“รู้หรือไม่ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเจ้าคือสิ่งใด” ฮองเฮาหลี่ใช้ไม้เรียวชี้ไปที่สิ่งของตรงหน้า เจียวซินที่มองไปยังสิ่งของที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าถึงกับพูดไม่ออก จะให้บอกว่าอย่างไรเล่า ก็สิ่งที่เห็นตรงหน้านางตอนนี้มันเป็นแท่งหยกที่ถูกแกะสลักเป็นอวัยวะเพศชายมากมายหลายขนาดเรียงรายตั้งแต่เล็กไปใหญ่ สั้นไปยาว ยังดีที่ฮองเฮาหลี่ให้เฟยเฟิ่งนำอาหลงออกไปเล่นด้านนอกรอ มิเช่นนั้นเจียวซินคง อับอายมากกว่าเดิม
“รู้เจ้าค่ะ” เจียวซินตอบออกไป เกิดมาสองชาติ สองโลก นี่เป็นครั้งแรกที่นางถูกผู้อื่นสอนเรื่องเพศอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ ในโลกก่อนแม้จะมีวิชาเพศศึกษา แต่ก็มิได้ลงลึกถึงขั้นเอาแท่งปลอมมาให้กันดูเช่นนี้
อ่า~ มันก็ขัดเขินอยู่มิน้อย
“รู้ก็ดี ของพวกนี้จะคล้ายกับแท่งทวนของชายที่จะสอดใส่เข้ามาในกลีบบุปผาของฝ่ายหญิง…อ่อ ขนาดของบุตรชายข้า เจ้าเคยเห็นหรือไม่” ฮองเฮาหลี่กล่าวด้วยใบหน้านิ่งเรียบ ราวกับคำถามนั้นเป็นการถามสารทุกข์สุกดิบทั่วๆ ไป
“มิ...มิเคยเห็นเพคะ”
“อ่า ข้าก็มิรู้เช่นกัน แต่หากให้เดาคงจะมิใช่อันพวกนี้แน่…อืม พ่อลูกคงมิต่างกันมากกระมัง” ฮองเฮาหลี่พึมพำกับตนเองแล้วจึงใช้ไม้เรียวกวาดแท่งหยกแกะสลักที่มีขนาดเล็กและสั้นให้ตกลงจากโต๊ะ
อึก!!!
เจียวซินถึงกับกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เพราะขนาดแท่งหยกที่เหลือบนโต๊ะตอนนี้มิมีอันใดยาวน้อยกว่าเจ็ดชุ่น (1 นิ้ว) ทั้งยังใช้มือกำแทบไม่รอบ
บ้าไปแล้ว! มิใช่กระมัง เสด็จแม่อาจจะคาดเดาผิดเป็นแน่!
“เป็นหญิงที่แต่งงานแล้วมิจำเป็นต้องเหนียมอายอยู่ตลอดเวลา เริ่มบ้าง รอบ้าง หนักเบาสลับกันไป อย่าได้ซ้ำซากจำเจ มิว่าชายใดก็ล้วนชมชอบความ ตื่นตาตื่นใจ เราก็ควรสรรหาสิ่งที่แปลกใหม่ อย่างท่วงท่าในการเสพสังวาสก็ให้มันหลากหลาย น่าเร้าใจ…” ฮองเฮาหลี่ใช้ไม้เรียวชี้ไปที่ภาพการเสพสังวาสระหว่างชายหญิงไปทีละภาพ มิเพียงเท่านั้นฮองเฮาหลี่ยังบรรยายถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างเสพสังวาสในท่วงท่านั้นๆ ด้วย เรียกได้ว่าเทความรู้ใส่หัวเจียวซินจนหมดหน้าตัก
“เข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่” ฮองเฮาหลี่ที่เห็นลูกสะใภ้ที่นั่งนิ่งจึงเอ่ยถามขึ้น
“ขะ เข้าใจเพคะเสด็จแม่ หม่อมฉันกำลังจดจำความรู้ทั้งหมดอยู่เพคะ” เจียวซินพยายามฟังและจำในสิ่งที่แม่สามีสอนอย่างตั้งใจ ยังไงก็น่าจะได้นำไปชะ-
อะแฮ่ม! รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม ขึ้นชื่อว่าความรู้ รู้ไว้มิเสียหายอันใด
“ดี! อ่อ ข้าเกือบลืมบทเรียนสำคัญ…”
“อันใดหรือเพคะ” เจียวซินถามกลับด้วยความสงสัย
“การให้ความสุขแก่สามีมิจำเป็นต้องนำแท่งทวนใส่เข้าไปในกลีบบุปผาเท่านั้น เจ้าสามารถใช้มือและปากเจ้าช่วยได้…ส่วนปลายจะเป็นส่วนที่ทำให้เกิดความรู้สึกเสียวซ่านมากที่สุด เพียงแตะเบาๆ ชายหนุ่มบางคนถึงกับพ่นหยาดรักออกมา เพราะฉะนั้นแล้วจงใช้ปลายลิ้นของเจ้าให้เกิดประโยชน์” ฮองเฮาหลี่มองไปที่แท่งหยกแกะสลักเหล่านั้น แล้วเลือกหยิบขนาดที่เล็กที่สุดในบรรดาแท่งหยกที่วางอยู่บนโต๊ะให้กับเจียวซิน
“อันใดหรือเพคะ” เจียวซินรับแท่งหยกมาอย่างงงงวย
“ลองทำดู…ก่อนอื่นใช้มือรูดรั้งก่อน” สิ้นเสียงฮองเฮาหลี่เจียวซินถึงกับอึ้ง จะให้นางเรียนภาคปฏิบัติด้วยหรือ ให้ทำต่อหน้าฮองเฮาและนางกำนัลคนสนิทของพระองค์อย่างนั้นหรือ
บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว! เช่นนี้นางจะเอาหน้าไปไว้ที่ใดเล่า
“มิต้องเหนียมอาย ข้ากำลังสอนเจ้าในฐานะมารดาผู้หนึ่ง ข้าจะช่วยสอนวิธีทำให้ลูกข้ารักเจ้าหลงเจ้าจนโงหัวมิขึ้นเลยทีเดียว” ฮองเฮาหลี่พูดสร้างความมั่นใจให้เจียวซิน เมื่อไม่มีทางเลือกนางก็เริ่มทำตามใช้มือรูดรั้งแท่งหยกขึ้นลงเป็นจังหวะ
“ดี อย่ากำมือแน่นจนเกินไป…จังหวะรูดรั้งให้ช้าบ้างเร็วบ้างสลับกันไป” เมื่อได้ยินดังนั้นเจียวซินจึงเพิ่มจังหวะให้เร็วขึ้น นางกำนัลคนสนิทของฮองเฮาหลี่ มีหน้าที่หยดน้ำมันบนแท่งหยกที่เจียวซินกำลังรูดรั้งอยู่จึงทำให้ได้ความรู้สึกเช่นเดียวกับนางกำลังรูดรั้งแท่งทวนของชายหนุ่มที่จะมีหยาดรักไหลออกมาจากส่วนปลาย
“ถือว่าใช้ได้ ต่อไปเจ้าลองใช้ลิ้นของเจ้าไล่เลียตั้งแต่โคนขึ้นมา…” เจียวซินใช้ลิ้นของตนเองไล่เลียบริเวณโคนของแท่งหยกตามคำแนะนำของฮองเฮาหลี่ โดยมือบางก็ยังทำการรูดรั้งเบาๆ ลิ้นเล็กไล่เลียมาจนถึงส่วนปลายของแท่งหยก
“วนลิ้นของเจ้าตรงส่วนปลายบ้าง ไม่ก็ใช้ลิ้นแหย่ไปที่ปลายหยักนั้น ทำสลับกันไปมา…อย่างนั้น…อืมดี” ฮองเฮาหลี่เอ่ยชมลูกสะใภ้ไม่ขาดปาก
หึ หัวเร็วมิเบา
ด้านเจียวซินก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตามคำสอนของแม่สามีทุกขั้นตอน
“ทีนี้ อ้าปากครอบแท่งหยกเข้าไป อ้ากว้างๆ อย่าให้ฟันครูดกับแท่งหยก”
“แคกๆ อืม~” เจียวซินที่อ้าปากครอบแท่งหยกถึงกับครางเสียงหลงออกมาเมื่อฮองเฮาหลี่กดหัวนางลงจนแท่งหยกเลื่อนเข้ามาในปากของนางจนแทบจะสุดความยาว
“หากชายหนุ่มกดหัวเจ้าลงเช่นนี้นั่นแปลว่าเขาใกล้จะแตะขอบสวรรค์แล้ว จากนั้นให้เจ้าตั้งรับให้ดีเพราะเขาจะกระแทกแท่งทวนของเขาใส่ปากของเจ้าไม่หยุดจนกว่าเขาจะแตะขอบสวรรค์” ฮองเฮาหลี่เอ่ยบรรยายให้เจียวซินเห็นทั้งภาพและความรู้สึกอย่างชัดเจน การเล่าเรียนยังดำเนินต่อไป ครั้งแล้วครั้งเล่า กว่าบทเรียนจะสิ้นสุดทำเอาริมฝีปากของเจียวซินบวมแดงขึ้นมามิน้อย
“เฟิ่งเออร์ หนิงหลง เหตุใดจึงมาอยู่นอกตำหนักเล่า…แล้วพระชายาอยู่ที่ใด หนิงเออร์” เฟยเทียนที่พึ่งออกมาจากการไต่สวนคนร้ายที่คุกหลวงเอ่ยถามทักน้องๆ แล้วจึงหันไปถามถึงเจียวซินกับคนสนิทของชายาตนเอง เขาตั้งใจจะมารับเจียวซินและหนิงเออร์กลับจวน เพราะอาการของรัชทายาทค่อนข้างดีขึ้นตามลำดับแต่ก็ยังมิหายสนิท ดังนั้นคนที่จะต้องทำหน้าที่แทนองค์รัชทายาทคง มิพ้นเป็นเฟยเทียนแน่ เขาจึงจะรีบกลับจวนไปสะสางงานของตนแล้วจึงจะเริ่มมาช่วยงานของพี่ชาย
“เอ่อ…คือพระชายาอยู่พูดคุยกับฮองเฮาในตำหนักเพคะ ฮองเฮารับสั่งให้พวกหม่อมฉันออกมารออยู่ด้านนอกเพคะ” หนิงเออร์ตอบกลับสวามีของนายเหนือหัวอย่างตรงไปตรงมา
“เสด็จแม่บอกว่ามีเรื่องจะสั่งสอนพี่เจียวซิน เหตุเพราะพวกท่านมิยอมมีหลานให้เสด็จแม่อุ้มเสียที” เฟยเฟิ่งตอบไปโดยมิได้คิดสิ่งใด เสด็จแม่สั่งสอนพี่เจียวซินจริง เพียงแต่นางมิได้บอกพี่ชายว่าสั่งสอนเรื่องเข้าหอ
"จริง น้องก็ได้ยินด้วยเช่นกันพะยะค่า" องค์ชายตัวน้อยเอ่ยเสริมขึ้น
“ว่าอย่างไรนะ! เรื่องเพียงเท่านี้จะถึงกับต้องเรียกไปตำหนิเลยหรือ” เฟยเทียนที่คิดว่าแม่ของตนเรียกไปเจียวซินไปตำหนิก็รีบร้อนก้าวเข้าไปตำหนัก เสด็จแม่ทำเช่นนี้จะถูกได้อย่างไร เรื่องมีบุตรคงต้องโทษที่เขาชักช้ามิได้เข้าหอกับนาง หากจะตำหนิคงต้องตำหนิเขามิใช่เจียวซิน
ยังไม่ทันที่เฟยเทียนจะก้าวเข้าไปในตำหนัก เจียวซินก็เดินออกมาด้วยท่าทางที่ค่อนข้างอิดรวย ริมฝีปากบวมแดง และมีคราบน้ำตาเปรอะที่หางตา เฟยเทียนเห็นดังนั้นจึงตกใจเป็นอย่างมาก
นี่เสด็จแม่ของเขา…
“เจียวซิน เจ้า…เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ เสด็จแม่ลงไม้ลงมือกับเจ้าหรือ” เฟยเทียนถามเจียวซินพร้อมกับใช้มือลูบริมฝีปากที่บวมแดง เขาไม่คิดเลยจริงๆ ว่าเสด็จแม่จะทำร้ายเจียวซินได้ลงคอ เหตุใดเสด็จแม่จึงเปลี่ยนเป็นคนใจร้ายเช่นนี้ไปได้ มิได้การแล้ว! เขาต้องไปพูดคุยกับเสด็จแม่ให้รู้เรื่อง
เฟยเทียนคิดได้ดังนั้นจึงจับมือเจียวซินหมายจะพาเจียวซินกลับเข้าไปพูดคุยกับเสด็จแม่ให้รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องที่เกิดในครั้งนี้
“ท่านอ๋องจะพาหม่อมฉันไปไหนเพคะ” เจียวซินยื้อร่างใหญ่เอาไว้
“ข้าก็จะพาเจ้าไปคุยกับเสด็จแม่ให้รู้เรื่องว่าเหตุใดจึงได้ลงไม้ลงมือกับเจ้าถึงเพียงนี้”
“เอ่อ…มิได้เป็นเช่นนั้นเพคะ เสด็จแม่เพียงแค่…” เจียวซินถึงปวดหัว มิรู้จะสรรหาคำใดมาบอกท่านอ๋องให้เข้าใจ จะให้นางบอกไปตามตรงว่าฮองเฮาหลี่สอนวิธีเสพสังวาสให้นางมันก็กระไรอยู่
“เพียงแค่…อันใด”
“เพียงแค่สอนบางเรื่องให้หม่อมฉันเพคะ” เจียวซินตอบออกไป พร้อมใบหน้าที่เริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อ
“สอนอันใด ปากเจ้าจึงบวมแดงเช่นนี้ ไหนจะคราบน้ำตานี่อีก เจ้าถึงขั้นร้องไห้เสด็จแม่มิได้ทำเพียงแค่สอนใช่หรือไม่” เฟยเทียนใช้มือเกลี่ยคราบน้ำตาบริเวณหางตาของเจียวซินเบาๆ
อ่า~ จริงดังท่านอ๋องว่า เสด็จแม่มิได้ทำเพียงสอนอย่างเดียว ฮือออ น่าอายเสียจริง
เมื่อเห็นว่าเจียวซินนิ่งเงียบไป เฟยเทียนจึงได้พรวดพราดเข้าไปในตำหนักของฮองเฮาหลี่อย่างรวดเร็ว หมายจะถามเอาความจากผู้เป็นมารดาให้แน่ชัด
“เสด็จแม่ทำสิ่งใดกับเจียวซินพ่ะย่ะค่ะ ทรงลงไม่ลงมะ…” เฟยเทียนเปิดประตูเข้ามาโดยมิได้ขอ ทำให้เขาเห็นสิ่งของและภาพวาดต่างๆ ที่เรียงรายอยู่ในห้อง ทำเอาเฟยเทียนถึงกับพูดไม่ออก
“ท่านอ๋องเพคะ อย่า…” ไม่ทันแล้ว เจียวซินรีบตามเข้ามาหมายจะรั้งท่านอ๋องมิให้เห็นสิ่งที่ตนถูกฮองเฮาสอน แต่ก็ไม่ทัน…ทั้งแท่งหยกแกะสลักขนาดน้อยใหญ่ ภาพวาดการเสพสังวาสและอุปกรณ์อื่นๆ อีกมากมายปรากฏอยู่ต่อหน้าท่านอ๋อง
“อันใดของเจ้า เฟยเทียน! เดี๋ยวนี้เข้าตำหนักแม่เจ้ามิต้องขอแล้วหรือ” ฮองเฮาหลี่เอ่ยตำหนิบุตรชาย
“ละ ลูกขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ” เฟยเทียนที่ยังอึ้งกับสิ่งที่ตนเห็นถึงกับพูดตะกุกตะกัก
“แล้วมีอันใด มีเรื่องเร่งรีบอย่างนั้นหรือ”
“มิได้พ่ะย่ะค่ะ ลูกได้ยินว่าเสด็จแม่เรียกเจียวซินเข้ามาเพื่อสั่งสอน จึงกลัวว่าจะเกิดเรื่องรุนแรงขึ้น”
“หึ คิดว่าแม่จะลงไม่ลงมือกับชายาของเจ้าหรือ…นี่หล่ะหนาบุตรชาย พอมีชายาก็ลืมแม่เสียแล้ว” ฮองเฮาหลี่แสร้งกล่าวอย่างเสียอกเสียใจหนักหนา
“โถ่ เสด็จแม่ ลูกมิได้คิดเช่นนั้น เพียงแต่เห็นใบหน้าของเจียวซินตอนนี้แล้วจะให้ลูกคิดเป็นอื่นคงยากนัก” สิ้นเสียงของเฟยเทียน เจียวซินก็รีบเม้มริมฝีปากของตนเองทันที
นี่!! ปากนางบวมขนาดนั้นเลยหรือ
“หึ แม่มิได้ทำอันใดชายาเจ้า เพียงสอนเรื่องเข้าหอให้แก่นางเท่านั้น เจ้าเองก็อย่าชักช้าแม่อยากอุ้มหลานเต็มทนแล้ว พี่เจ้าก็มิได้เรื่อง หากเจ้ายังมิได้เรื่อง อีกคน แม่คงต้องตายก่อนจะได้อุ้มหลานเป็นแน่” ฮองเฮาหลี่บ่นบุตรชายเสียยาวเหยียด
“พ่ะย่ะค่ะ ลูกทราบแล้วๆ”
เฟยเทียนและเจียวซินเดินทางกลับถึงจวนก็มีชายารองอันและเหล่าอนุยืนรอรับที่หน้าจวน เฟยเทียนและเจียวซินมิค่อยแปลกใจเท่าใดเพราะพวกนางคงรู้ข่าวคราวที่เกิดขึ้นกับองค์รัชทายาทแล้วจึงได้มารอรับเช่นนี้
“ท่านอ๋องกลับมาแล้ว หม่อมฉันพึ่งได้ยินข่าวเมื่อเช้า หม่อมฉันเป็นห่วงท่านอ๋องเหลือเกินเพคะ” อันอ้ายฉิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวานหยาดเยิ้ม
“หม่อมฉันเองก็เป็นห่วงท่านอ๋องเพคะ ท่านพ่อเองก็กังวลใจไม่น้อย” อนุจ้งเอ่ยขึ้น หวังให้ท่านอ๋องเห็นว่าครอบครัวของนางเป็นหนึ่งในขุนนางที่หนุนหลังและถือข้างองค์รัชทายาทอยู่
“อืม บอกใต้เท้าจ้งว่ามิมีอันใดต้องกังวลใจ เสด็จพี่หายดีแล้วอีกไม่นานคงกลับมาทรงงานได้…อย่างไรก็ขอบใจพวกเจ้ามากที่เป็นห่วง ข้าขอไปพักก่อน” เฟยเทียนเอ่ยเพียงเท่านั้นก็จับจูงมือบางของเจียวซินเดินตรงไปที่ตำหนักของ เจียวซินทันที
“เหอะ น่าริษยาท่านอ๋องยิ่งนัก มีแต่คนเป็นห่วงเป็นใย” เจียวซินพูดแล้วเบะปากอย่างรำคาญใจ
“หึๆ ข้าชอบที่เจ้าหึงหวงข้า แต่ข้ามิได้คิดจะยุ่งเกี่ยวอันใดกับพวกนางแน่ เจ้าวางใจได้” เฟยเทียนเข้าไปสวมกอดเจียวซินจากด้านหลัง ซบใบหน้าเข้ากับซอกคอขาวมสูดดมกลิ่นหอมของชายาเสียจนชื่นใจทำเอาหนิงเออร์ที่เข้ามารอ ปรนนิบัติพระชายาถึงกับรีบเร่งออกจากห้องนอนไป เจียวซินปล่อยให้ท่านอ๋องกอดอยู่อย่างนั้นมิได้ว่าอันใด เรื่องบรรดาเมียๆ ของสวามีนางค่อนข้างมั่นใจว่าท่านอ๋องจะมิไปยุ่งเกี่ยวอันใดกับพวกนาง จะมีก็แต่อนุถังที่เจียวซินยังตะขิด ตะขวางใจอยู่บ้าง
“เจียวซิน เสด็จแม่สอนอันใดเจ้าบ้างหรือ”
“กะ ก็หลายอย่างเพคะ” เจียวซินพูดตะกุกตะกักเมื่อจู่ๆ ท่านอ๋องก็เอ่ยถึงเรื่องการเล่าเรียนกับฮองเฮาขึ้นมา
“หลายอย่างเลยหรือ เจ้าอยากลองวิชาหรือไม่ เรียนแล้วนำไปใช้เลยเขาว่าจะจดจำได้ดีนะ”
อืม จริงดังท่านอ๋องว่า เมื่อเรียนแล้วได้นำไปใช้จะทำให้เราจดจำบทเรียนได้แม่นยำมากขึ้น นางใช้สอนนักเรียนในโลกก่อนอยู่บ่อยครั้ง…แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่!
“มะ ไม่เพคะ”
“ไม่หรือ จะมิลองดูสักหน่อยเลยหรือ” เฟยเทียนพูดไปก็ใช้ปากพรมจูบบนซอกคอขาวของร่างบางไป
“ไม่เพคะ ท่านอ๋องไปทำงานได้แล้ว มีงานขององค์รัชทายาทที่ต้องนำมาทำอีกมิใช่หรือเพคะ”
“อืมได้ ข้าจะไปทำงานก่อน หากเจ้าอยากลองวิชาเมื่อใดก็เรียกข้าเล่า หึๆ” เฟยเทียนพูดเพียงเท่านั้นก็เข้าไปทำงานที่ห้องตำราของตนทันที
“ฝ่าบาท โรคระบาดที่หัวเมืองทางใต้ย่ำแย่ขึ้นทุกวันเราจะทำเช่นไรดีพ่ะย่ะค่ะ เดิมทีเรื่องนี้องค์รัชทายาทเป็นผู้ควบคุมดูแล แต่บัดนี้องค์รัชทายาทล้มป่วย กระหม่อมเห็นว่าควรแต่งตั้งผู้อื่นมาดูแลเรื่องนี้แทนพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีอันกล่าวเสนอข้อคิดเห็นขึ้นมา
“เช่นนั้นท่านเห็นว่าผู้ใดเหมาะสมเล่า เสนาบดีอัน” องค์จักรพรรดิเอ่ยถามขึ้น แม้จะรู้คำตอบอยู่แล้วว่าเสนาบดีอันจะเสนอชื่อผู้ใด
“กระหม่อมเห็นว่าท่านอ๋องสามทรงปรีชาสามารถเหมาะสมกับกิจสำคัญครานี้พ่ะย่ะค่ะ”
หึ เป็นดังที่คิดไว้ จะบีบให้เฟยเทียนออกจากเมืองหลวง
“อืม ผู้อื่นมิมีใครเหมาะสมแล้วหรือ”
“กระหม่อมเห็นว่ากิจสำคัญครานี้ควรมอบหมายให้กับท่านอ๋องสองพ่ะย่ะค่ะ เหล่าราษฎรจะได้ประจักษ์เสียทีว่าท่านอ๋องสองทรงปรีชาสามารถเหมาะสม กับตำแหน่งอ๋องมากเพียงใด” เสนาบดีหลี่กล่าวขึ้นเสียงเรียบ แต่ใครจะมิรู้บ้างว่าเสนาบดีหลี่กล่าวดูแคลนว่าท่านอ๋องสองเฉินลู่เหวินผู้นี้มิมีผลงานใดที่โดดเด่นและเป็นประโยชน์ต่อแคว้นเลยสักอย่าง
“เสด็จพ่อ ตัวข้ามิได้มีความสามารถในการเดินทางไกลเช่นน้องสาม ทั้งในดินแดนทางใต้น้องสามก็เคยไปทำสงครามมาก่อนย่อมชำนาญเส้นทางดีกว่าตัวลูกเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ” ลู่เหวินพยายามชักแม่น้ำทั้งห้ามาโน้มน้าวใจบิดา แม้จะเสียดายโอกาสที่จะสร้างผลงานแต่เขาเองก็ต้องทำตามแผนการของท่านตา
“เอ่อ หากทั้งพี่รองและพี่สามมิอยากไป ลูกจะขอเสนอตัวไปเองพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ” องค์ชายห้าเลี่ยงหรงเอ่ยเสนอทางออกให้กับผู้เป็นพี่ชายทั้งสอง
“มิเป็นอันใดน้องห้า ขอบใจเจ้ามาก แต่ก็เป็นดังที่พี่รองว่า ข้าชำนาญ ในดินแดนทางใต้มากกว่าผู้ใดในนี้ เสด็จพ่อ…ลูกจะรับหน้าที่นี้เองและจะเร่งเดินทางลงไปหัวเมืองทางใต้ทันทีที่จัดการกิจทางนี้เสร็จสิ้นพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อได้ยินเฟยเทียนกล่าวเช่นนี้ ฮ่องเต้เฟยหลงก็รู้ได้ทันทีว่าเฟยเทียนตั้งใจจะออกจากเมืองหลวงอยู่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็เบาใจลงได้ ว่าเหตุการณ์ในวันนี้มิได้อยู่เหนือความคาดหมายของเฟยเทียน