พอกลับมาถึงบ้านก็ต้องแปลกใจที่เห็นคุณหมอปุณณ์นั่งอยู่ เขาคุยกับคนเป็นพ่ออย่างออกรส เห็นอย่างนั้นปรินทร์ก็ไม่อยากเข้าไปวุ่นด้วย เขาเดินเลี่ยงขึ้นไปชั้นสองของบ้าน
“ไม่คิดจะทักพี่เลยแฮะ” หมอหนุ่มพึมพำเสียงแผ่วเบา แต่ก็เข้าใจความนิ่งของน้องชาย ตอนนี้ก็ยังดีกว่าตอนเป็นวัยรุ่นมาก
“สวัสดีค่ะคุณหมอ” มุกดายกมือไหว้หมอปุณณ์ เขาเป็นคนที่เธอเจอตั้งแต่เด็ก จนตอนนี้แต่งงานมีลูก ย้ายออกไปตั้งรกรากเองแล้ว
“หึ เป็นไงเมื่อคืน”
“คะ? อ้อ จริงด้วยคุณหมอก็อยู่นี่นา” เธอเดินเข้าไปใกล้เขา โดยที่ตอนนี้คุณท่านกำลังหันไปคุยกับพ่อบุญธรรมของเธออยู่
“ใช่สิ เมื่อคืนเมาหนักเลยนะ อย่าไปเมาแบบนี้ที่ไหนล่ะ”
“ทำไมคะ”
“พี่อายแทน”
“แหนะ...ฮ่า ๆ ฉันเองก็อายค่ะ ว่าแต่เมื่อคืนฉันทำอะไรบ้างคะ” เธอจำอะไรไม่ได้เลย หมอปุณณ์เองก็ชั่งใจเล็กน้อย ก่อนจะยอมเล่าว่าเธอทำอะไรไปบ้าง
“หา ฉะ ฉันนี่นะเหรอคะ พะ พูดออกไมค์ว่าคุณปริม หล่อ”
“ใช่!”
“ถามด้วยนะว่ามีแฟนหรือยัง ฮ่า ๆ พี่ไม่ได้อยู่ใกล้หรอก แต่ว่าเธอถือไมค์อยู่น่ะ” มุกดาอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าตนจะเผลอพูดแบบนั้นออกไป แล้วทำไมต้องป่าวประกาศเรื่องในใจใส่ไมค์ด้วยก็ไม่รู้ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น
“ว่าแต่คุณหมอมาที่นี่ทำไมคะ”
“อ้อ พอดีพ่อกับแม่จะออกไปท่องเที่ยวกัน พี่เลยมาคุยเล่นด้วยน่ะ” ปุณณกันต์มองเธอเป็นน้องสาวคนหนึ่ง ส่วนมุกดาก็มองเขาเป็นเจ้านาย
“อ้อ...อย่างนี้นี่เอง” ว่าพร้อมกับพยักหน้าหงึก ๆ คงเป็นเพราะคุณท่านอยากไปเที่ยวพักผ่อนเลยให้เขาคนนั้นขึ้นบริหารงานแทน
“ลุงฝากด้วยนะ”
“ฝาก? อ้อ...ฝากเขาคนนั้น” เธอพยักหน้าเข้าใจ แม้นว่าวันนี้เขาจะเป็นฝ่ายดูแลเธอ “เอ่อ ไม่ต้องห่วงเลยนะคะ หนูจะทำให้เต็มที่เลย”
“หึ ได้ยินอย่างนี้ก็สบายใจขึ้นมาหน่อย” เธอยิ้มแหย ๆ ให้ อันที่จริงก็ทำอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่างนักหรอก แต่ก็รับปากไว้ ไม่อยากให้คุณท่านเป็นห่วงก็เท่านั้น
หลายวันต่อมา...
ความใกล้ชิดนี้ทำให้เกิดความรู้สึกบางอย่าง เป็นปรินทร์เองที่เริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัย เธอกำลังย่างกรายเข้ามาในหัวใจของเขา
“เดี๋ยววันนี้ก็เหมือนเดิมนะคะ น้องมุกไปกับพี่ ส่วนคุณปริมไปกับคุณไตเติ้ลนะคะ”
“คุณพ่อเดินไหวใช่ไหมคะ”
“พ่อยังไม่ได้แก่ขนาดนั้น อีกอย่างก็ไม่ได้เดินด้วย นั่งอยู่กับที่น่ะ มีแต่งานเอกสาร” บิดาต้องคอยสอนหลายอย่างให้กับประธานบริษัทคนใหม่ ส่วนเธอเองก็ต้องเรียนรู้การเป็นเลขาฯ ผู้บริหารจากเอมี่
“อีกหลายปีเลยล่ะกว่าทุกอย่างจะลงตัว ตอนนี้ก็ค่อย ๆ ปรับกันไป”
“หึ...” ปรินทร์แค่นหัวเราะเบา ๆ พ่อของเขากะให้เขาเป็นหัวโขนแทนจริง ๆ ไม่ได้อยากให้เขาเป็นผู้บริหารนักหรอก แต่ก็อย่างว่ามีหลายอย่างที่เขาต้องเรียนรู้
“คุณปริมหายไปนานนี่ครับ ถ้ารับช่วงต่อจากนายตั้งแต่เรียนจบก็คงไม่ต้องฝึกงานกันตอนนี้หรอกครับ” เพราะมีบางอย่างที่เขากลัว ชายหนุ่มไม่ได้ตอบอะไร เขาเงียบเช่นเดิม
...มุกดาเดินตามหลังเอมี่เหมือนกับหลายวันที่ผ่านมา ในมือน้อย ๆ นั้นมีปากกาและสมุดโน้ตคู่ใจ เธอจดทุกอย่างตามที่พี่สาวคนนี้พูด หญิงสาวพร้อมเรียนรู้งานมากเลยทีเดียว
“ขยันเหมือนพ่อเลยนะ ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าเป็นพ่อบุญธรรม พี่จะคิดว่าเป็นพ่อลูกกันแท้ ๆ แล้ว”
“ฮ่า ๆ หนูแค่อยากเก่งให้ได้เหมือนคุณพ่อค่ะ”
“ดีเลยนะ มีความคิดแบบนี้ตั้งแต่อายุน้อย ๆ อีกหน่อยคงไปได้สวย” เธอฉีกยิ้มรับคำชมนี้ แต่ทว่า “ว่าแต่เราไม่รู้เหรอว่าพ่อแม่แท้ ๆ ของเราเป็นใคร”
“เอ...” มุกดาครางเสียงในลำคอ ก่อนที่เธอจะส่ายหน้าพร้อมกับอมยิ้มด้วย “หนูไม่อยากรู้หรอกค่ะ ตอนนี้หนูก็มีความสุขดี มีพ่อไตเติ้ล มีแม่แตงโม มีคุณท่านทั้งสองที่เมตตา”
“นั่นสิ หนูมีความสุขดี แล้วพ่อแม่แท้ ๆ ล่ะ”
“_” เธอส่ายหน้าเบา ๆ ไม่เคยมีความคิดนี้ในหัวเลยสักครั้ง “หนูไม่อยากรู้ค่ะ พวกเขาทิ้งหนูไป”
“จริงเหรอ แล้วถ้าพวกเขาไม่ได้ทิ้งล่ะ เราจะรู้ได้ไงว่าเขาตั้งใจทิ้งหรือไม่ทิ้ง เขาอาจจะพยายามสุด ๆ แล้วก็ได้” เธอคิดตามคนอายุมากกว่าเอ่ยพูด “พี่ไม่ได้จะว่าอะไรหรอกนะ แค่ถามเฉย ๆ น่ะ กลัวว่าหนูจะพลาดโอกาสตามหาพ่อแม่ไป เพราะพี่ก็เคยพลาดมาแล้ว กว่าจะตัดสินใจตามหาก็นานเลย พอได้ตามหาก็มารู้ว่าพวกเขาตายไปนานแล้ว ตั้งแต่พี่เด็ก ๆ ตอนนั้นคิดว่าพ่อแม่เอาไปทิ้ง แต่ที่ไหนได้ พวกท่านเสียชีวิตกันหมด ถ้าพี่รู้ตั้งนานก็คงทำบุญไปให้นานแล้ว” เอมี่ว่าน้ำเสียงเศร้า จนมุกดารู้สึกเห็นใจ เริ่มคล้อยตามในที่สุด
“เสียใจด้วยนะคะ แต่หนู...กลัวพ่อแม่บุญธรรมเสียใจถ้าออกตามหา”
“ก็ไม่ต้องบอกสิ พี่ว่านะ...ถึงเขาจะไม่ได้เลี้ยงมา แต่มันต้องมีเหตุผลสิ เขาอาจจะมีปัญหาอยู่ก็ได้ ตอนนั้นถึงตัดสินใจทิ้งเราไป” มุกดาคิดตามสิ่งที่เอมี่พูด คนที่ผ่านอะไรมามากมายนั้นพอดูออก ว่าจริง ๆ แล้วมุกดาก็อยากรู้หมือนกันว่าพ่อแม่ของหล่อนนั้นเป็นใครกันแน่ แล้วทำไมต้องทิ้งไป ถ้าไม่ทิ้ง...ตอนนี้จะเป็นเช่นไรกัน
มีหลายอย่างที่ติดอยู่ในหัว วันนี้ภายในรถยนต์คันหรูนั้นเงียบผิดสังเกต ปรินทร์เองก็สงสัย เขาชำเลืองสายตามองคนข้างกายตลอดเวลา อยากถามนักว่ามีอะไร ทำไมถึงเงียบไปแบบนี้
“คุณมาวินจอดที่หน้าบ้านฉันก่อนนะคะ” เสียงของหล่อนทำลายบรรยากาศภายในรถที่เงียบสงบมานาน ทว่า
“แล้วรถจักรยานเธอล่ะ” ปกติสาวเจ้าจะมาใส่บาตรที่หน้าบ้านเขาในตอนเช้า ๆ แล้วจะไปทำงานพร้อมกัน
“เดี๋ยวค่อยไปเอาค่ะ” ปรินทร์กลืนน้ำลายลงคอ เธอมีบางอย่างอยู่ในใจ ใบหน้าไม่สดใสเหมือนที่ผ่านมา กระนั้นคนไม่รู้จักพูดก็เลือกที่จะไม่ถาม กระทั่งรถยนต์เคลื่อนมาจอดหน้าบ้านเดี่ยวสองชั้น ซึ่งอยู่ในรั้วเดียวกับอาณาจักรธนธาดา แต่ก็ไม่ได้ใกล้กันมาก หากเธอเดินไปเอารถจักรยานอย่างที่พูดไว้ คงไกลน่าดู
“ขอบคุณนะคะ” เธอยิ้มให้กับเจ้านายหนุ่มบาง ๆ วันนี้อารมณ์ไม่ดีเลย หญิงสาวอยากอยู่เงียบ ๆ เพียงลำพัง
...พอเดินเข้ามาในบ้านก็เห็นแม่บุญธรรมกำลังพับเสื้อผ้าอยู่
“สวัสดีค่ะ คุณแม่”
“อ้าว...กลับมาไวจังเลย” แตงโมหันมามองลูกสาว แม้นว่าไม่ใช่ลูกแท้ ๆ แต่ก็เลี้ยงมาเหมือนลูกแท้ ๆ
“พอดีวันนี้รถไม่ติดน่ะค่ะ” รอยยิ้มพร้อมกับใบหน้าเป็นห่วงของแม่บุญธรรมทำให้ยิ่งรู้สึกผิด อยู่ ๆ ก็มีความคิดอยากตามหาพ่อแม่จริง ๆ ของตัวเอง แต่ก็กลัวว่าจะทำให้พ่อแม่บุญธรรมน้อยใจ
“เหรอ หิวไหม เดี๋ยวแม่ทำอะไรให้กิน”
“เอ่อ...”
“หรือเราจะบ่นว่าแม่ทำกับข้าวไม่อร่อยอีกคน” คนเป็นแม่ว่าพลางยกมือขึ้นเท้าเอว มุกดารีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน
“หนูเคยบ่นที่ไหนล่ะคะ เงียบกิน ๆ อย่างเดียว” ว่าแล้วก็กอดเอวอวบของคนเป็นแม่ มารดานั้นอายุน้อยกว่าพ่อมากทำให้ยังไม่แก่เท่าผู้เป็นพ่อ
“หึ งั้นถ้าหิวแล้วบอกแม่นะ” มุกดาพยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนจะขอตัวขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน เธอมีเรื่องให้คิดในหัวเยอะเลย ไม่ใช่แค่เรื่องงานที่ต้องจัดตารางให้คนเป็นนาย แต่เรื่องที่พี่เอมี่พูดยังคงกวนใจอยู่
...มุกดามองดูรูปของตัวเองในวัยเด็ก ห้องของเธอไม่ได้ใหญ่มาก ด้วยข้าวของเครื่องใช้จุกจิกที่ชอบซื้อมาสะสมเล่น เธอก็ยังเป็นเด็กแม้นจะอายุเข้าเลขสองมานานแล้วก็ตาม
“เฮ้อ...” มุกดาพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ เธอนั่งลงบนเตียงนอน ยกขาทั้งสองข้างขึ้นกอดเข่า คิดหนักเรื่องของพ่อแม่แท้ ๆ คนเราจะไม่นึกถึงกันเลยมันก็ไม่ใช่ เธอรู้ว่าตนนั้นไม่ได้เป็นลูกแท้ ๆ ของผู้เป็นพ่อ พ่อเป็นลูกเสี้ยวที่หน้าตาออกไปทางฝรั่งหน่อย ๆ ซึ่งทั้งสองก็ไม่เคยปิดบังว่าเธอไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ด้วย
“เอาไงดี...” ริมฝีปากบางพึมพำพูดคนเดียว ถ้าตามหาก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว สมัยนี้เทคโนโลยีล้ำสมัยมาก เธอไม่รู้และไม่เคยถามว่าตัวเองถูกรับเลี้ยงจากบ้านเด็กกำพร้าที่ไหน แต่คาดว่าน่าจะอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ นี่แหละ
...มุกดานั่งจะเผลอหลับไป รู้สึกตัวตื่นอีกทีก็เย็นมากแล้ว ท้องร้องโครกครากนั้นทำให้นึกถึงคำถามของผู้เป็นแม่
“ไม่น่าเลย น่าจะกินก่อน” ว่าแล้วก็ผุดลุกขึ้นจากเตียงนอน เดินลงบันไดบ้านก็เห็นคนเป็นแม่นั่งดูทีวี ละครหลังข่าวอยู่
“มีอะไรกินไหมคะ หิวมากเลย”
“นั่นไง แม่ว่าแล้ว” แตงโมส่ายหน้าเบา ๆ ลุกขึ้นหาข้าวหาน้ำให้กับลูกสาว “เมื่อกี้คุณปริมมาหานะ”
“หืม...” ชื่อนี้ทำเอาฝ่าเท้าบางของเธอชะงักไป
“มาหาเหรอคะ ทำไมอะ”
“เห็นจูงจักรยานมาให้”
“หา!” คราวนี้ตกใจมากกว่าเดิม เขาจูงจักรยานมาให้เธอเนี่ยนะ “จริงเหรอแม่”
“จริงสิ แม่ยังงงอยู่เลย คนใช้ตั้งเยอะแยะแต่มาเอง”
“อ้าว...ทำไมแม่ไม่ปลุกหนูอะ”
“ก็คุณปริมไม่ให้ปลุก เห็นบอกว่าอยากให้หนูพักผ่อน” ได้ยินอย่างนี้ใจก็เต้นแรงขึ้นมา มุกดาเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ทำให้คนเป็นแม่มองด้วยสายตากรุ้มกริ่ม
“มีอะไรที่ยังไม่ได้บอกแม่หรือเปล่านะ”
“มะ ไม่มีหรอกแม่ เขาคงไม่ได้ชอบหนูหรอกใช่ไหมแม่” พูดเองเขินเอง ทั้ง ๆ ที่มารดายังไม่ได้เอ่ยคำว่าชอบออกมาสักคำเดียว
“หึ แต่แม่รู้สึกได้นะ คุณปริมเขาสนใจหนูแน่ ๆ เลย”
“จ...จริงเหรอ บ้าบอ” คนเป็นลูกเขินม้วน แม้นจะดูเย็นชาแต่ใจดีมากเลยทีเดียว เขาไม่พูดคำหยาบ ไม่สูบบุหรี่ แต่ดื่มแอลกอฮอล์เหมือนกับน้ำเปล่า
“หึ เขินขนาดนี้ ชอบเขาอยู่เหมือนกันหรือไง” มารดาก็พอดูออก หลายวันมานี้ลูกสาวตื่นแต่เช้าโดยไม่ต้องปลุกเสียด้วยซ้ำ คงรีบไปทำงานกับเขาคนนั้น
“ก็...” เธอเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ใบหน้าเล็กเห่อร้อนขึ้นมา ลืมเรื่องที่กังวลไปเสียสนิท “หนูก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนดีจัง”
“หึ...บางทีเขาก็คงมีเหตุผลที่ต้องทำดีกับหนูมั้ง”
“หือ...หมายความว่าไงคะ”
“เปล่าหรอกจ้ะ” เธอยิ้มให้กับคนเป็นลูกบาง ๆ “ความรักอะเนอะ”
“หนูยังไม่รู้เลยว่าเขาคิดยังไง นี่เราเพิ่งเจอกันสามอาทิตย์เองนะคะ”
“แหนะ นับวันซะด้วย”
“ปะ เปล่าสักหน่อย” เธอเขินแก้มแดงอีกแล้ว “ไหนกับข้าว วันนี้หนูจะได้กินหรือเปล่าคะเนี่ย”
“หึ ทำเป็นเปลี่ยนเรื่องนะ” มารดาส่ายหน้าเบา ๆ ส่วนมุกดาก็เดินไปอิงแอบใบหน้าที่แขนของคนเป็นแม่ ถึงจะอยากรู้ว่าพ่อแม่ที่แท้จริงเป็นใคร เธอก็รับรู้และยืนหยัดว่าจะรักและเทิดทูนพ่อแม่บุญธรรมอย่างสุดหัวใจเช่นเดิม...