เจียวซินตื่นขึ้นมาตั้งแต่ปลายยามอิ๋นให้หนิงเออร์และนางกำนัลช่วยอาบน้ำและแต่งกายด้วยชุดสีฟ้าอ่อนสดใส แม้จะยังขัดเขินต่อการปรนนิบัติของ หนิงเออร์และนางกำนัล แต่เจียวซินก็พยายามปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมของ ยุคสมัยนี้ จากที่เห็นหนิงเออร์แต่งหน้าทาปากให้วันนั้น วันนี้เจียวซินจึงขอแต่งด้วยตนเอง
“เดี๋ยวข้าจะผัดหน้า ทาปากเอง พวกเจ้าไปช่วยเตรียมเครื่องเสวยที่โรงครัวเถิด”
“พระชายาทำเป็นหรือเพคะ”
“ข้าทำได้ หากไม่เชื่อเจ้าก็อยู่ดูข้า” เสียงใสของเจียวซินกล่าวบอกคนสนิท
“ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าทั้งสองไปอยู่ดูที่โรงครัวก่อน ข้าจะช่วยปรนนิบัติพระชายา” หนิงเออร์กล่าวกับนางกำนัลทั้งสอง ด้านเจียวซินมิได้สนใจมากนัก หยิบจับดูเครื่องสำอางที่วางอยู่บนโต๊ะหน้ากระจกบานใหญ่ อาจจะไม่มีมากเท่าโลกก่อนที่นางอยู่ แต่ก็สามารถนำมาปรับใช้ได้ ส่วนมากจะเป็นแป้งผัดหน้าและชาดทาปากหลากสี ซึ่งล้วนแล้วแต่ทำมาจากพืชสมุนไพรธรรมชาติ เจียวซินเริ่มผัดแป้งสีขาวทั่วไปหน้า ไม่ให้หนาจนเกินไปและดูเป็นธรรมชาติเข้ากับผิวของนาง จากนั้นจึงใช้พู่กันแตะผงคิ้วแล้ววาดไปตามโครงคิ้ว ปรับน้ำหนักมือไม่ให้ลงผงคิ้วหนาหรือบางจนเกินไป เจียวซินจ้องมองสำรวจคิ้วทั้งสองข้าง เมื่อเห็นว่าเข้ากับรูปหน้าและคิ้วทั้งสองเท่ากันแล้ว จึงเริ่มใช้ชาดสีแดงแต่งแต้มตรงเปลือกตา เกลี่ยไล่สีเป็นสีแดงอ่อนๆ ดัดแปลงนำผงคิ้วมา กรีดตา ขั้นตอนนี้ต้องระวังเพราะผงคิ้วนั้นทำมาจากกิ่งต้นหลิวที่นำมาเผาและทำเป็นผงคิ้ว จึงต้องระวังไม่ให้ผงเข้าตา
ก็นะ อยากสวยก็ต้องทนหน่อย ฮิฮิ
ต่อมาใช้ชาดสีแดงแตะแก้มและจมูกเพียงเล็กน้อย ให้ใบหน้าดูแดงระเรื่อ
“อ่า~ คล้ายสาวเกาหลีอยู่นะเนี่ย งดงามๆ”
“งดงามนักเพคะพระชายา” หนิงเออร์มองใบหน้าผู้เป็นนายอย่างตกตะลึง
“ข้าบอกแล้วว่าข้าทำได้ เจ้านำข้าไปโรงครัวเถิด” เจียวซินลุกขึ้นจัดเครื่อง แต่งกายเล็กน้อย หนิงเออร์เห็นดังนั้นจึงนำเจียวซินไปโรงครัวทันที เมื่อถึงโรงครัวเครื่องเสวยก็ถูกเตรียมพร้อมแล้ว
“อาหารน่าทานมาก ขอบใจพวกเจ้าทุกคนมากนะ” เจียวซินเปิดดูอาหาร เห็นแต่ละอย่างหน้าตาน่าทาน จึงกล่าวขอบใจเหล่าพ่อครัวแม่ครัวตามความ เคยชินในโลกก่อนที่มักกล่าวขอบคุณในโอกาสต่างๆ อยู่เสมอ แต่การกล่าวขอบใจเหล่าพ่อครัวแม่ครัวของเจียวซินกลับทำให้พวกเขาตกใจอยู่ไม่น้อย บางคนถึงกับตบหน้าเรียกสติตนเอง แน่สิ! จางเจียวซินคนเดิมมีหรือกล่าวว่า “ขอบใจ” ที่เคยได้ยินคงมีเพียงคำตำหนิเท่านั้น
