่างแนบชิด “แล้วคืนนี้เจ้าจะนอนกับผู้ใด” เฟยเทียนเอ่ยถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว “น้องนอนกับเจียวซิน” หึ มิผิดจากที่เขาคิด เช่นนั้นพี่คนนี้ขอใช้ประโยชน์เจ้าหน่อยเถิด หากเติบใหญ่พี่จะไปทาบทามหญิงที่เจ้าพึงใจให้ “แต่เจ้าเป็นองค์ชาย จะต้องนอนตำหนักใหญ่เท่านั้น คืนนี้เจ้าก็นอนกับข้าแล้วกัน” “ไม่ได้ๆ น้องนอนกับเจียวซิน” องค์ชายน้อยเริ่มเบะปาก “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องไปถามเจียวซินของเจ้าว่านางอยากมานอนกับเราหรือไม่” เฟยเทียนอดชื่นชมความฉลาดของตนมิได้ อย่างไรนางก็ต้องตอบตกลงเป็นแน่ “เอ่อคือ…” เจียวซินหันไปมองตาขวางใส่ท่านอ๋อง นางรู้ดีเชียวว่าท่านอ๋องกำลังใช้องค์ชายน้อยเป็นเครื่องมือ เช่นนี้แล้วนางจะทำอย่างไรเล่า เพียงเท่านี้นางก็เริ่มหวั่นไหวกับท่านอ๋องมากขึ้นทุกวัน หากคืนนี้ได้นอนร่วมเตียงกันอีกคง… “เห็นทีเราคงได้นอนด้วยกันสองคน” เฟยเทียนสอดมือเข้าไปอุ้มองค์ชายน้อยมาแนบอกตีหน้าเศร้าจนองค์ชายน้อยเริ่มน้ำตาคลอคิดว่าเจียวซินจะไม่มานอนด้วยกัน “ฮึก เจียวซิน…” น้ำสีใสจากตาดวงน้อยหยดแหมะลงบนอาภรณ์ผืนงามจน เจียวซินในอ่อนยวบ “นอน นอนสิ เจียวซินต้องนอนกับอาหลงอยู่แล้ว” เรื่องอื่นชั่งมันก่อนเถิด นางมิอยากเห็นอาหลงตัวน้อยต้องร้องให้ “นอนด้วยกันสามคน ทุกทีน้องนอนคนเดียว เหง้า เหงา” คำพูดขององค์ชายหนิงหลงทำเอาเฟยเทียนและเจียวซินรู้สึกโหวงในใจ เด็กน้อยขาดแม่เป็นเช่นนี้นี่เอง แม้ฮองเฮาจะเลี้ยงดูเป็นอย่างดี แต่พระนางก็มีราชกิจที่ต้องปฏิบัติ คงมิได้มีเวลาให้องค์ชายหนิงหลงมากขนาดนั้น “ได้สิ วันนี้เรานอนกันสามคนไม่เหงาอย่างแน่นอน” เจียวซินเอ่ยย้ำให้เด็กน้อยรู้สึกอุ่นใจมากขึ้น
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD