สิบนาทีให้หลัง
ละอองดาวลุกขึ้นช้าๆ สองมือกอดซองเอกสารที่นายทะเบียนส่งคืนให้ ทว่าเดินไปไม่ถึงสามก้าวก็เซเสียหลัก เดือดร้อนนายทะเบียนต้องมาช่วยประคองให้วุ่นวาย
เสียงอุทานด้วยความตกใจของคนที่อยู่ในเหตุการณ์ แทรกเข้ามาในโสตประสาทของละอองดาว ก่อนจะค่อยๆ จางหายไป หญิงสาวใจหาย ร่างทั้งร่างเบาหวิว หูอื้อ ตาพร่า เธอรู้สึกเหมือนว่าถูกหลุมอากาศอันมหึมาดูดกลืนสู่ความมืดมิดไร้แสงและเสียง
แต่เชื่อไหมว่านาทีนั้น เธอกลับได้ยินเสียงหัวใจดวงน้อยร่ำไห้ในอก...อย่างชัดเจน
ภายในห้องพักคนไข้ที่ดีที่สุดของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง นางวิภาเฝ้าดูอาการของลูกสะใภ้อย่างห่วงใย นัยน์ตาที่เริ่มพร่ามัวด้วยวัยที่มากขึ้น มีหยาดน้ำตามาขังคลอ เหตุใดหนอลูกชายที่รักถึงได้ใจร้ายทิ้งขว้างละอองดาวได้ลงคอ อยู่กินกันมาก็หลายปี แม้จะไร้ซึ่งความรักแต่ความเอื้ออาทรนั้นเล่า ไม่มีเหลือเผื่อแผ่มาให้เจ้าหล่อนบ้างหรืออย่างไร
คนป่วยที่นอนหลับอยู่บนเตียงเริ่มขยับเนื้อตัว หญิงสาวลืมตาขึ้นมองเพดานที่มีหลอดนีออนส่องแสงสว่างจ้า จำต้องรีบหุบเปลือกตาลงไปชั่วครู่เพื่อให้ดวงตาได้ปรับสภาพให้คุ้นชินกับแสงสว่าง
“คุณแม่?” ละอองดาวเรียกแม่สามีด้วยความงุนงง เหตุเพราะตื่นขึ้นมาแล้วเห็นหน้านางเป็นคนแรก
“ย่ะ...ฉันเอง หล่อนฟื้นแล้วรึ เป็นยังไงบ้างล่ะ เจ็บปวดตรงไหนหรือเปล่า” น้ำเสียงคล้ายประชดประชัน แต่ดวงตากลับฉายแววเอื้ออาทรจนลูกสะใภ้อยากลุกไปกราบงามๆ แต่เมื่อทำเช่นนั้นไม่ได้จึงยกมือไหว้ตอบแทน
“ขอบคุณนะคะคุณแม่ ดาวไม่ได้เจ็บปวดอะไรค่ะ ต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่คนนั้นที่มาช่วยดาวไว้ทัน ไม่อย่างนั้นคงได้ล้มไปกองบนพื้นแน่ๆ” พูดแล้วนิ่งไปชั่วอึดใจ สามีที่รักหายไปไหน เหตุใดจึงไม่มาดูดำดูดีเธอบ้างเลย
“เฮ้อ...หล่อนนี่นะแม่ดาว ไม่ใช่ตัวเปล่าแล้วนะ จะทำอะไรก็คิดถึงลูกบ้างสิ”
นางวิภาตำหนิเรื่องการดูแลตัวเองของคนที่อ่อนวัยกว่า ละอองดาวทำได้เพียงแค่พยักหน้ารับ ไม่กล้าท้วงติงใดๆ
“ดาวขอโทษค่ะ ดาว...ดาวรีบลุกไปหน่อย ก็คุณโยไม่รอดาวนี่นา”
เธอตอบตามจริง ในตอนนั้นคิดแต่ว่าจะรีบไปให้ทันวาโยที่ลุกออกมาก่อน แต่ร่างกายมันไม่ตอบสนอง อีกทั้งเนื้อตัวแขนขาก็พลันอ่อนแรงขึ้นมาดื้อๆ
“เลิกพูดเรื่องเมื่อเช้าซะที ฟังแล้วมันแสลงใจ” คุณนายวิภาเบะปากอย่างรังเกียจ ไม่อยากรู้สักนิดว่าลูกชายและลูกสะใภ้ไปทำอะไรที่ไหน
