บทที่ 2 ครอบครัวของหลานเอ๋อร์

1784 Words
            จังฮูหยินก้มลงมองสีหน้าของบุตรสาวที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงด้วยความสุขสม คงจริงอย่างที่มีคนกล่าวไว้....เมื่อรู้ทุกข์จึงจะรู้สุข....เมื่อวานนางคิดว่าตนเองต้องสูญเสียบุตรสาวเพียงคนเดียวไป หัวใจราวถูกควักออกมาบีบจนแทบจะหายใจไม่ออกทว่าวันนี้ราวกับได้ของมีค่าที่สุดในโลกมนุษย์ ร่างกายของหลานเอ๋อร์นับตั้งแต่ตกลงไปในแม่น้ำยามฤดูหนาวปีที่นางอายุแปดขวบเริ่มป่วยกระเสาะกระแสะเป็นต้นมา จากเด็กหญิงร่าเริงและซุกซนกลับไม่อาจออกจากห้องไปเที่ยวเล่นตามใจได้อีก นางได้แต่มองความหงอยเหงาของบุตรสาวด้วยดวงใจทุกข์ตรม เงินทองที่มีไม่มากนักถูกเอามาใช้เป็นค่ารักษาไปจนหมดสิ้น จังฮูหยินเจ็บปวดใจที่ไม่อาจพาบุตรสาวมารักษากับหมอในเมืองหลวงได้ มีเพียงท่านหมอฉินในอำเภอเฉินที่แม้จะมิได้มีวิชาแพทย์สูงส่งแต่กลับมีเมตตายิ่งใหญ่คอยหยิบยื่นยาสมุนไพรเพื่อพยุงอาการให้มิได้ขาด ทำให้หลานเอ๋อร์ยังคงมีชีวิตสืบต่อมาได้ ก่อนหน้านี้หลานเอ๋อร์เคยฝากตัวเป็นศิษย์ของอาจารย์เหยียนร่ำเรียนวิชาอยู่ในเรือนของนายอำเภอเฉินร่วมกับบุตรหลานผู้มีอันจะกิน ทว่าหลังจากอุบัติเหตุครานั้น หลานเอ๋อร์ก็จำต้องเก็บตัวอยู่แต่ในเรือนมิได้ย่างเท้าออกไปที่ใดอีก ห้าปีของความเจ็บป่วย เด็กหญิงทำได้เพียงนั่งๆ นอนๆ อยู่ในห้องนอนเพราะร่างกายนางอ่อนแอเกินจะโดนอากาศที่แปรปรวนภายนอกได้โดยไม่บอบช้ำ อาศัยว่าจังฮูหยินเป็นผู้อ่านออกเขียนได้จึงสอนบุตรสาวจนนางเขียนอ่านได้คล่อง เวลาส่วนใหญ่ของหลานเอ๋อร์จึงหมดไปกับการอ่านหนังสือที่อาจารย์เหยียนนำมาให้หยิบยืม             “หิวน้ำ...” เสียงแผ่วเบาแหบแห้งนั้นทำให้จังฮูหยินยิ้มกว้าง             “หลานเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ฮูหยินลูบศีรษะบุตรสาวด้วยความรักใคร่             “ข้าหิวน้ำ”             จังฮูหยินรีบรินน้ำชาใส่จอกเล็กๆ จ่อที่ริมฝีปากของชิงหลานทันที สองวันแล้วที่บุตรสาวของนางดื่มได้เพียงน้ำกับน้ำข้าว ไม่ว่าจะกินอาหารใดเข้าไปหลานเอ๋อร์ล้วนอาเจียนออกมาจนหมด ยามนี้จังฮูหยินปล่อยให้เสี่ยวลิ่งไปกินข้าวอาบน้ำเสียก่อนแล้วค่อยมาผลัดเวรยามกันดูแลหลานเอ๋อร์             “ข้าอยากกินข้าวกับหมูผัด” หลังจากดื่มน้ำไปสามจอก หลานเอ๋อร์ก็เอ่ยออกมา จังฮูหยินได้ยินเช่นนั้นก็รีบละล่ำละลักรับปาก             “เจ้ารอแม่สักครู่ เดี๋ยวแม่ไปสั่งที่โรงเตี๊ยมข้างๆ ให้เจ้า”             เมื่อสตรีผู้นั้นออกจากห้องที่พักคนป่วยไป เผยมู่ซีจึงมองไปรอบๆ นับตั้งแต่ ลืมตาขึ้นมานางก็เห็นใบหน้างดงามนั้นเฝ้ามองด้วยความห่วงใย ครั้นยกมือสองข้างขึ้นดู มือของนางกลายเป็นมือของเด็กหญิงที่อายุยังไม่ถึงวัยปักปิ่น นางจึงลุกขึ้นนั่ง มองซ้ายมองขวา ในห้องนี้ไม่มีกระจกให้นางส่องดูใบหน้า เผยมู่ซีจึงสะบัดผ้าห่มออกมองดูขาของตน             ‘ข้ามีขาและเท้า....ไม่ใช่ดวงวิญญาณอีกต่อไปแล้ว’             เมื่อทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนหน้านี้ นางจะจำได้ว่าตนเองถูกแสงสีทองของผ้ายันต์ในมือเด็กหญิงดูดเข้าไป             ...นี่นางเข้ามาอยู่ในร่างของเด็กหญิงผู้นั้นเสียแล้ว....             เผยมู่ซีคิดถึงนิยายที่นางเคยฝากบ่าวรับใช้ซื้อมาจากตรอกคนโฉด คุณชายท้ายตรอกเคยเขียนเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิด นางอ่านแล้วนึกสงสัยว่าชาติหน้ามีจริงหรือไม่? บัดนี้นางตายไปแล้วจริงๆ แต่วิญญาณกลับมิได้ไปเกิดใหม่อย่างที่คุณชายท้ายตรอกกล่าวไว้แต่กลับมาอยู่ในร่างของเด็กหญิงผู้หนึ่ง...มิรู้ว่าเช่นนี้เรียกเกิดใหม่หรือไม่? แต่หากจะนับจริงๆ นี่ก็คือชาติที่สองของนาง             ร่างกายของหลานเอ๋อร์ผู้นี้ผอมบางนัก เรี่ยวแรงที่นางอยากจะใช้ให้ได้ดั่งใจก็ไม่มี เห็นทีนางคงต้องใช้เวลาฟื้นตัวอีกพักใหญ่ สตรีที่เรียกตนเองว่าแม่ผู้นั้นดูแล้วใจดีมีเมตตา เผยมู่ซีคิดว่าคงจะอยู่กับท่านแม่ใหม่ผู้นี้ได้อย่างมีความสุข             “คุณหนูฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ? สวรรค์ช่างเมตตาเสียจริง!” หญิงรับใช้ที่นางเห็นบนรถม้ากรากมาจับแขนอยู่ข้างเตียง             เผยมู่ซีได้แต่ยิ้มแห้งๆ ตอบกลับไป นางยังไม่รู้สาวใช้ผู้นี้มีชื่อใด? ได้แต่รอให้พวกเขาเรียกชื่อกันและกันก่อน บทบาทคนป่วยก็เล่นมิได้ยากสักเท่าใด? ตอนที่นางอยู่จวนสกุลเผยก็เสแสร้งอยู่บ่อยๆ นางจึงทำท่าอ่อนแรง ยกมือขึ้นเกาะแขนสาวใช้เอาไว้             “คุณหนูเหนื่อยหรือเจ้าคะ? นอนลงพักผ่อนก่อนเถิด ท่านไม่ได้กินอาหารตั้งสองวันก็คงจะไร้เรี่ยวแรง” เสี่ยวลิ่งประคองคุณหนูผู้บอบบางแทบจะเห็นกระดูกลงนอนสายตาของสาวใช้เต็มไปด้วยความรักและเวทนาจนเผยมู่ซีรู้สึกได้             ‘ร่างเดิมของข้าแหลกเหลวไปแล้ว เห็นทีคงต้องอาศัยร่างนี้อยู่อีกนานเลยเทียวหรือไม่ก็อาจจะกลายเป็นเด็กคนนี้ไปเลย’             ครั้นนอนลงเผยมู่ซีก็หลับตาลองพิจารณาดูว่าในร่างกายนี้มีวิญญาณอื่นอยู่อีกหรือไม่? วิญญาณของหลานเอ๋อร์หายไปที่ใด? หรือว่าจะหายไปเหมือนหยวนจุนที่นางไม่มีโอกาสได้ทักทาย? เมื่อนางนอนนิ่งๆ ความทรงจำของหลานเอ๋อร์ก็ค่อยๆ หลั่งไหลให้นางได้รับรู้ .....ความสุข ความทุกข์ ความรัก ความชัง ความปรารถนาและความห่วงใย เผยมู่ซีไม่รู้ตัวว่าน้ำตาของตนไหลออกมาเป็นสาย นางเคยคิดว่าชีวิตตนเองในตระกูลเผยน่าสงสารนัก...แท้จริงยังมีชีวิตของหลานเอ๋อร์ที่น่าสงสารยิ่งกว่า!             พลันเผยมู่ซีรู้สึกว่าตนเองนึกอยากจะใช้ชีวิตในร่างของหลานเอ๋อร์ผู้นี้ให้ดีและทำให้ชีวิตของจังฮูหยินและเสี่ยวลิ่งสาวใช้ผู้แสนดีสุขสบายยิ่งกว่าเดิม             “หลานเอ๋อร์หลับไปแล้วหรือ?” จังฮูหยินหิ้วเอาปิ่นโตไม้เข้ามาในห้อง             เสี่ยวลิ่งที่ซับน้ำตาให้คุณหนูด้วยความเป็นห่วงหันไปมองผู้เป็นนายแล้วพลางส่ายหน้า จังฮูหยินถลาเข้าไปวางปิ่นโตไม้ลงกับพื้น             “หลานเอ๋อร์ เจ้าเจ็บที่ใด? บอกแม่เร็วเข้า!”             เผยมู่ซีลืมตาขึ้นมองสตรีตรงหน้าด้วยความเห็นใจ ความทรงจำของ            หลานเอ๋อร์ในตัวนางทำให้เผยมู่ซีรู้จักคนรอบตัวหลานเอ๋อร์ไปโดยปริยาย จังฮูหยินกับบุตรสาวถูกขับไล่ให้ออกมาอยู่เรือนเดิมของสกุลชิงที่อำเภอเฉิน เรือนแห่งนั้นเก่าแก่และทรุดโทรมยิ่ง เสื้อผ้า อาหารและเครื่องนอนล้วนไม่สมบูรณ์อย่างที่ควร อาศัยปักชุนซ่อมแซมของเก่าใช้งานกระทั่งเถ้าแก่เนี้ยสกุลจางให้ความช่วยเหลือว่าจ้างจังฮูหยินปักผ้าสลับสีที่นางเคยได้รับการถ่ายทอดจากตระกูลจังจึงทำให้ความเป็นอยู่ของทั้งสามคนดีขึ้น             เดิมทีจวนเก่าสกุลชิงมีผู้ดูแลสามคน แต่หลังจากให้สามคนแม่ลูกมาอยู่ที่นี่ก็เหลือผู้ดูแลไว้เพียงคนเดียว ยังดีที่บ่าวผู้นั้นมีใจเมตตาคอยช่วยเหลือตัดฟืนทำถ่านมาให้ใช้เสี่ยวลิ่งจึงไม่ลำบากมากนัก             “ข้าไม่เจ็บหรอก...ท่าน...แม่...” เผยมู่ซีเรียกออกมาอย่างยากเย็น จู่ๆ นางก็ต้องมาเรียกหญิงแปลกนางด้วยสรรพนามเช่นนี้ก็อดจะกระดากมิได้             ...แต่ยังดีกว่าตอนเป็นเผยมู่ซีที่ได้เคารพเพียงป้ายวิญญาณของมารดา...             จังฮูหยินรีบหยิบเอาชามข้าวและชามหมูผัดออกมาจากปิ่นโตไม้             “แม่เอาข้าวกับหมูผัดมาให้เจ้าแล้ว!”             ตั้งแต่เมื่อวานเผยมู่ซีเองข้าวสักเม็ดก็ไม่ตกถึงท้อง ครั้นได้กลิ่นข้าวหอมกรุ่นมีไอร้อนลอยวนพร้อมทั้งกลิ่นหมูผัดอันเย้ายวนก็อดจะกลืนน้ำลายดังเอื๊อกมิได้!             “หอมจริง! ข้าจะกินให้หมดเลยเจ้าค่ะ” จังฮูหยินกำลังจะตักป้อนนางแต่บุตรสาวกลับลุกขึ้นนั่ง “ท่านแม่ข้าอยากกินเอง”             “เจ้าไหวหรือ? หลานเอ๋อร์”             “ให้เสี่ยวลิ่งช่วยถือชามหมูผัดให้ข้าก็พอเจ้าค่ะ” เมื่อเห็นว่าร่างกายนี้ไม่อาจขยับลงจากเตียงได้อย่างที่คิด เผยมู่ซีจึงเปลี่ยนวิธี             เสี่ยวลิ่งรีบกุลีกุจอเข้ามานั่งใกล้ฉวยเอาชามหมูผัดจากจังฮูหยินไปถือไว้เสียเอง “ฮูหยินไปพักเถิดเจ้าค่ะ ให้ข้าถือช่วยคุณหนูดีกว่า ท่านยังไม่ได้พักผ่อนตั้งแต่เมื่อคืนคงจะเพลียแย่”             จังฮูหยินพยักหน้าแล้วฝากให้เสี่ยวลิ่งดูแล ส่วนนางก็ออกไปยังห้องพักในโรงเตี๊ยมที่เปิดเอาไว้เป็นนอนพักผ่อนและอาบน้ำ             “ท่านแม่ไม่ต้องห่วงข้า มีเสี่ยวลิ่งคอยดูแลก็พอแล้ว หากท่านแม่ยังไม่ยอมกินยอมนอนอีกล่ะก็พวกเราอาจจะต้องอยู่เฝ้าท่านล้มป่วยที่นี่ต่อนะเจ้าค่ะ”             เมื่อได้ยินบุตรสาวเอ่ยเช่นนั้นจังฮูหยินก็ยิ้มน้อยๆ “เจ้าอาการดีแล้วจริงๆ จึงได้กล้าเย้าแม่ เช่นนั้นแม่ขอไปอาบน้ำนอนพักสักหน่อย”             เสี่ยวลิ่งได้แต่มองคุณหนูของตนกินอย่างเอร็ดอร่อยจนตาค้าง ข้าวถ้วยแรกหมดแล้วคุณหนูก็ยังอยากจะขออีกถ้วย สาวใช้จึงออกไปสั่งข้าวมาเพิ่มให้             “เห็นคุณหนูกินได้เยอะเช่นนี้ อีกไม่นานก็คงจะได้ออกไปวิ่งเล่นนอกเรือนแล้วเจ้าค่ะ”   ***************************  นิยายชุดนี้เขียนขึ้นทั้งหมด 7 ภาคด้วยกัน (ข้อมูลถึงตุลาคม 2564) ภาค 1 “ท่านอ๋องอย่าคิดหนี”  ภาค 2 “ท่านอ๋องเป็นของข้า” ภาค 3 “ท่านอ๋องกับชายาหมี” ภาค 4 “ท่านหญิงจีจอมพลัง” ภาค 5 “ซือซือฮองเฮาพันโฉม” ภาค 6 “สายลับจับอ๋องใหญ่” ภาค 7 “เกิดอีกคราเป็นชายาตัวร้าย” 
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD