ตอนที่ 2 เส้นทางชีวิตใหม่ที่แตกต่างจากเส้นทางเดิม
ถึงแม้นาตาชาจะความจำไม่ค่อยดีเสียเท่าไหร่แต่ก็ใช่ว่าเธอจะนึกไม่ออก แค่นั่งคิดสักหน่อยนาตาชาก็จำได้ว่าแฟนเก่าที่เธอคบได้เพียงสัปดาห์เดียวชื่อว่ามิเกล เธอรู้จักกับเขาในฐานะพี่ชายเพื่อนบ้านมานานและเขาก็เพิ่งมาตามจีบเธอในช่วงที่เพิ่งเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับเขา เนื่องจากว่าเขาเป็นคนที่คุ้นหน้าเธอจึงตอบตกลงเพื่อที่จะได้ลองเรียนรู้การมีแฟนอย่างคนอื่น แต่ก็อย่างที่รู้หลังจากที่เธอตกลงคบกับเขาได้เพียงไม่กี่วันมิเกลก็ได้บังเอิญเจอกับโซลเมทของเขา ซึ่งก็คือเลน่า เพื่อนร่วมชั้นเรียนในมหาลัยของเธอ เขาตัดนาตาชาและผู้หญิงคนอื่นทิ้งทันทีและหมั้นหมายกับเลน่าภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน
เรื่องนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับความรู้สึกของนาตาชาเลยเพราะแต่เดิมเธอก็ไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรกับแฟนเก่าหนึ่งสัปดาห์นั่นอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนว่าคนอื่นจะไม่ได้คิดอย่างนั้น
“ฉันได้ยินมาว่าคุณมิเกลเป็นที่นิยมมาก มีคนมากมายตามตื๊อเขาไม่เลิกแต่สุดท้ายคุณมิเกลก็เลือกคู่แห่งโชคชะตาอยู่ดี”
นาตาชาเหลือบมองแอนนาที่ย้ำนักย้ำหนาว่ามิเกลและเลน่าเป็นคู่รักที่รักกันมากแค่ไหน แม้ว่านาตาชาจะเป็นพวกไม่สนใจโลกแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะโง่ไม่เข้าใจว่าแอนนาพยายามใช้หนามแทงเข้าไปในหัวใจของเธอ แต่ดูเหมือนว่าแอนนาจะไม่รู้เลยว่าคำเหล่านั้นมันไม่มีผลอะไรเลยกับนาตาชา ไม่ว่าจะคำพูดข่ม คำเย้ยหยัน นาตาชาฟังแล้วก็รู้สึกว่ามันช่างไร้สาระ
อย่างไรก็ตามนาตาชาจำได้ว่าเธอไม่เคยบอกเรื่องที่เธอเคยคบกับมิเกลให้ใครฟังหรือเคยเล่าว่าเธอเคยรู้จักกับมิเกลในฐานะพี่ชายข้างบ้านเลย แล้วแอนนาที่มาช่วยพูดข่มเธอแทนเลน่าทำไมมีท่าทางเหมือนจะรู้เรื่องนี้นะ?
นาตาชาเห็นว่ามิเกลยังคงแสร้งทำเป็นไม่รู้จักเธอและพูดคุยกับโซลเมทของตัวเองอย่างอ่อนโยน
“ดูเหมือนว่าเธอจะไม่สบายใจนะ ดื่มไปตั้งหลายแก้ว ไม่ไปเต้นกับคนอื่นๆ ล่ะจะได้ไม่เห็นภาพบาดตา” เสียงของแอนนาก็ดังเข้ามาในหูของนาตาชาเรื่อยๆ จนเสียงเพลงที่ดังก้องอยู่ในไนต์คลับฟังดูเบาไปเลย
นาตาชาวางแก้วที่สี่ลงและเทแก้วที่ห้า เหล้าฟรีทั้งทีก็ต้องดื่มให้คุ้มสิ พอดื่มแก้วที่ห้าหมดเธอก็หันไปมองแอนนาที่ท่าทางดูจะเริ่มหงุดหงิดขึ้นมานั่นเพราะว่าคนที่เธอพยายามพูดยั่วยุให้รู้สึกเจ็บปวดกลับไม่ตอบสนองอะไรเลย
นาตาชาไม่รู้สาเหตุว่าทำไมแอนนาถึงดูหงุดหงิด เธอจึงรินเหล้าให้อีกฝ่ายและพูดว่า “คอคงแห้งแล้ว”
แอนนา “….”
แอนนาเริ่มรู้ตัวแล้วว่าที่เธอพูดไปทั้งหมดมันช่างเปล่าประโยชน์จริงๆ
หลังจากนั้นนาตาชาก็สามารถนั่งดื่มได้อย่างสงบ เธอพูดคุยกับเพื่อนที่เธอจำไม่ได้เป็นบางครั้งและนั่งเงียบเพราะเดิมทีเธอก็ไม่ได้สนิทกับใครเป็นพิเศษอยู่แล้ว นั่งฟังคนอื่นพูดคุยรู้สึกสบายใจกว่าตั้งเยอะ
“ได้ยินกันรึยัง ช่วงนี้แถวนี้มีฆาตกรต่อเนื่องออกมาเพ่นพ่านด้วยนะ”
หัวข้อสนทนาหนึ่งที่นาตาชาสนใจฟังได้เริ่มต้นขึ้น
“ใช่ฆาตกรที่ถูกเรียกว่าผีดูดเลือดรึเปล่า?”
“ถ้าเป็นข่าวของฆาตกรผีดูดเลือดฉันก็ได้ยินมาบ้าง จนถึงตอนนี้ตำรวจยังหาตัวคนร้ายไม่เจอเลย!”
“ทำไมถึงถูกเรียกว่าผีดูดเลือดล่ะ?”
“ได้ยินว่าฆาตกรนั่นฆ่าคนด้วยการสูบเลือดออกจากร่างกายก่อนจะฉีกร่างเป็นชิ้นก่อนจะเอาไปทิ้งในที่สาธารณะน่ะสิ”
“นั่นมันโรคจิตเกินไปแล้ว!”
“ที่น่ากลัวคือเหยื่อทั้งหมดของมันเป็นผู้หญิงแบบสุ่มตามถนน ขอแค่เป็นผู้หญิงและหน้าตาดีก็จะถูกฆ่าหมดเลย!”
“น่ากลัวจัง หน้าตาดีอย่างฉันกลายเป็นเป้าหมายของมันแน่ เมื่อไหร่ตำรวจจะจับมันได้นะ!”
“น่าสงสัยการทำงานของตำรวจจริงๆ จับฆาตกรก็ไม่ได้แล้วเอาแต่แปะใบแจ้งเตือนอันตรายเต็มไปหมด [คำเตือนถึงหญิงสาวผู้งดงามยามค่ำคืนจงระวังปีศาจในคาบมนุษย์ใบหน้าของมันขาวซีด ดวงตาสีแดงก่ำสวมผ้าคลุมสีดำทมิฬก้าวเดินอย่างไร้เสียงราวกับภูตผีเมื่อพบเจอก็จงภาวนาต่อเทพแห่งดวงอาทิตย์เถิด!] ฉันเห็นป้ายแบบนี้แปะอยู่ทั่วเมืองจนท่องจำได้แล้ว!”
ในฐานะคนที่ย้อนเวลามาแม้จะเคยได้ยินเรื่องนี้เมื่อสิบปีก่อนแต่นาตาชาก็ยังจำเรื่องนี้ได้เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่โด่งดังมากจนสิบปีต่อมามันก็ยังเป็นที่กล่าวถึง นั่นเพราะฆาตกรไม่เคยถูกจับได้มาก่อน มันแค่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แม้จะไม่มีเหตุการณ์ฆาตกรรมน่าสยองเกิดขึ้นมาอีกแต่ผู้คนต่างก็หวาดกลัวว่าฆาตกรจะกลับมาก่อเหตุอีกครั้ง เรื่องฆาตกรผีดูดเลือดเลยไม่เคยจางหายไปจากความทรงจำของผู้คน
นาตาชานั่งฟังผ่านหูไปหลายเรื่อง แต่พอนั่งอยู่คนเดียวโดยไม่พูดกับใครเธอก็เผลอดื่มไปแล้วสิบแก้วและรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำอย่างเลี่ยงไม่ได้
นาตาชาใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำไม่นานนักแต่พอออกมาจากห้องน้ำเธอกลับพบกับคนที่ไม่น่าจะมาอยู่ตรงนี้
“ห้องน้ำชายอยู่ตรงนั้น” เธอคิดว่าเขาอาจจะหลงทางเลยช่วยชี้ให้
“ฉันรู้ว่าห้องน้ำชายอยู่ตรงไหน” มิเกลตอบสวนอย่างรวดเร็วก่อนจะถอนหายใจ “ทำไมเธอมาที่นี่”
“เลน่าชวน”
“เธอก็รู้ว่าเลน่าคือโซลเมทของฉันและรู้ว่าฉันจะมาที่นี่” มิเกลเอ่ยด้วยสีหน้าหนักใจ
นาตาชากะพริบตาปริบ เธอไม่รู้เรื่องทั้งสองอย่างอย่างที่เขาพูดเลย
“ขอโทษด้วยนะนาตาชาที่เมื่อเช้าฉันใจร้อนไปหน่อยเลยไม่ได้อธิบายมากกว่านี้” เขากล่าวอย่างลำบากใจ “ฉันขอให้เธออย่ามาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเราอีกได้ไหม”
“…” นาตาชาไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษอะไรกับพวกเขาและไม่คิดจะสานสัมพันธ์อะไรขนาดนั้น แต่พอถูกขับไล่ไสส่งต่อหน้าอย่างกะทันหันแบบนั้นจะให้ไม่รู้สึกอะไรเลยมันก็น่าโมโหอยู่เหมือนกัน
“เธอก็รู้ว่าฉันแอบรักเธอมานานแล้ว เธอจะมาจงใจปรากฏตัวต่อหน้าฉันเพื่อให้ฉันรู้สึกไขว้เขวแบบนี้ไม่ได้ ฉันเจอคู่โซลเมทของฉันแล้วเพราะงั้นฉันต้องการจะตัดความรู้สึกของฉันที่มีต่อเธอให้หมด กลับไปซะและอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก”
กล่าวเองเออเองจบก็เดินจากไปราวกับพระเอกตัดรักที่เจ็บช้ำ แต่ตั้งแต่ต้นจนจบคู่สนทนาของเขายังไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดทั้งหมดเลยด้วยซ้ำ
หมายความว่า…จะไม่เลี้ยงเหล้าเธอต่อแล้วเหรอ?
นาตาชาเศร้าใจ เธออยากดื่มต่อแต่ตอนนี้เธอควรเก็บเงินเพื่อหาห้องเช่าใหม่
เพราะไม่เป็นที่ต้อนรับนาตาชาก็เลยเดินลากขาออกมาจากไนต์คลับและแวะเข้าร้านสะดวกซื้อข้างๆ เพื่อซื้อน้ำผลไม้
“แค่ห้าเปอร์เซ็นต์เองเหรอ” นาตาชาพึมพำเสียดาย แต่ก็นั่งลงบนเก้าอี้หลังร้านสะดวกซื้อและยกน้ำผลไม้ผสมแอลกอฮอล์ห้าเปอร์เซ็นต์ขึ้นดื่ม
นาตาชาดื่มต่อไม่ใช่เพราะเธอต้องการเมาแต่อย่างใด เธอเป็นหนึ่งในคนที่ดื่มเท่าไหร่ก็ไม่เมาแต่กลับกันมันกลับทำให้สติของเธอแจ่มแจ้งกว่าเดิม ความจริงแล้วแม้ว่านาตาชาจะสรุปและยอมรับได้อย่างรวดเร็วว่าตัวเองย้อนเวลากลับมายังอดีตตั้งแต่วันแรก ไม่สิ ตั้งแต่สิบนาทีแรกของการย้อนเวลากลับมา แต่มันก็ยากที่จะสงบจิตสงบใจหรือเรียบเรียงความคิดได้
แต่ความสับสนของนาตาชาก็เริ่มสงบลงเมื่อแอลกอฮอล์แล่นอยู่ในสายเลือด
เธอไม่มีอะไรให้เสียใจมากนักจนอยากย้อนเวลากลับมาแก้ไขอดีต ไม่ได้มีความกระตือรือร้นอยากเปลี่ยนชีวิตที่เรียบง่ายของตัวเองให้รุ่งโรจน์เหมือนคนอื่น แต่ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงได้รับโอกาสย้อนเวลากลับมาเธอก็พร้อมที่จะรับมันไว้และพร้อมที่จะเดินไปยังเส้นทางที่แตกต่าง
ทันทีที่ตัดสินใจ เส้นทางแห่งอนาคตเส้นใหม่ของนาตาชาก็เหมือนจะเริ่มต้นขึ้นทันที
มันได้เริ่มขึ้นในขณะที่นาตาชากำลังเดินไปยังป้ายรถเมล์เพื่อเดินทางกลับบ้าน ทั้งที่ใกล้กับย่านท่องเที่ยวยามค่ำคืนแท้ๆ แต่ถนนที่นาตาชาเดินผ่านกลับไม่มีใครเดินผ่านมาเลยนอกจากเธอ นาตาชารับรู้ถึงสิ่งผิดปกติเมื่อพบว่ารอบตัวของเธอมันเงียบเกินไป
นาตาชาเดินตรงไปข้างหน้าขณะขมวดคิ้วอย่างสงสัยและเธอก็บังเอิญเหลือบไปเห็นกระดาษที่ขาดวิ่นที่ติดอยู่ตามกำแพง
[คำเตือนถึงหญิงสาวผู้งดงามยามค่ำคืนจงระวังปีศาจในคาบมนุษย์ใบหน้าของมันขาวซีด ดวงตาสีแดงก่ำสวมผ้าคลุมสีดำทมิฬก้าวเดินอย่างไร้เสียงราวกับภูตผีเมื่อพบเจอก็จงภาวนาต่อเทพแห่งดวงอาทิตย์เถิด!]
นาตาชามองคำเตือนบนกระดาษและเลื่อนสายตาไปมองข้างหน้า เธอหยุดชะงักฝีเท้าอย่างกะทันหันเมื่อเห็นร่างของใครบางคนยืนอยู่กลางถนนข้างหน้า คนคนนั้นสวมผ้าคลุมสีดำและก้มหน้าเดินเป็นจังหวะเนิบนาบ นาตาชาเงียบฟังเสียงแต่มันเงียบสนิท เธอไม่ได้ยินเสียงเดินเลย เพื่อยืนยันอีกรอบเธอจึงพยายามมองไปที่ใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมสีดำนั่น ซึ่งก็ดูเหมือนว่าคนคนนั้นจะรู้ตัวว่าเธอจ้องมองอยู่จึงเงยหน้าขึ้นมา
เป็นใบหน้าของชายหนุ่มแต่…ตาสีแดง
นี่เธอจะต้องภาวนาต่อเทพแห่งดวงอาทิตย์เหรอ?
ไม่เอาเส้นทางนี้สิ เธอเพิ่งย้อนกลับมาได้แค่วันเดียวเองนะ ถึงจะอยากใช้ชีวิตในเส้นทางที่แตกต่างจากชาติที่แล้ว แต่เธอไม่ได้หมายถึงเส้นทางที่น่าตื่นเต้นและเสี่ยงตายแบบนี้
แม้นาตาชาจะเป็นคนที่ความรู้สึกช้าและเฉยชาไปเสียหน่อยแต่เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายถึงชีวิตนาตาชาก็สามารถตื่นตัวได้เหมือนกัน นาตาชาไม่คิดจะภาวนาหาเทพเจ้าเพราะมันไม่ได้ช่วยอะไร เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรหาตำรวจในขณะเดียวกันก็รีบหมุนตัวเดินหนีกลับไปทางเดิม แต่ทันใดนั้นความรู้สึกเหมือนมีมีดมาทิ่มแทงหลังทำให้เธอรู้สึกกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นาตาชากำโทรศัพท์มือถือแน่นและตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ขาที่ก้าวไปข้างหน้าเริ่มช้าลงและหยุดเดินในที่สุด
นาตาชาแปลกใจตัวเอง เธอพยายามควบคุมตัวเองให้เดินหนีต่อไปแต่ร่างกายของเธอมันราวกับไม่ใช่ของเธอแล้ว เธอควบคุมไม่ได้
เฮือก!
ทันใดนั้นนาตาชาก็สะดุ้งเฮือกเมื่อบุคคลปริศนามายืนอยู่ข้างหน้าเธอโดยที่เธอไม่ทันได้รู้ตัว นาตาชารู้สึกหนาวจนขนลุกไปทั่วทั้งร่างกาย
ไม่เอาน่า ชีวิตใหม่ของเธอจะจบลงแบบนี้งั้นเหรอ
________
เส้นทางใหม่น่าตื่นเต้นเกินไป