“โธ่...คุณแม่คะ คนเราไม่ได้รักกัน อยู่กันไปยังไงก็ต้องหย่าอยู่ดี คุณแม่อย่าเก็บมาเป็นอารมณ์เลยค่ะ มันดีแล้วไม่ใช่เหรอคะ คราวนี้คุณแม่จะได้พาสาวๆ มาให้คุณโยเลือกได้อย่างสบายใจ”
ละอองดาวแขวะนางวิภาเล็กน้อยเหมือนที่เคยปฏิบัติอยู่เป็นนิจ แต่คราวนี้นางไม่เล่นด้วย ใบหน้านางเศร้าหมองลงทันใด แต่ปากก็ยังกล่าววาจาว่าลูกสะใภ้ไปเรื่อย
“ไม่ต้องมาแขวะฉันหรอกย่ะ ถึงฉันจะหาผู้หญิงมาให้ตาโยสักร้อยคน เขาก็ไม่เอาอยู่ดีนั่นล่ะ แต่ว่า...หล่อนก็ยังไม่ได้เซ็นนี่นา ใบหย่าน่ะ”
วิภาหยิบซองเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะมาแกะออกดู นางยิ้มอย่างพออกพอใจที่ยังไม่เห็นลายเซ็นของละอองดาวอยู่บนนั้น
ละอองดาวลุกขึ้นนั่งช้าๆ โดยมีมือข้างหนึ่งของแม่สามีคอยช่วยเหลือ ใบหย่าที่ว่ายังไม่ได้เซ็นนั่นน่ะ เธอรู้ดีทีเดียวว่าควรจะจัดการกับมันเช่นไร
“คุณวีนุตตราเธอสวยนะคะ ดาวเคยเห็นเธออยู่กับคุณโยสองสามครั้ง”
วิภามุ่นคิ้ว ละอองดาวบอกว่าวีนุตตรานี่นะสวย หล่อนชักเพี้ยนขึ้นทุกทีแล้ว
“หล่อนไปเห็นแม่นุตที่ไหนกันยะถึงได้บอกว่าสวย ฉันมองไม่เห็นความสวยของแม่วีนุตตรามาหลายปีแล้วนะ”
ละอองดาวเองก็งุนงงที่แม่สามีเอ่ยเช่นนั้น วีนุตตราคนนั้นน่ะสะสวยไม่ใช่น้อย สวยแบบคมขำ ไม่ใช่ขาวซีดเหมือนเธอ ไม่อยากจะเชื่อด้วยซ้ำว่าหล่อนกำลังป่วย
“ก็เคยเห็นสองสามครั้งที่ห้างค่ะ” เธอตอบเลี่ยงๆ จะให้บอกได้อย่างไรละว่าเห็นจากรูปที่จ้างวานนักสืบถ่ายมาให้
“ที่ห้างเนี่ยนะ เป็นไปไม่ได้!” นางยืนยันเสียงแข็ง มันจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อวีนุตตราป่วยหนักมาสามปีแล้ว สถานที่เดียวที่เจ้าหล่อนจะอยู่ได้นอกจากบ้านก็คือโรงพยาบาลนั่นแหละ
“ก็...ช่างมันเถอะค่ะ บางทีดาวอาจจะตาฝาด ว่าแต่...คุณโยยังไม่มาอีกเหรอ” ถามพลางมองไปที่ประตูด้วยหวังว่าจะได้เห็นหน้าสามีสักที
“โอ๊ย...อย่าไปถามเลย โน่น...ไปเฝ้าไข้แม่นุตอยู่ตึกโน้นโน่น”
หัวคิ้วของลูกสะใภ้ย่นเข้าหากันด้วยความประหลาดใจ นี่วีนุตตราเข้าโรงพยาบาลอีกแล้วสินะ
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูดังแทรกการสนทนาของแม่ผัวลูกสะใภ้ ละอองดาวอยากถามนางวิภาต่อสักนิด แต่ถูกขัดด้วยร่างสูงใหญ่ที่ก้าวพรวดๆ ผ่านประตูเข้ามา
“คุณแม่ยังไม่กลับเหรอครับ” วาโยถามมารดาที่ยังปักหลักอยู่ข้างเตียงคนไข้
“ถ้ากลับแล้วแกจะเห็นหัวหงอกๆ ของฉันไหมล่ะ”