“ท่านอ๋องหม่อมฉันจะขอกลับไปพักก่อนนะเพคะ เดินทางมาทั้งวันเหนื่อยล้าเหลือเกิน” เจียวซินแสร้งทำท่าปวดเมื่อย
“เช่นนั้นข้าจะกลับพร้อมเจ้า”
“มิเป็นไรเพคะ ท่านอ๋องอยู่พูดคุยกับเหล่าขุนนางเถิดเพคะมิต้องเป็นห่วงหม่อมฉัน” เจียวซินเอ่ยปฏิเสธท่านอ๋อง หากท่านอ๋องกลับพร้อมนาง นางคงมิมีโอกาสได้ดัดหลังคุณหนูเถียนเป็นแน่
“อืม เช่นนั้นเจ้ากลับไปพักเถิด สักครู่ข้าจะตามไป” เฟยเทียนที่คุยเรื่องปัญหาความทุกข์ยากของราษฎรยังมิแล้วเสร็จจึงจำใจปล่อยให้เจียวซินกลับไปพักผ่อนก่อน
“เช่นนั้นกระหม่อมจะให้บ่าวนำทางให้พ่ะย่ะค่ะ” ท่านเจ้าเมืองเอ่ยเสนอแก่พระชายา
“มิรบกวนท่านเจ้าเมือง คนของข้ารู้เส้นทางไปห้องรับรองอยู่แล้ว” เจียวซินรีบปฏิเสธเพราะที่ที่นางจะไปหาใช่ห้องรับรองไม่ แต่เป็นห้องนอนของคุณหนู เถียนต่างหากเล่า
“ห้องนี้แน่หรือ” เจียวซินซุ่มอยู่แถวพุ่มไม้ข้างหลังห้องนอนของคุณหนูเถียน ดูจากบรรยากาศโดยรอบของเรือนคุณหนูเถียนแล้ว รู้ได้ทันทีว่านางคงเป็นบุตรสาวคนโปรดของท่านเจ้าเมืองเป็นแน่ รอบเรือนมีคลองน้ำล้อมรอบ ประดับด้วยดอกบัว และดอกไม้นาๆ ชนิดปลูกเรียงรายอย่างงดงาม
“ที่นี่แน่เพคะ หม่อมฉันมั่นใจ” ซวนซวนที่ไปสอบถามจากบ่าวในจวนแห่งนี้มาหลายคนจนได้คำตอบที่แน่ชัดว่าเรือนนี้เป็นของคุณหนูเถียน
“เช่นนั้นเราก็ซุ่มรออยู่ตรงนี้ หากข้าได้ตัวท่านอ๋องมาแล้วให้พวกเจ้าทำตามแผนได้เลย เข้าใจหรือไม่ไป่ฮวา ชีวิตของท่านอ๋องขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” เจียวซิน ชูกำปั้นหวังให้กำลังใจองค์รักษ์เงาของตน แผนการครานี้ นอกจากเจียวซินจะ ขอความร่วมมือจากคนสนิททั้งสามแล้ว นางยังขอให้ไป่ฮวามาช่วยอีกด้วย
“ท่านอ๋องจะกลับไปพักผ่อนแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม พรุ่งนี้ข้าต้องเดินทางแต่เช้า อีกอย่างข้าทิ้งชายาข้านอนเหงาคนเดียวนานเกินไปแล้ว” เฟยเทียนเอ่ยหยอกกับเหล่าขุนนางและท่านเจ้าเมืองทำเอาทุกคนถึงกับหัวเราะออกมา
“เช่นนั้นกระหม่อมจะให้บ่าวนำทางท่านอ๋องไปห้องรับรองพ่ะย่ะค่ะ”
“รบกวนท่านแล้ว ท่านเจ้าเมือง” เฟยเทียนเดินตามบ่าวรับใช้มาจนถึงเรือนที่ประดับไปด้วยดอกไม้นาๆ ชนิด ดูงดงามมิน้อย เฟยเทียนค่อนข้างจะพอใจกับการต้อนรับและการดูแลของท่านเจ้าเมืองฟู่หยู่
เจียวซินคงจะชมชอบเป็นแน่
“ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอบใจเจ้ามาก เจ้ากลับไปเถิด จากนี้ข้าจะเดินต่อเอง” เฟยเทียนเดินเข้าไปในตัวเรือนก็คิดเอะใจขึ้นมาว่าเหตุใดพวกนางกำนัลมิได้เฝ้าอยู่หน้าเรือน
หรือจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น!!
เฟยเทียนเริ่มร้อนใจขึ้นรีบสาวเท้าหมายจะเข้าไปในเรือนโดยเร็ว แต่แล้วก็มีมือมาดึงรั้งแขนของเขาเอาไว้ ทั้งยังปิดปากเขาไว้ด้วย เฟยเทียนรีบหันไปมอง แต่ปรากฏว่าเป็นชายาของตนเอง
“ชู่วๆ ตามหม่อมฉันมาเพคะ” เจียวซินเอ่ยด้วยเสียงเบา จับจูงมือท่านอ๋องลัดเลาะไปตามทางจนมาถึงด้านหลังห้องนอนของคุณหนูเถียน
“เฮ้ย!!!” เฟยเทียนอุทานขึ้นด้วยความตกใจ ตรงหน้าของเขาปรากฏเป็นคนสวมชุดขาว ทั้งยังมีรอยเปรอะเปื้อนสีแดงฉานคล้ายรอยเลือด ใบหน้าซีดเซียวมีเลือดไหลออกจากดวงตาทั้งสอง ผมเผ้าที่ยาวเฟื้อยส่งเสริมให้ดูน่ากลัวยิ่งขึ้นไปอีก
ผีสางอย่างนั้นหรือ เข่นฆ่าผู้คนมานับไม่ถ้วนพึ่งจะเคยเจอผีสางก็ครานี้ ลองไปจับดูจะได้ไหมนะ!?
“ชู่วๆ เบาๆ เพคะ แล้วไม่ต้องตกใจ นั่นคือไป่ฮวาเพคะ” เจียวซินใช้มือปิดปากท่านอ๋องไว้แทบไม่ทัน
“เล่นซนอะไรกันหรือ หืม” เฟยเทียนเอ่ยถามชายาอย่างอ่อนใจ เขาละคิดเป็นห่วงกลัวว่าจะเกิดเหตุร้ายกับนาง แต่ดูเอาเถิดมาเล่นซนกันอยู่ตรงนี้
“มาช่วยให้ท่านอ๋องมิต้องมีอนุเพิ่มต่างหากเล่า เรื่องเป็นเช่นนี้เพคะ…” เจียวซินเอ่ยเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เฟยเทียนฟังจนหมด รวมถึงแผนการที่จะจัดการกับคุณหนูเถียนด้วย
“เรื่องราวเป็นมาเช่นนี้หรอกหรือ”
“เพคะ ทำดีแต่กลับถูกดุเช่นนี้น่าน้อยใจเสียจริง” เจียวซินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงงอนๆ
“ขอข้าไถ่โทษได้หรือไม่เล่า หืม” ไม่พูดเปล่า ร่างหนาซุกซบใบหน้าเข้ากับไหล่ของเจียวซินอย่างออดอ้อน จนข้ารับใช้ต้องรีบเบนหน้าหนีมองไปทางอื่น
“เช่นนั้นท่านอ๋องต้องช่วยพวกหม่อมฉันแสดงงิ้วเสียหน่อยแล้วเพคะ” เมื่อเจียวซินได้อธิบายแผนการให้กับเฟยเทียนฟังจนหมดก็ให้ไป่ฮวาแอบเข้าไปในห้องนอนของคุณหนูเถียนทันที
“เจ้าอย่าลืมปิดตาด้วยนะไป่ฮวา หากเจ้าถูกจับแต่งงานกับนางอย่าหาว่าข้า ไม่เตือน คิกๆ”
“กระหม่อมจะปิดให้มิดเลยพ่ะย่ะค่ะ” ไป่ฮวาตอบกลับอย่างจริงจังจนน่าขบขัน เจียวซินค่อนข้างเอ็นดูไป่ฮวามากกว่าผู้อื่น อาจเพราะลักษณะนิสัยที่ชอบออดอ้อน งอแง รวมกับหน้าตาที่ขาวใสจิ้มลิ้ม ทำให้ไป่ฮวาดูไม่เหมือนองค์รักษ์แม้แต่น้อย
“หึ อยากได้สามีนักหรือ ลองให้นางเปลือยกายต่อหน้าชายหญิงนับสิบคนดูทีเถิดว่าจะเป็นเช่นระ…” พูดยังไม่ทันจบเจียวซินก็หยุดชะงัก การทำเช่นนี้มิใช่เป็นการตัดอนาคตของเด็กคนหนึ่งเลยหรือ นางพึ่งจะสิบห้าหนาวหากเทียบกับนักเรียนที่เจียวซินสอนคงจะอยู่แค่ ม.3 เช่นนี้มันจะมิใจร้ายกับนางเกินไปหรือ
“เอ่อ…ไป่ฮวา หากนางเปลือยกายจริง จังหวะที่นางเผลอเอาเสื้อคลุมให้นางเสียหน่อยแล้วกันนะ” เจียวซินที่แม้จะโมโหคุณหนูเถียนที่ตั้งใจคิดแผนแต่งเข้าจวนอ๋อง แต่ยังไม่อาจตัดใจทำร้ายนางให้อับอายถึงเพียงนั้นได้
“เจ้าใจอ่อนเกินไปแล้ว” เฟยเทียนเอ่ยบอกเจียวซิน
“นางยังเด็ก ความคิดพวกนี้คงมิพ้นการสั่งสอนจากผู้เป็นบิดา มารดา ครานี้จึงทำเพียงตักเตือนเท่านั้น”
ไป่ฮวาที่แอบเข้าไปในห้องนอนของคุณหนูเถียนได้สำเร็จจึงส่งสัญญาณ ให้ท่านอ๋องและพระชายา ด้านเจียวซินสั่งให้ซีซีไปนำไม้มาขัดประตูเอาไว้ และให้ซวนซวนดูต้นทางหากท่านเจ้าเมืองมาก็ให้รีบส่งสัญญาณให้ซีซีนำไม้ออกจากประตูทันที ด้านหนิงเออร์รับหน้าที่จุดไฟให้ควันลอดเข้าไปในห้องนอนเพื่อเพิ่มความน่ากลัว?
ก็นางเห็นในละครอยู่บ่อยครั้งว่าผีมันชอบมากับควัน คิกๆ
“กรี๊ดดดดด ออกไปนะ ออกไป ฮื่ออออ” เสียงกรีดร้องของคุณหนูเถียนดังลั่นเช่นนี้ ไป่ฮวาคงเริ่มแผนการแล้วเป็นแน่
“เจ้าจะแย่งท่านอ๋องของข้า ข้าจะฆ่าเจ้า” ไป่ฮวาพูดตามสิ่งที่เจียวซินสั่ง มิมีผิดเพี้ยน! ใบหน้าขาวที่แปดเปื้อนไปด้วยเลือด? พยายามเปิกตาให้ตาโปนออกมา ริมฝีปากแดงก็พูดแต่ประโยคเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ช่วยข้าด้วย ฮื่อออออ อย่าฆ่าข้าเลย ข้าไม่เอาไม่เอาท่านอ๋องแล้ว ฮื่อออออ” เถียนซูซูที่หมายจะเปลือยกายรอท่านอ๋องแต่กลับพบเข้ากับวิญญาณอาฆาตตามมาหลอกหลอนนาง เถียนซูซูวิ่งไปหมายจะเปิดประตูแต่เปิดเท่าใดก็เปิด ไม่ออก
นี่ต้องเป็นเพราะแรงอาฆาตของวิญญาณตรงหน้านางตอนนี้เป็นแน่ ที่ไม่ยอมปล่อยนางออกไป
“เจ้าจะแย่งท่านอ๋องของข้า ข้าจะฆ่าเจ้า” ไม่พูดเปล่าไป่ฮวายังยื่นมือทำท่าคล้ายจะบีบคอนาง
“ปล่อยข้าไปเถิด ฮืออออ ข้า ข้าจะไม่เฉียดกายไปใกล้ท่านอ๋องอีก ข้าให้คำมั่น ข้าให้คำมั่น!”
“มิใช่เพียงท่านอ๋อง หากเจ้ายังใช้แผนชั่วร้ายนี่อีกข้าจะมาหักคอเจ้า ข้าจะมาหักคอเจ้า” ไป่ฮวาดัดเสียงให้ดูน่ากลัว ทำท่าทางจะเข้าไปบีบคอคุณหนูเถียน แต่จะเข้าใกล้ไปกว่านี้ก็มิได้
เฮ้ออออ ระคายตาข้าเสียจริง
“ข้าไม่เอา ไม่ทำเช่นนี้อีกแล้ว ปล่อยข้าไปเถิด ไว้ชีวิตข้าสักครั้งเถิด ฮึก ฮื่อออ อย่าเข้ามา อย่าเข้ามา!!” คุณหนูเถียนพยายามดึงดันประตูอยู่นาน ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก!! ไป่ฮวาเมื่อเห็นว่าคุณหนูเถียนกำลังจะออกไปนอกเรือนก็ตวัดเสื้อนอกคลุมกายนางไว้
แม้ว่าจะปิดไม่มิดทั้งหมดก็เถอะนะ
ด้านเถียนซูซูที่หลุดออกจากห้องมาได้ก็รีบวิ่งออกมาทันที เมื่อเห็นผู้เป็นบิดาและผู้คนมากมายก็รีบวิ่งเข้าหาทันทีจนมิสนใจว่าเสื้อคลุมที่ปกปิดร่างกายของตนนั้นเกี่ยวกับกิ่งของดอกไม้หน้าเรือนของตน
“ฮื่อออ ท่านพ่อ ช่วยข้าทีๆ” คุณหนูเถียนพูดพลางกอดรัดผู้เป็นบิดา
“ว๊ายยย คุณหนู” บ่าวของคุณหนูเถียนเห็นนายเปลือยกายวิ่งออกมาจากเรือนก็ตกใจ รีบถอดเสื้อนอกของตนคลุมกายให้คุณหนูทันที เหล่าขุนนางและบ่าวชายต่างก็รีบหันหน้าหนีโดยเร็วเพราะมิอยากให้นางต้องเสื่อมเสีย จะมีก็แต่พวกขุนนางเฒ่าจอมตัณหาที่ยังจดจ้องเรือนร่างของสาววัยแรกแย้มตาเป็นมัน
ด้านท่านเจ้าเมืองงุงงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น้อย ตามแผนการที่วางไว้คือเขาจะเป็นผู้ไปเปิดประตูแล้วพบว่าท่านอ๋องกับบุตรสาวของเขาอยู่ในห้องด้วยกันมิใช่หรือ แต่นี่มันอันใดกัน
“ซูซู เกิดอันใดขึ้นลูก…เอ่อ…เป็น เป็นท่านอ๋องใช่หรือไม่ ท่านอ๋องคิดจะย่ำยีลูกใช่หรือไม่” เมื่อมิได้เป็นไปตามแผนท่านเจ้าเมืองเลยกล่าวโทษท่านอ๋องให้เหล่าขุนนางหลายคนที่ตามมาด้วยได้ยิน ขุนนางหลายคนต่างคิดไปต่างๆ นาๆ จากสภาพที่เปลือยเปล่าของคุณหนูเถียนแล้ว อาจจะจริงดังท่านเจ้าเมืองว่าก็เป็นได้
“ข้าย่ำยีผู้ใดงั้นหรือ” เสียงของเฟยเทียนดังขึ้นด้านหลังกลุ่มขุนนาง ท่านเจ้าเมืองถึงกับหน้าซีด เฟยเทียนที่ประคองเจียวซินอยู่แสร้งว่างุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ท่านพ่อ ข้าไม่ทำแล้วๆ ข้าไม่อยากแต่เข้าจวนอ๋องแล้ว ข้าไม่ทำตามแผนการนั่นแล้ว ฮื่ออออ” คุณหนูเถียนหลุดพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นกลัว
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร! แผนการอันใดของเจ้า!!!” เฟยเทียนพูดขึ้นมาเสียงดังจนท่านเจ้าเมืองและเหล่าขุนนางสั่นกลัวถึงกับเข่าอ่อนรีบก้มตัวคำนับลงกับพื้น
“ข้าไม่อยากแต่งเข้าจวนอ๋องแล้วท่านพ่อ ฮื่ออ ข้า ข้าเปลือยกายรอท่านอ๋องตามที่ท่านบอก แต่ แต่กลับมี มีวิญญาณร้ายจะมาฆ่าข้า ข้ากลัว มันมีเลือดเต็มตัวเลยท่านพ่อ ข้าไม่เอาแล้ว ฮึก ฮือออ” คำสารภาพของคุณหนูเถียนทำให้ทุกคนตกใจไม่น้อยที่ท่านเจ้าเมืองคิดใช้เล่ห์เหลี่ยมเช่นนี้กับท่านอ๋อง
“เจ้าบังอาจ บังอาจเกินไปแล้ว หากข้าไม่พบกับชายาข้าที่มาเดินเล่น ข้าคงตกหลุมพรางของพวกเจ้าไปแล้ว ทหาร!!! เอาดาบมาให้ข้า”
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ เว้นโทษตายกระหม่อมด้วยเถิด เว้นโทษตายกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ท่านเจ้าเมืองโขกศีรษะลงกับพื้นครั้งแล้วครั้งเล่าจนเลือดอาบหน้า
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันอยากพักแล้วเพคะ เรื่องอื่นค่อยให้เหล่าทหารมาจัดการพรุ่งนี้เถิดเพคะ” เจียวซินทำเสียงอ่อนเสียงหวาน ฝ่ามือเล็กลูบต้นแขนใหญ่ของสวามีให้ใจเย็นลง
“เจ้าง่วงแล้วหรือ เช่นนั้นนั้นเราไปพักกันเถิด…ส่วนเจ้า ข้าจะให้คนมาจัดการวันพรุ่งนี้”
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง ขอบพระทัยพระชายาพ่ะย่ะค่ะ” ท่านเจ้าเมืองรีบคำนับคนสูงศักดิ์ทั้งสอง เมื่อครู่หากเขามิได้พระชายา ท่านอ๋องคงบั่นคอเขาเป็นแน่
“คิกๆ ฮ่าๆ สะใจเสียจริง คุณหนูเถียนเสียขวัญถึงเพียงนั้นคงต้องตบรางวัลให้ไป่ฮวาเสียแล้ว” เจียวซินเมื่อเดินมาถึงห้องรับรองแล้วก็เอาแต่หัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว
“แล้วข้าเล่ามิมีรางวัลบ้างหรือ ข้าเองก็พูดตามที่เจ้าสั่งทุกประการ” เฟยเทียนรวบตัวเจียวซินเข้ามานั่งบนตักแกร่ง
“รางวัลอันใดเพคะ หากหม่อมฉันมิรู้แผนการนี้ท่านอ๋องคงได้รับอนุเพิ่มเป็นแน่ หม่อมฉันต่างหากที่ต้องได้รับรางวัล” เจียวซินที่อยู่ในอ้อมกอดแกร่งเอ่ยท้วงขึ้น
“หึๆ เช่นนั้นพี่ให้รางวัลซินซินของพี่ดีหรือไม่ หืม” เฟยเทียนกดปากลงบนแก้มนิ่มทั้งสองของเจียวซิน
“อื้อออ หม่อมฉันไม่อยากได้แล้วเพคะ” เจียวซินรีบหนีจากอ้อมกอดของเฟยเทียนไปซุกตัวในผ้าห่มทันที นางยังมิอยากให้มีสิ่งใดเกินเลยไปมากกว่านี้ มิใช่ว่านางไม่อยากลึกซึ้งกับท่านอ๋อง แต่ว่า…นางยังมิพร้อม นางยังต้องฝึกสิ่งที่เสด็จแม่สอนอีกมาก
“หึๆ” เฟยเทียนมิได้กล่าวอันใด เพียงล้มตัวลงกอดเจียวซินและเข้าสู่ห้วงนิทราไปพร้อมกัน
เช้าวันรุ่งขึ้นขบวนของท่านอ๋องกำลังเคลื่อนออกจากเมืองฟู่หยู่ ด้านท่านเจ้าเมืองโดนตรวจสอบการทำงานเสียยกใหญ่จนพบการคดโกงมากมาย ท่านเจ้าเมืองจึงถูกปลด และยืดทรัพย์เข้าคลังหลวงจนหมด ส่วนคุณหนูเถียนก็ต้องอับอายจนออกนอกจวนมิได้ด้วยเหตุที่เหล่าขุนนางปากสว่างนำความไปป่าวประกาศจนทั่วทั้งเมืองว่าคุณหนูเถียนจงใจเปลือยกายต่อหน้าท่านอ๋องแต่ผิดพลาดจึงได้เปลือยกายต่อหน้าคนนับสิบ
“นายกองหรงเจ้าประจำการอยู่ที่เมืองฟู่หยู่นี่เถิด เมืองนี้เป็นเมืองใหญ่ผู้คนพลุกพล่านคงต้องใช้ความสามารถในการหลบซ่อนตัวของเจ้าไม่น้อย อย่างไรก็ฝากเจ้าด้วย” เฟยเทียนพูดสั่งโดยมิได้ถามความเห็นของผู้อื่นแม้แต่น้อย แต่จะให้ทำอย่างไรหากนายกองหรงยังร่วมเดินทางไปหัวเมืองทางใต้ด้วยมีหวังเขาได้ตามหึงหวงเจียวซินไม่หยุดเป็นแน่
“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง”
“ออกเดินทางได้!” สิ้นเสียงขบวนจึงได้เริ่มออกเดินทางลงใต้ต่อไป
.
.
“ขบวนเดินทางของท่านอ๋องสามออกไปไกลจากเมืองหลวงมากแล้วขอรับนายท่าน”
“อืม บอกกำลังพลทางเหนือของเราให้เริ่มเคลื่อนพลเข้ามาใกล้เมืองหลวงที่สุด ช่วงที่เฟยเทียนไม่อยู่เมืองหลวงเช่นนี้หูตามันคงมิว่องไวมากนัก”
“แต่การเคลื่อนพลคงใช้เวลานานนับปีนะขอรับ หากเราต้องต้องหลบซ่อนอยู่เช่นนี้”
“เราทำได้เพียงเท่านี้ ข้ามิอยากให้ใครรู้ถึงการมีอยู่ของกองกำลังของเรา ค่อยๆ เคลื่อนพลมาอย่าให้เป็นที่ผิดสังเกต แล้วอีกสิบวันข้างหน้าเรียกชุมนุมพรรคพวกเราทั้งหมด”
“ขอรับ นายท่าน” ชายหนุ่มคำนับผู้เป็นนายแล้วเดินจากไปทันที
ร่างสูงมองไปยังรูปวาดขององค์จักรพรรดิผู้สูงศักดิ์ ใบหน้าคมแสยะยิ้มออกอย่างน่ากลัว
“รอก่อนเถิด ข้าจะทำให้ท่านมองเห็นข้าอยู่ในสายตา มินาน รออีกมินาน”
.
.
.
ขบวนเดินทางของเฟยเทียนรอนแรมมานับเดือนสุดท้ายก็มาถึงหัวเมืองทางใต้ เมืองหยวนซู่ เป็นเมืองที่มีโรคระบาดเกิดขึ้น เดิมทีเมือหยวนซู่ถือเป็นเมืองที่มั่งคั่งเมืองหนึ่ง เนื่องจากว่าเป็นเมืองที่มีแม่น้ำหลายสายตัดผ่านทำให้การเกษตรและการค้าขายทางเรือเจริญกว่าเมืองอื่นๆ แต่บัดนี้เมืองที่เคยครึกครื้นกลับเงียบสงัด ดังเมืองร้างไม่มีผู้คนอยู่ อาจเป็นเพราะผู้คนในเมืองหวาดกลัวกับโรคระบาด ที่เกิดขึ้นจึงมิมีผู้ใดอยากออกมาจากบ้าน จึงมีเพียงครอบครัวท่านเจ้าเมืองเท่านั้นที่ออกมาต้อนรับขบวนเดินทางของท่านอ๋องสาม
“ท่านอ๋อง พระชายา” ครอบครัวท่านเจ้าเมืองต่างก้มคำนับต่อผู้สูงศักดิ์
“มิต้องมากพิธี เมืองนี้มีที่ว่างพอจะให้คนของข้าตั้งกระโจมได้หรือไม่”
“มีลานพิธีที่อยู่ท้ายหมู่บ้านพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นรีบนำทางให้ข้าที”
ท่านเจ้าเมืองรีบนำขบวนเดินทางไปที่ลานพิธีของหมู่บ้าน เมื่อมาถึงทหารทุกคนต่างช่วยกันตั้งกระโจมที่พักให้เพียงพอต่อทุกคน ทั้งยังมีการตั้งกระโจมสำหรับท่านหมอและกระโจมของคนไข้ ต่างคนต่างช่วยกันทำงานคนละไม้ละมือเพื่อให้เสร็จสิ้นก่อนฟ้าจะมืด
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ห่าวซวนกล่าวรายงานต่อผู้เป็นนาย
“เช่นนั้นให้ทุกคนพักผ่อนกันก่อนเถิดวันรุ่งขึ้นค่อยมาวางแผน”
“แล้วเอ่อ…” ห่าวซวนอ้ำอึ้ง เหล่มองไปยังเจียวซินที่นั่งจัดเตรียมเครื่องนอนอยู่บนเตียง
“อันใดของเจ้า มีอันใดก็พูดมา” เฟยเทียนเห็นท่าทางของคนสนิทก็เอ่ยเร่งขึ้น
“มีจดหมายจากอนุถังพ่ะย่ะค่ะ ทูลเชิญท่านอ๋องด้านนอกกระโจมพ่ะย่ะค่ะ” ห่าวซวนพูดเสียงเบาเพื่อมิให้พระชายาได้ยินสิ่งที่ตนกล่าวรายงาน
“อืม เจียวซิน ข้าจะออกไปตรวจดูความเรียบร้อยเสียหน่อยนะ” เฟยเทียนเอ่ยบอกเจียวซินแต่ก็ยังยืนนิ่งคล้ายกับรอคำอนุญาตจากชายาของตน
“เพคะ” เมื่อได้ยินคำตอบรับจากชายา เฟยเทียนก็เร่งรีบออกไปกับห่าวซวนทันที
“เจ้าได้ยินที่องค์รักษ์ห่าวซวนพูดหรือไม่หนิงเออร์” เจียวซินที่ไม่มั่นใจในสิ่งที่ตนได้ยินจึงได้เอ่ยถามกับคนสนิท
“ได้ยินเพคะ บอกว่ามีจดหมายจากอนุถังเพคะ” หนิงเออร์ตอบไปตามสิ่งที่นางได้ยิน
“หึ ข้าก็ได้ยินเช่นนั้น ห่างกันมิถึงเดือนก็เขียนจดหมายถึงกันเช่นนี้ คงมิพ้นจดหมายรักกระมัง” ฮึ่ย!! โมโห! เช่นนี้จะให้นางเชื่อได้อย่างไรว่ามิได้มีใจให้อนุถัง
“อาจจะมิใช่ก็ได้นะเพคะ พระชายาบอกหม่อมฉันเองว่าท่านอ๋องมิได้คิดจะมีใจให้ผู้อื่น” หนิงเออร์พยายามทำให้นายของตนใจเย็นลง จึงได้นำคำที่พระชายาเคยเอ่ยเล่าให้นางฟังมากล่าวเตือนสติพระชายา
“จะรู้ได้อย่างไรว่าเขาพูดจริง เจ้าว่าข้าไปถามห่าวซวนดีหรือไม่ว่าจดหมายนั่นเอ่ยสิ่งใดบ้าง”
“เอ่อ หากถามท่านห่าวซวนมิสู้พระชายาถามกับท่านอ๋องเลยมิดีกว่าหรือ เพคะ ท่านห่าวซวนแม้ตายก็มิยอมปริปากเป็นแน่” หนิงเออร์เอ่ยออกไปตามที่ตนเองคิด
“จริงของเจ้า เช่นนั้น…คงจะต้องยืมวิชาของเสด็จแม่มาใช้เค้นความจริงเสียหน่อยแล้ว”