“ไปกันเถิด ให้ท่านอ๋องรอนานคงไม่ดีสักเท่าไหร่” หลังจากเจียวซินก้าวเดินออกจากโรงครัวตรงไปตำหนักใหญ่ของท่านอ๋องก็มีหลายเสียงดังขึ้น
“ข้าหูเพี้ยนไปแล้วหรือ” หนึ่งในแม่ครัวเอ่ยขึ้น
“นั่นสิเจ้าคะ หรือว่าพระชายากลายเป็นคนความจำหดหายดังที่เขาว่ากัน”
“เปลี่ยนไปมิเหมือนเดิมเลยสักน้อย ทั้งการแต่งกาย การผัดหน้า ทั้งการพูด ดูงดงามขึ้นด้วยนะเจ้าคะ”
“จะเป็นเช่นนี้ได้สักกี่วันมินานคงกลับไปเป็นเช่นเดิม” เสียงดูถูกดูแคลนดังขึ้นจากคนสนิทของพระชายารองของท่านอ๋อง อันอ้ายฉิง
“เอาเถิดๆ เจ้ามารับเครื่องเสวยชายารองอันใช่หรือไม่ มาเอาเถิด” พ่อครัวใหญ่ขัดขึ้น
ด้านเจียวซินหลังจากออกจากโรงครัวก็มาถึงตำหนักใหญ่ในไม่ช้า
“นี่หรือตำหนักของท่านอ๋อง ข้าต้องทำอย่างไรต่อหนิงเออร์”
“พระชายาต้องนำเครื่องเสวยไปให้ท่านอ๋องในห้องโถงก่อน จากนั้นจึงขออยู่ร่วมรับสำรับเช้าด้วยเพคะ”
“อืม ไม่ได้ยาก” กล่าวเสร็จเจียวซินก็มุ่งหน้าไปหาทหารที่เฝ้าอยู่หน้าห้องโถงที่ท่านอ๋องประทับอยู่
“ข้านำเครื่องเสวยมาให้ท่านอ๋อง”
“พ่ะย่ะค่ะ” นายทหารผู้นั้นหายเข้าไปในห้องโถงสักพักก็ออกมา
“ท่านอ๋องทูลเชิญพระชายาให้เข้าไปด้านในพ่ะย่ะค่ะ” เอ่ยเสร็จก็เปิดประตูให้เจียวซินเดินเข้าไป
“ขอบใจเจ้ามาก” เจียวซินเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับหนิงเออร์ที่ยกเครื่องเสวยตามเข้ามา พบกับท่านอ๋องที่นั่งรอเครื่องเสวยอยู่บนโต๊ะกลางห้อง ด้านข้าง มีขันทีวัยกลางคนและองค์รักษ์บืนอยู่ด้วย
“หม่อมฉันนำเครื่องเสวยมาถวายเพคะ และจะขออยู่รับสำรับเช้าด้วยเพคะ” เจียวซินเอ่ยขอตามที่หนิงเออร์แนะนำ
“อืม” เฟยเทียนตอบเพียงเท่านั้น เจียวซินจึงนั่งลงฝั่งตรงข้าม หนิงเออร์ก็วางเครื่องเสวยลงบนโต๊ะ ขันทีจิ้นหนาน ทำหน้าที่ทดสอบพิษด้วยเข็มเงินในอาหารทุกจาน เมื่อแล้วเสร็จจึงก้าวถอยไปอยู่ด้านหลัง เฟยเทียนและเจียวซินรับสำรับเช้าด้วยกันอย่างเงียบๆ จนหมด ทั้งสองวางตะเกียบลงก่อนเจียวซินจะพูดขึ้น
“หม่อมฉันขออยู่พูดคุยกับท่านอ๋องตามลำพังได้หรือไม่เพคะ”
“มีอันใดก็พูดออกมา”
“หม่อมฉันต้องการพูดคุยเรื่องหย่า จึงอยากจะขอพูดคุยกับพระองค์เพียงลำพังเพคะ”
“มากเรื่องเสียจริง พวกเจ้าออกไปให้หมด” เฟยเทียนเอ่ยสั่งให้ผู้อื่นออกไป บัดนี้จึงเหลือเพียงสองสามีภรรยาที่อยู่กันตามลำพัง
“เรื่องหย่า หม่อมฉันคิดว่าเรามาตกลงร่วมกันอีกทีดีหรือไม่เพคะ” เจียวซิน พยายามใช้น้ำเสียงอ่อนหวานราวพูดคุยกับเด็กน้อยเพื่อหว่านล้อมเฟยเทียน
“ไม่” คำเดียว...แต่คำนั่นกลับทำให้เจียวซินหายใจติดขัดขึ้นมาทันที ยังไม่ทันฟังข้อเสนอของนางเลยด้วยซ้ำกลับเอ่ยปฏิเสธเสียงแข็ง
เหอะ เผด็จการเกินไปแล้ว
“คือหม่อมฉันเพียงอยากให้ท่านอ๋องเห็นใจ-” เจียวซินพยายามเอ่ยโน้มน้าว แต่ยังไม่จบประโยคเฟยเทียนกลับพูดแทรกขึ้นมาทันที
“อย่าได้กล่าวอันใดให้มากความ ข้ายืนยันจะยื่นฎีกาขอหย่าขาดกับเจ้า”
“ไม่หย่า ยังไงก็ไม่หย่า” โมโหแล้วนะ!!! เจียวซินกล่าวขึ้นเสียงแข็ง
เหอะ! ขืนหย่าออกไปทั้งที่ทำอะไรไม่เป็นเช่นนี้ มีหวังนางและหนิงเออร์ได้อดตายเป็นแน่
“น่ารำคาญเสียจริง!” ร่างสูงสบถออกมาอย่างเหลืออด สายตายังดูมุ่งมั่นว่าจะหย่าขาดกับเจียวซินให้ได้
“ไม่หย่าได้ไหม...นะเพคะ ขอเพียงสองหนาว ข้าจะหย่าให้ท่าน ระหว่างนี้ ข้าจะมิทำให้ท่านต้องเคืองใจแม้แต่น้อย นะเพคะ” เมื่อดื้อดึงไม่ได้ผล จึงหันมาขอร้องด้วยท่าทีน่าสงสารแสร้งยกมือมาบังใบหน้า ดวงตากลมสั่นไหวเคล้าคลอ ไปด้วยน้ำตา ทำเอาใจคนมองรู้สึกคันยุบยิบขึ้นมาทันใด
“หึ เพียงเท่านั้นจะพอได้อย่างไร ข้าต้องการมากกว่านั้น” เฟยเทียนยังคงดึงดันเพื่อให้ตนได้รับประโยชน์จากข้อตกลงมากที่สุด
“แล้ว…ท่านต้องการสิ่งใด มิใช่ว่าเห็นหม่อมฉันงดงามขึ้นแล้วจะเอาหม่อมฉันไปเป็นนางบำเรอของท่านหรอกนะ” เจียวซินเริ่มหน้าซีด คนช่างจินตนาการเริ่มคิดออกนอกทะเลไปไกลโพ้น
“ห๊ะ?! ฮ่าๆ เจ้าอ่านนิยายประโลมโลกมากไปหรือไม่ ฮ่าๆ” เฟยเทียนหัวเราะจนแทบจะหายใจไม่ทัน นางคิดว่าคนเองอยู่ในนิยายประโลมโลกหรืออย่างไร ช่างเพ้อช่างฝัน ทั้งยังบอกว่าตนเองงดงามอีก มิใช่คนปกติ คนผู้นี้ไม่ปกติเป็นแน่
“ท่านหยุดหัวเราะนะ ข้า- เอ่อ หม่อมฉันเพียงพูดเล่นเท่านั้น หยุดหัวเราะนะ” เจียวซินทำหน้ากระเง้ากระงอด ก็แน่สิ ท่านอ๋องมิมีทาทีจะหยุดหัวเราะแม้แต่น้อย นางอายจนแทบอยากแทรกแผนดินหนี
“ฮึ ฮึ ข้าหยุดแล้วๆ ข้าไม่ได้อยากได้เจ้ามาเป็นนางบำเรออย่างที่เจ้าคิด” เฟยเทียนเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง แต่ไม่วายวกกลับมาแขวะเจียวซินเรื่องนางบำเรอ เจียวซินจึงได้แต่ทำหน้างอเพราะตนเองเป็นคนเผลอพูดไปเอง
“อย่างแรกข้าอยากให้เจ้าเล่าเรื่องราวของเจ้าให้ข้าฟัง สิ่งที่เจ้ารู้เล่ามาให้หมด”
“ข้าจำสิ่งใดไม่ได้เลย สิ่งที่ข้ารู้ตอนนี้เป็นเพียงคำบอกเล่าจากหนิงเออร์ทั้งสิ้น ข้ารู้ว่าท่านพ่อสละชีวิตเพื่อช่วยท่าน ข้าเลยได้รับพระราชทานสมรสให้แต่งกับท่าน ข้าเคยรักท่าน พยายามทำให้ท่านสนใจ หนิงเออร์เล่าว่าบางวิธีก็เป็นวิธีที่ผิดแต่หนิงเออร์ก็ไม่ได้บอกว่าข้าใช้วิธีใด จนท่านทนไม่ไหวเลยจะยื่นฎีกาขอหย่าขาดกับข้า แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่ข้าตกลงไปในสระบัว พอข้ารู้สึกตัวขึ้นมา ข้าก็นอนอยู่ในห้องแล้ว เอ่อ...ขอประทานอภัยที่หม่อมฉันแทนตนเองว่า “ข้า” เพคะ”
“อืม ส่วนวิธีที่คนสนิทของเจ้าพูดถึง คือเจ้าวางยาปลุกกำหนัดข้า” เฟยเทียนฟังเจียวซินเล่าด้วยสีหน้าและแววตาที่ซื้อตรง ก็รู้ทันทีว่าเจียวซินมิได้แกล้งหลงลืม นางไม่รู้เหตุการณ์ก่อนหน้าจริงๆ รวมกับอาการของเจียวซินที่ท่านหมอได้กล่าวกับเขาไว้
“พระชายาคล้ายกลับเป็นอีกคนพ่ะย่ะค่ะ มิใช่ว่าจำชื่อแซ่ตนเองไม่ได้ แต่พระชายาพูดชื่อคนผู้หนึ่งออกมา คล้ายกับคิดว่าตนเองเป็นคนผู้นั้นจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
คล้ายกับคนละคนจริงๆ ไม่เหมือนเดิมแม้แต่น้อย เฟยเทียนได้แต่เก็บความสงสัยนี้ไว้ในใจ
“ห๊ะ?! หม่อมฉันถึงกับวางยาท่านอ๋องเลยหรือเพคะ แล้วเช่นนั้น…เช่นนั้นท่านได้…ได้ทำ-”
“หึ หากเจ้าอยากรู้ว่าข้าได้ร่วมเตียงกับเจ้าหรือไม่ เสียใจด้วย...เจ้ายังไม่ได้ร่วมเตียงกับข้าเพราะข้าไหวตัวทันมิได้ดื่มชาที่เจ้านำมาให้” คำตอบของเฟยเทียนทำให้เจียวซินถึงกับคว่ำปาก
“ใครอยากร่วมเตียงกับท่านกัน ตอนนั้นหม่อมฉันคงแค่หลงผิดเท่านั้น”
“หึ แล้วอย่าได้มาอ้อนวอนร้องขอให้ข้าจุดโคมที่ตำหนักเจ้าแล้วกัน” เฟยเทียนหงุดหงิดขึ้นมาทันใดเพราะคำพูดและท่าทีของเจียวซิน แม้จะมีชายาและอนุมากมายแต่เฟยเทียนก็มิเคยจุดโคมตำหนักใดเลยสักครั้ง ในคืนเข้าหอ ก็เพียงอยู่ข้ามคืนเพื่อเป็นพิธีเท่านั้น เพราะเขารู้ดีว่าแต่ละคนที่แต่งเข้ามานั้น มีจุดประสงค์อย่างไร
“เหอะ มีเท่านี้ใช่หรือไม่ที่ท่านต้องการ”
“ยังมีอีก จากนี้เจ้าจะต้องเล่าให้ข้าฟังทุกเรื่อง และข้าจะให้องค์รักษ์เงาของข้าติดตามเจ้า เพื่อป้องกันมิให้เจ้าแพร่งพรายเรื่องภายในจวนอ๋องให้ผู้ใดรู้” เหตุผล ที่พูดไปเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของเหตุผลที่แท้จริง แท้จริงแล้วเฟยเทียนต้องการรู้ทุกการกระทำของเจียวซินและต้องการปกป้องเจียวซิน ขึ้นชื่อว่าเป็นพระชายาพระราชทานย่อมมีผู้หมายปอง ฉกฉวยเอาผลประโยชน์จากนางเป็นแน่ เลวร้ายที่สุดคนเหล่านั้นอาจจ้องการฉกฉวยเอาลมหายใจนางไปก็เป็นได้
“คนติดตามหรือ…” ในหัวของเจียวซินกำลังคิดอย่างหนัก เรื่องที่นางต้องบอกท่านอ๋องทุกเรื่อง ก็อาจจะเป็นเรื่องดี เพราะนางเองมิค่อยรู้เรื่องราวในโลกนี้มากนัก หากได้คำปรึกษาจากท่านอ๋องคงดีไม่น้อย อีกอย่างความรู้สึกลึกๆ ของนางบอกว่านางไว้ใจท่านอ๋องได้ อีกทั้งการที่ท่านพ่อและพี่ชายที่รักนางมากฝากฝังท่านอ๋องให้ดูแลนาง แสดงว่าท่านอ๋องผู้นี้ได้รับความไว้วางใจจากท่านพ่อและพี่ชายของนางไม่น้อย ส่วนในเรื่องให้คนติดตาม…ก็มิได้มีอันใดเสียหายเช่นกัน ยามเกิดเรื่องมิคาดฝันขึ้นคนพวกนั่นอาจช่วยเหลือนางได้ คิดอยู่สักพักเขียวซิน ก็ตัดสินใจได้
“หม่อมฉันยินดีให้คนของท่านอ๋องติดตามเพคะ แต่หม่อมฉันขอทำความรู้จักกับคนผู้นั่นก่อนได้หรือไม่ อีกอย่างท่านต้องให้พวกเขาปกป้องข้ายามมีภัยด้วย”
“ได้! ตามที่เจ้าต้องการ แล้วเรื่องที่เจ้าจะบอกข้าทุกสิ่งเล่า”
“ย่อมได้เพคะ หากหม่อมฉันคิดหรือพบเจอสิ่งใด จะนำมาปรึกษาท่านอ๋องก่อน แต่หากท่านอ๋องยินดีจะเล่าความคิดของท่านบ้าง ข้าก็ยินดีรับฟังและคงเป็นเกียรติต่อหม่อมฉันมิน้อยเพคะ” เจียวซินพยายามพูดให้ท่านอ๋องยอมเล่าเรื่องของตนเองออกมาบ้าง ในโลกก่อนนางใช้คำพูดเช่นนี้กันเด็กๆ บ่อย คำพูดเช่นนี้จะทำให้เด็กรู้สึกว่ามีคนอยากรับฟังสิ่งที่เขาคิดและพร้อมจะช่วยเหลือพวกเขา
“อืม ข้าคิดดูว่าเมื่อใดเจ้าควรได้รับเกียรตินั้น”
เจียวซินยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำตอบ นั่นแสดงว่าท่านอ๋องมิได้มีท่าทีปิดกั้น เพียงแต่ต้องรอเวลาเท่านั้น
ช่างเหมือนเด็กเสียจริง
“หม่อมฉันจะรอเพคะ” เฟยเทียเมื่อได้ยินคำตอบที่พึงใจก็ยกยิ้มมุมปาก อารมณ์ดีขึ้นมาทันตา เขาชอบที่นางโอนอ่อนให้เขา มิเหมือนเมื่อก่อนที่มักจะแสดงกิริยาหยิ่งยะโส ผู้คนภายนอกต่างเล่าลือกันว่าจางเจียวซินนั้นหลงรักเฟยเทียนยอมตามเอาอกเอาใจ แต่สำหรับเฟยเทียนกลับเห็นว่าสายตาที่จางเจียวซิน มองเขานั้นไม่เหมือนคนที่แอบรักเลยสักนิด ออกจะดูเหมือนรำคาญเสียด้วยซ้ำ แต่ก็ช่างเถิด ยังไงตอนนี้นางก็ไม่ได้มีแววตาเช่นนั้นแล้ว แถมยังดูว่าง่ายขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย
ด้านเจียวซินเมื่อเห็นท่าทีของท่านอ๋องถึงกับส่ายหัว เด็กเอาแต่ใจ ชอบให้ผู้อื่นตามใจสินะ เด็กประเภทนี้หากใช้วิธีการบังคับจะยิ่งไม่ยอมทำตาม ต้องยอมโอนอ่อนให้ใช้วิธีการกล่อม ขอร้อง หรือให้รางวัล ท่านอ๋องเองก็เหมือนจะเป็นเช่นนั้นเห็นได้จากเมื่อนางขึ้นเสียงว่าจะไม่ยอมหย่าอารมณ์ของท่านอ๋อง ยิ่งรุนแรงขึ้น แต่พอนางขอร้อง ยื่นข้อเสนอ ท่านอ๋องกลับยอมเอ่ยสิ่งที่ต้องการออกมาง่ายๆ
“เท่านี้ใช่ไหมที่เจ้าจะพูด ข้าจะออกไปกองทัพเสียหน่อย”
“ไปด้วยได้หรือไม่เพคะ” เจียวซินเมื่อได้ยินว่าท่านอ๋องจะออกไปเยี่ยมชมกองทัพ จึงอยากออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง
“เจ้าจะไปทำไมกัน ไปก็ขวางที่ขวางทางให้ผู้อื่นทำงานมิสะดวก” ปากร้ายนัก เจียวซินได้แต่ทำหน้างอ
“หม่อมฉันให้สัญญาว่าจะไม่เกะกะขวางทางผู้ใดเพคะ” เจียวซินยังดื้อดึงจะไปด้วยให้ได้ สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“วันนี้ข้ามีงานต้องทำ เป็นความลับของกองทัพให้เจ้าไปด้วยมิได้”
“เพคะ” ได้ยินดังนั้นตากลมของเจียวซินก็เศร้าหมองลงทันใด ชวนให้ใจคนมองกระตุกมิน้อย
“แต่…อีกสองวันข้าจะไปดูการซ้อม อาจจะพาเจ้าไปด้วยได้” ได้ยินดังนั้น สีหน้าของเจียวซินก็กลับมาสดใสทันที
หึ อารมณ์และสีหน้าเปลี่ยนไวดังละครเปี้ยนเหลี่ยน (การแสดงเปลี่ยนหน้าของจีน)
“หม่อมฉันจะไม่ทำให้ท่านอ๋องวุ่นวายแม้แต่น้อยเพคะ” เฟยเทียนยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น
“อืม” เขากล่าวตอบเพียงเท่านั้นก็ลุกขึ้นก้าวเดินออกไปจากห้องโถง เจียวซินเห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นเดิมตามไป
“เจ้าจะไปที่ใด” เฟยเทียนเห็นเจียวซินเดินตามจึงหันกลับไปถาม
“หม่อมฉันจะไปส่งท่านอ๋องที่หน้าจวนอย่างไรเพคะ หม่อมฉันกำลังทำหน้าที่ของภรรยาที่ดีอยู่” เจียวซินพูดอย่างอารมณ์ดี แท้จริงแล้วนางเพียงอยากสำรวจบริเวณหน้าจวนอ๋องดูบ้างก็เท่านั้น
“หึ ดี หากเจ้าประพฤติตนดีเช่นนี้ ข้าจะลองทบทวนเรื่องร่วมเตียงกับเจ้าอีกที” เฟยเทียนกระซิบข้างหูเจียวซินเสียงเบาให้ได้ยินเพียงสองคน
“หม่อมฉันมิได้อยากร่วมเตียงกับท่านเสียหน่อย” เจียวซินกัดฟัดกรอด ทำท่าเหมือนลูกแมวกำลังโมโห
“หม่อมฉันไม่ไปส่งท่านแล้ว หนิงเออร์! กลับ!” เจียวซินสบัดหน้าเดินกลับไปยังตำหนักของตนเองอย่างรวดเร็ว ทำเอาคนสนิทและนางกำนัลต้องเร่งรีบตามไป
“ห่าวซวนเจ้าคิดว่าอย่างไร” คล้อยหลังเจียวซิน เฟยเทียนเอ่ยถามองค์รักษ์ข้างกายทันที
“ไม่เหมือนเดิมแม้แต่น้อยพ่ะย่ะค่ะ ทั้งกิริยาและแววตา”
“อืม เลือกคนที่ไว้ใจได้สักสามคนให้ติดตามดูแลนาง ผู้มิหวังดีอาจคิดฉวยโอกาสตอนนางจำสิ่งใดไม่ได้เช่นนี้”
“พ่ะย่ะค่ะ” ว่าแล้วเฟยเทียนและห่าวซวนก็โดดขึ้นหลังม้าตรงไปกองทัพทันที