บทที่ 4 ร้านค้าสกุลจาง

1646 Words
            ตั้งแต่ชิงหลานกลับมาจากเมืองหลวง สาวน้อยก็กินได้มากขึ้น ร่างกายของเริ่มมีเนื้อมีหนังและเลือดฝาดบนใบหน้า จังฮูหยินเห็นเช่นนั้นก็ยินดียิ่งนักจึงใช้ให้           เสี่ยวลิ่งนำเงินไปซื้อเนื้อหมูมาผัดให้บุตรสาวกิน                     “ท่านแม่ เงินของท่านหมดไปกับการรักษาข้ามิใช่น้อยยังเหลือเงินพอซื้อหมูมากขนาดนี้เลยหรือ?” เผยมู่ซีแอบเห็นจังฮูหยินนับเงินอีแปะร้อยเป็นพวงในยามค่ำคืนก็พอจะรู้ว่าเงินที่แม่ของชิงหลานเก็บเอาไว้คงจะมิได้มีมากนัก             “ยังพอจะซื้อให้เจ้ากินได้บ้าง อีกไม่กี่วันแม่ก็จะไปขอรับงานจากเถ้าแก่เนี้ยจางเพิ่ม เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงไปดอก”             เผยมู่ซีนึกเห็นใจจังฮูหยินที่ต้องสูญเสียบุตรสาวเพียงคนเดียวไป ทั้งสภาพการใช้ชีวิตก็ยากแค้นลำเค็ญจึงอยากจะหาหนทางช่วยเหลือนาง             “ยามท่านไปร้านสกุลจางให้ข้าไปด้วยได้หรือไม่?”             “เจ้าอยากไปทำไมกัน? เพิ่งหายป่วยมาหยกๆ พักให้เยอะๆ เถอะนะ”             “ท่านแม่ดูสิ ข้าอ้วนขึ้นตั้งเยอะ กินข้าวทีละสองถ้วยก็ไหวให้ข้าไปด้วยนะ ข้าอยากเห็นตลาด”             จังฮูหยินดูสีหน้าบุตรสาวที่เริ่มมีเนื้อที่แก้ม ท่าทางดูแข็งแรงมากขึ้นกว่าแต่ก่อนราวกับคนละคนก็พยักหน้ารับ “อันที่จริงสีหน้าของเจ้าก็ดีขึ้นมากแล้ว ไปแค่นี้คงไม่เป็นไร”             จวนตระกูลชิงอยู่ห่างจากตลาดระยะเดินพอได้เหงื่อ จังฮูหยินเดินจูงมือบุตรสาวทั้งชี้ชวนให้ดูข้างทางด้วยความสุขใจ             “หลานเอ๋อร์ ดูลำคลองสายนี้สิ ตอนเจ้าเป็นเด็กในยามฝนตกพวกเราเคยออกมารอจับปลาที่มันหาน้ำใหม่ได้ตั้งหลายตัวนะ”             “น่าสนุกจังเลยนะเจ้าคะ” เผยมู่ซียิ้มกว้าง ความทรงจำของชิงหลานที่ได้รับรู้คือความสุขในวัยเด็กที่ได้ออกมาจับปลาตามท้องถนนกับมารดาและเสี่ยวลิ่ง เหล่าลู่เองก็ออกมาช่วยจับปลาด้วย พวกเขาจับปลาได้มากจนกินไม่หมด เหล่าลู่จึงแนะนำให้ทำปลาตากแห้งเพื่อเก็บเอาไว้กินได้นาน             “สนุกสิ! เจ้าน่ะสนุกกว่าผู้ใด จับปลาจนเสื้อผ้าเปียกปอนเลอะโคลนตมไปหมด เหนื่อยจนแทบหมดแรงกลับมาก็นอนอยู่เป็นวัน” จังฮูหยินรู้สึกว่าหลังจากฟื้นขึ้นมาครั้งนี้ บุตรสาวดูเปลี่ยนไปมากราวกับมิใช่คนเดิม นางเคยนอนร่วมห้องกับบุตรสาวแต่คราวนี้หลานเอ๋อร์กลับยืนยันว่านอนคนเดียวได้ บุตรสาวที่เคยอ่อนแอและต้องการที่พึ่งทั้งทางกายและทางใจกลายเป็นสาวน้อยที่เข็มแข็งและร่าเริงอย่างที่ควรจะเป็นแล้ว             ร้านเย็บปักสกุลจางอยู่คู่อำเภอเฉินมายาวนาน ช่างของร้านล้วนได้รับการถ่ายทอดฝีมือจากรุ่นสู่รุ่น เครื่องเย็บปักถูกนำไปจำหน่ายในเมืองหลวงด้วย คหบดีผู้ร่ำรวยแห่งเมืองหมิงคือผู้เฒ่าจินเคยเดินทางผ่านมายังเมืองนี้ ครั้นเห็นว่างานฝีมือสกุลจางดีเยี่ยมจึงติดต่อขอนำไปขายทำให้รายได้ของร้านสกุลจางมาขึ้นจนต้องเปิดรับคนงานเพิ่มอีกจำนวนมาก จังฮูหยินเอางานเย็บปักของตนมาให้เถ้าแก่เนี้ยจางได้ดูเป็นครั้งแรกก็ได้รับคำชมและเชิญชวนให้นางนำเอางานปักมาวางจำหน่าย งานปักเป็นสอดผสานสีของจังฮูหยินเป็นภูมิรู้ที่ถูกถ่ายทอดกันมาในสกุลจังโดยเฉพาะจึงยากจะมีผู้เลียนแบบได้ แม้จะใช้เวลาในการปักอยู่นานแต่เมื่อทำเสร็จกลับคุ้มค่ายิ่ง เงินค่าจ้างที่ได้มามากพอที่จะดูแลทั้งสามชีวิตให้อยู่รอดในแต่ละเดือน             “ท่านแม่ของในร้านเหล่านี้งดงามยิ่งนัก” เผยมู่ซีในร่างของเด็กสาวผอมบางยืนลูบไล้ผ้าปักงดงามด้วยสายตาหลงใหล หากยามนี้นางยังเป็นเผยมู่ซีก็คงพอจะมีโอกาสได้รับผ้างดงามเช่นนี้สักพับแต่ในยามที่เป็นชิงหลานเห็นทีแม้แต่ลูบไล้ก็ยังต้องรู้สึกผิด             “คุณหนูชิงสายตาแหลมคมนัก ผ้าพวกนี้เป็นฝีมือของช่างเก่าแก่สกุลจาง พับนี้มีไว้เพื่อส่งเข้าวัง” เถ้าแก่เนี้ยจางรู้ว่าจังฮูหยินคือคนของสกุลชิงก็พูดคุยอย่างให้เกียรติเสมอมาแม้จะรู้ว่านางเป็นเพียงอนุภรรยาที่ถูกส่งออกมาอยู่นอกจวน             ถ้อยคำนินทาของคนเฝ้าจวนสกุลชิงเดิมก่อนจะย้ายออกจากอำเภอเฉินได้พูดถึงจังฮูหยินเอาไว้ว่านางเป็นเพียงอนุภรรยาที่มิได้มีการตบแต่งเข้าสู่สกุลชิงอย่างถูกต้อง ชิงหลานเองก็ไม่รู้ว่าเป็นบุตรีของใต้เท้าชิงจริงหรือไม่? แต่เท่าที่เถ้าแก่เนี้ยจางได้พูดคุยและรู้จักนิสัยใจคอของจังฮูหยินนางจึงไม่ปักเชื่อคำให้ร้ายเหล่านั้น อีกทั้งยังคอยแก้ต่างเพื่อให้คนในอำเภอมองจังฮูหยินในทางที่ดีขึ้น             เผยมู่ซีกวาดตามองไปรอบๆ ร้านก็พบว่าตามฝาผนังมีอักษรมงคลและภาพวาดแขวนขายอยู่จึงมองด้วยความชื่นชม ในชาติที่นางยังเป็นเผยมู่ซีท่านย่าเชิญอาจารย์ที่มีฝีมือด้านการเขียนอักษรและวาดภาพมาสอนนางหลายคนทำให้นางเองก็พอมีฝีมืออยู่บ้าง             “เถ้าแก่เนี้ยเจ้าคะ ท่านรับซื้อภาพวาดพวกนี้ด้วยหรือ?”             หญิงวัยกลางคนผิวพรรณผุดผ่องหันกลับมามองเด็กหญิงที่ยืนมองภาพวาดด้วยความชื่นชม “คุณหนูชิง เจ้าชอบภาพพวกนี้หรือ?”             “เจ้าค่ะ” แม้เผยมู่ซีจะดูออกว่าลายเส้นของจิตรกรที่วาดภาพพวกนี้มิได้เก่งกาจนัก จะว่าไปก็แค่พอใช้ได้             “มีคนเอามาฝากขายน่ะ แต่หลังๆ มีคนเดินทางผ่านมาก็ซื้อไปบ่อย ข้าจึงได้รับซื้อเอาไว้เองแล้วเปิดขายทั้งผนังอย่างที่เห็นอยู่นี่ล่ะ”             อำเภอเฉินเป็นอำเภอเล็กก็จริงแต่เป็นอำเภอทางผ่านเข้าไปในเมืองหลวงตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองหลวงแคว้นหมิง ด้วยความที่เป็นเมืองทางผ่านทำให้การค้าขายของเมืองนี้ค่อนข้างคึกคัก ในอำเภอมีโรงเตี๊ยมถึงสองแห่ง ร้านค้าที่ตั้งอยู่ระหว่างทางผ่านล้วนขยายแผงกันยาวเหยียด แต่ละวันมีรถม้าหลายสิบคันมาจอดแวะพักซื้ออาหารและรับประทานอาหารอยู่ไม่ขาดสาย ร้านค้าสกุลจางนับได้ว่าเป็นร้านที่มีผู้นิยมแวะเป็นอันดับต้นๆ             “เถ้าแก่เนี้ย คราวนี้ข้ามัวแต่พาหลานเอ๋อร์ไปหาหมอในเมืองหลวงจึงไม่ได้ปักงานอยู่หลายวันจึงมาขอรับงานเพิ่ม”             ใบหน้าเปื้อนยิ้มของเจ้าของร้านมองดูดวงตาอิดโรยของจังฮูหยินแล้วก็พยักหน้า นางเองก็มีบุตรถึงสามคนย่อมเข้าใจในทุกข์ของสตรีที่พยายามหาเงินรักษาบุตร             ....เห็นท่า...เงินเก็บของจังฮูหยินคงจะหมดไปกับการรักษาหลานเอ๋อร์แล้ว....             “ท่านทำไหวก็รับไปเถิด ช่วงนี้คนเดินทางผ่านเข้ามาเมืองหลวงนิยมซื้องานของท่านนัก ดูสิ! ที่แขวนโชว์ไว้คราวก่อนมีคนมาซื้อไปจนหมดแล้ว”             จังฮูหยินเงยหน้าขึ้นมองตำแหน่งที่วางเปล่าบนผนัง “ช่างดีจริง! ข้ายังเกรงอยู่เลยว่าราคาสูงเช่นนั้นจะขายได้ยาก”             “ผลงานของท่านยากจะหาคนเทียบได้ ร้านคหบดีจินในเมืองหลวงก็แจ้งมาว่าต้องการอีกหลายชิ้น หากท่านทำเพิ่มได้ก็เร่งมือเถิด เรื่องเงินข้าพร้อมจะจ่ายให้”             จังฮูหยินก้มหน้าน้อยๆ นางไม่กล้าเอ่ยว่าตนเองยามนี้เหลือเงินแค่ร้อยอีแปะยังไม่รู้ว่าจะประทังชีวิตไปจนกระทั่งปักงานพวกนั้นเสร็จได้อย่างไร?             เถ้าแก่เนี้ยจางยิ้มน้อยๆ “ครั้งนี้ข้าจะให้เงินมัดจำงานท่านไปก่อนสักสองตำลึงก็แล้วกัน”             สีหน้าของจังฮูหยินแช่มชื่นขึ้นในทันทีรีบกล่าวขอบคุณเถ้าแก่เนี้ยจางซ้ำแล้วซ้ำอีก น้ำตาของนางขณะที่ก้มก็เจียนจะหยาดหยด หากมิได้เถ้าแก่เนี้ยผู้นี้ชีวิตของนางในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเห็นทีคงไม่อาจประคับประคองมาได้             เผยมู่ซีได้ยินสิ่งที่สตรีทั้งสองสนทนากันแล้วก็สะท้อนใจ ยามอยู่ในวังสกุลเผยนางไม่เคยต้องคิดมากเรื่องเงินทองเพราะมีที่นอนที่กินอยู่สุขสบาย ยามนี้เงินเพียงตำลึงเดียวกลับต้องรอความเมตตาจากผู้อื่น น่าเสียดายที่นางเป็นเพียงดวงวิญญาณเร่ร่อนไม่อาจหยิบเอาของมีค่าบนศพคุณหนูเผยออกมาได้สักชิ้น             เสี่ยวลิ่งรีบเข้ามาช่วยถือห่อผ้าและด้ายที่ได้จากร้านสกุลจาง นางลุ้นแทบตายขอให้ฮูหยินกล้าเอ่ยปากขอเงินมัดจำจากเถ้าแก่เนี้ย จังฮูหยินเกรงใจเถ้าแก่เนี้ยเป็นทุนเดิมดีที่เถ้าแก่เนี้ยช่างสังเกตนักเห็นสีหน้าและแววตาของจังฮูหยินก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการสิ่งใด?             “ฮูหยิน เช่นนี้เราก็มีเงินซื้อข้าวสารและของแห้งกลับเรือนแล้วสิเจ้าคะ”             จังฮูหยินยิ้มน้อย “ขาดแคลนสิ่งใดพวกเราก็ซื้อให้ครบเถิด แต่เดือนนี้ข้าคงต้องเร่งมือปักงานให้เสร็จโดยเร็ว”             “ฮูหยินสบายใจเถิด ข้าจะช่วยท่านอย่างสุดฝีมือแน่”   ********************* *อำเภอเฉินถูกกล่าวไว้ในเรื่อง “ซือซือฮองเฮาพันโฉม”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD