หลังจากที่เห็นด้วยกับข้อเสนอของจิวฝูในเช้าวันต่อมา มี่อิงและเสี่ยวเผิงก็มุ่งหน้ามายังคฤหาสน์สกุลโจวทันที
มี่อิงค่อยๆ เลื่อนหน้าแหงนมองประตูไม้ที่สูงลิบลิ่วด้านหน้าคฤหาสน์ด้วยแววตาเป็นประกายแวววาว พลางครุ่นคิดในใจ คฤหาสน์หลังนี้ช่างใหญ่โตนัก สมแล้วที่ตระกูลนี้เป็นตระกูลเก่าแก่ มีชื่อเสียงมายาวนาน คุณชายที่นี่จะต้องเป็นขุนนางหรือไม่ก็เป็นคหบดีระดับสูงเป็นแน่
“มี่อิง...วันนี้ข้าขอให้สวรรค์ดลบันดาลให้คุณชายเลือกเจ้าเข้าไปเป็นสาวรับใช้" เสี่ยวเผิงเอ่ยพลางคว้ามือทั้งสองข้างของมี่อิงขึ้นมากุม
มี่อิงละสายตาจากประตูไม้ หันกายมาหาเสี่ยวเผิง "ขอบคุณเจ้านะเสี่ยวเผิง เจ้าน่ะ! ดีกับข้าเหลือเกิน"
"ไม่เป็นไรๆ สหายย่อมช่วยเหลือสหาย แต่...ข้ามีเรื่องบางอย่างจะเตือนเจ้า"
"เตือนอะไรข้างั้นหรือ"
"เจ้าจงจำเอาไว้...ถึงแม้สกุลโจวจะเป็นตระกูลเก่าแก่ร่ำรวย แต่คฤหาสน์หลังนี้ก็มีประวัติที่ไม่ชอบมาพากลอยู่ไม่น้อย"
มี่อิงขมวดคิ้วมุ่น เอ่ยถามด้วยความสงสัย "ประวัติอันใดหรือ"
"คฤหาสน์หลังนี้ เคยถูกไฟไหม้เมื่อสามปีก่อน ทำให้ฮูหยินกับนายท่านสิ้นใจเพราะโดนไฟคลอก หลังจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดได้ยินข่าวคราวของคุณชายตระกูลนี้อีกเลย มีข่าวลือว่าคุณชายเศร้าโศกเสียใจจนกลายเป็นบุคคลหยาบกระด้าง เป็นบุรุษในร่างปีศาจจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลา หากเจ้าถูกเลือกไป เจ้าก็ระวังตัวดี ๆ ล่ะมี่อิง” เสี่ยวเผิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม ทว่าความหมายนั้นช่างมีอานุภาพรุนแรงต่อจิตใจยิ่ง
มี่อิงหุบยิ้ม ใบหน้าพลันซีดขาวดุจกระดาษ นางรู้สึกเหมือนเป็นดั่งสัตว์เล็กที่กำลังเดินเข้าไปในถ้ำเพื่อเป็นอาหารอันโอชะของเสือตัวใหญ่
ไฉนข้าฟังแล้วรู้สึกชีวิตไม่ค่อยปลอดภัยเลยล่ะ!
"แล้วเหตุใดเจ้าถึงเพิ่งมาบอกข้ายามนี้! " มี่อิงโวยวายลั่น รู้สึกไม่เป็นธรรมหากต้องเสี่ยงชีวิตเข้าไป
"กะ ก็เจ้าไม่ถามข้านี่" เสี่ยวเผิงเอ่ยตอบพลางแสดงสีหน้าเลิ่กลั่ก
"หากคุณชายนั่นเกิดฆ่าข้าขึ้นมาจะทำอย่างไรเล่า"
“หากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เจ้าก็จงใช้วิชาตัวเบาของเจ้าหนีออกมาให้เร็วและมาหาข้าที่กระท่อม อีกอย่าง...ผู้ใดที่คุณชายโจวคัดเลือกให้เข้าไปรับใช้แล้ว ก็จะได้รับเบี้ยที่มากมาย มากพอที่เจ้าจะออกมาตั้งตัวได้เลยล่ะ เจ้าไม่อยากมีเงินทองมาสร้างเนื้อสร้างตัวหรอกหรือ” เสี่ยวเผิงพยายามเอ่ยปลอบใจ
มี่อิงพรูลมหายใจยาว ใบหน้าฉายความกังวล ตอบอย่างจนใจ "ก็อยากได้นะสิ…."
“พวกเจ้าเป็นใคร! ”
สุ้มเสียงเคร่งขึมทรงพลังของหญิงชราผู้หนึ่งเอ่ยดังขึ้น
มี่อิงและเสี่ยวเผิงรีบก้มศีรษะ หันกาย เดินเข้าไปหาหญิงชราผู้นั้น ก่อนที่เสี่ยวเผิงจะเอ่ยตอบขึ้นว่า “สหายข้าจะมาสมัครเป็นสาวรับใช้เจ้าค่ะ”
มี่อิงหันขวับมองเสี่ยวเผิงด้วยสีหน้าตกใจ “เสี่ยวเผิง! เจ้าไม่ให้เวลาข้าคิดก่อนหรือ”
“เจ้ามาถึงนี่แล้ว เจ้าจะให้ข้าเชื่อได้อย่างไร...ว่าเจ้าไม่อยากทำงานที่นี่”
“แต่ข้ากลัวตายนี่”
“เพื่อเบี้ย! เจ้าจำเอาไว้”
“เสี่ยวเผิง!! ”
หญิงชราปลายตามมองมี่อิงและเสี่ยวเผิงพูดคุยซุบซิบกันด้วยความสงสัย "พวกเจ้าพึมพำอะไรกัน! สรุปแล้ว...ผู้ใดจะเข้ามาสมัครเป็นคนรับใช้ของที่นี่กันแน่"
“สหายข้า...มี่อิงเจ้าค่ะ” เสี่ยวเผิงเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่น พลางใช้มือผลักกายของมี่อิงดันไปข้างหน้าจนสุดมือ
นัยน์ตาสีอำพันของมี่อิงเปี่ยมไปด้วยความลังเลใจ นางก้มหน้า รวบรวมสติ นึกคิดในใจ เอาอย่างไรดี...ข้าควรวิ่งหนีไปจากที่นี่ตอนนี้หรือว่าควรลองเสี่ยงดูสักตั้งกันนะ?
แต่มาคิด ๆ ดูแล้ว คุณชายผู้นี้คงมีคุณธรรมอยู่บ้าง คงไม่ได้ฆ่าคนตายโดยไร้เหตุผลหรอกกระมัง หากมีคนรับใช้ตายยกจวนค่อยว่าไปอย่าง!
"เจ้ายืนนิ่งคิดอะไรอยู่ ตกลงแล้วเจ้าใช่หรือไม่...ที่จะมาสมัครเป็นสาวใช้ในเรือนคุณชาย"
"ขะ ข้าเองเจ้าค่ะ" มี่อิงปิดตา รวบรวมความกล้าโพล่งตอบออกมาเสียงดัง
ถึงแม้จะรู้สึกกลัว แต่ในอีกใจหนึ่งก็รู้สึกโล่งเมื่อได้ตัดสินใจเลือกทางใดทางหนึ่งออกไปเช่นนั้น
“เช่นนั้นก็ตามข้าเข้ามา” เอ่ยจบ หญิงชราผู้นั้นก็เชิดศีรษะชูคอเดินก้าวฉับ ๆ นำมี่อิงเข้าไปด้านในคฤหาสน์เร็วไว
มี่อิงหันหน้าสบตาเสี่ยวเผิงหนึ่งครั้งด้วยใบหน้าสลด ก่อนที่จะเดินตามหญิงชราผู้นั้นเข้าไป
เมื่อก้าวเท้าผ่านประตูชั้นใน มี่อิงก็ตกอยู่ในห้วงแห่งความงดงามของคฤหาสน์หลังนี้ดั่งต้องมนตรา
สวรรค์! งดงามเหลือเกิน แบบนี้น่ะหรือ...คฤหาสน์ของคุณชายปีศาจ คงเป็นแค่ข่าวลือน่ะสิไม่ว่า
ดวงตาสีดำอำพันของมี่อิงกวาดมองความงดงามภายในเคหาสน์หลังนี้อย่างลุ่มหลง
เรือนไม้สูงเด่นงามสง่าหลายหลังตั้งเป็นเรือนสี่ประสาน ล้อมลานทั้งสี่ทิศ
เรือนประธานตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจวน มีศาลากลางน้ำ ระเบียงวนและสวนดอกไม้แยกอีกต่างหากทางด้านหลัง
มี่อิงรับรู้ถึงความเป็นชนชั้นสูง อย่างที่นางไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้นางรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ แต่กลับรู้สึกฮึกเหิมเสียมากกว่าว่านางจะต้องร่ำรวยแบบนี้ให้จนได้
หญิงชราเดินนำมี่อิงลัดเลาะไปตามทางเดินยาวพื้นหินขัดที่ปูเอาไว้อย่างเป็นสัดส่วน
เดินไปได้ครู่หนึ่ง…ก็ถึง เรือนจ้วนสือ เรือนพักของคุณชายใหญ่โจวในที่สุด
หญิงชราชะงักเท้าพลางเอ่ยกับมี่อิงว่า "ถึงแล้ว...ข้าจะไปรายงานคุณชายว่าเจ้าจะมาสมัครเป็นคนรับใช้ของที่นี่"
"เจ้าค่ะ"
หลังจากนั้น หญิงชราก็เดินเข้าไปในเรือนจ้วนสือและเดินออกมาภายในเวลาไม่นาน "คุณชายให้เจ้าเข้าไปได้"
"เจ้าค่ะ" มี่อิงพยักหน้าเอ่ยตอบรับ ก้าวเท้าเดินเข้าไปในเรือนด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม
มือเรียวสวยขาวกระจ่างค่อย ๆ ผลักประตูเข้าไปด้านในเรือนอย่างเชื่องช้า
ภายในเรือนจ้วนสือมืดมนเหมือนดั่งเรือนผีสิงอย่างไรอย่างนั้น มีเพียงแสงไฟสลัวจากตะเกียงที่ตั้งวางอยู่หลายจุด ทำให้มองเห็นทางเดิน แต่ก็ไม่อาจสลัดความรู้สึกวังเวงภายในจิตใจได้อยู่ดี
มี่อิงปิดประตูเบามือและย่างเท้าเดินตรงไปด้านในด้วยความรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย
แต่เมื่อเดินเข้าไปเรื่อย ๆ สิ่งแรกที่สะท้อนเข้าสู่ดวงตาของนางคือ ความแวววาวของแก้ว แจกันและของตกแต่งมากมายที่วางเรียงรายกันอยู่บนชั้นวาง
มี่อิงกวาดสายตาเจือประกายมองของประดับเหล่านั้น พลางนึกขำ ๆ ในใจว่า แก้ว แจกันสวย ๆ มีราคาทั้งนั้น หากข้านำออกไปขาย คงจะได้เงินหลายตำลึงเป็นแน่
แล้วก็ต้องหลุดจากภวังค์เพราะเสียงทุ้มเข้มหนึ่งดังขึ้น "เจ้าเข้ามาแล้วหรือ…"
มี่อิงสะดุ้งโหยง กวาดสายตามองไปรอบๆ เรือน แล้วก็พบว่าเสียงนั้นมาจาก ชายหนุ่มผู้หนึ่งที่กำลังหันหลังอยู่ด้านหลังม่านโปร่ง
ด้วยสัญชาตญาณ มี่อิงพอจะคาดเดาได้ว่า ชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้าจะต้องเป็นคุณชายใหญ่ของเรือนแห่งนี้เป็นแน่ นางจึงค่อย ๆ ก้มกายนอบน้อม เดินเข้าไปหาอย่างเนิบช้า "เจ้าค่ะ เข้ามาแล้วเจ้าค่ะ"
บรรยากาศเงียบงันฉับพลันไปครู่หนึ่ง ก่อนที่คุณชายโจวจะเอ่ยต่อ "เจ้าเป็นใคร"
"ข้ามีนามว่า..จางมี่อิง เจ้าค่ะ" มี่อิงก้มหน้า หลุบตาเอ่ย
"จางมี่อิงหรือ…" สิ้นเสียง ชายหนุ่มก็ค่อย ๆ หันกายมาหามี่อิงอย่างช้า ๆ
โจวเฟิ่งเจี๋ย ยามนี้สวมชุดคลุมยาวสีดำดุจม่านเข้ม บนใบหน้าอันคมคายนั้นเปลือยเปล่าไร้ผ้าปิดตาใดปรากฏอยู่ แสงไฟสลัวจากตะเกียงสะท้อนให้เห็นเงาสีดำของสันจมูกที่โด่งสวยรับกับริมฝีปากไม่สูงต่ำหรือเชิดรั้น
มี่อิงสัมผัสได้ถึงรังสีบางอย่างที่ออกมาจากตัวของเฟิ่งเจี๋ย รังสีนั้นดูน่าเกรงขาม มืดครึ้มประดุจสายหมอกที่มาพร้อมกับพายุฝน แต่กลับมีเสน่ห์ดึงดูดได้อย่างน่าประหลาดใจ
"เจ้าดูไม่น่าไว้วางใจนัก" เฟิ่งเจี๋ยเอ่ยเสียงเรียบ
"พะ เพราะเหตุใดกันเจ้าคะ"
"จงบอกข้า...ความหมายของชื่อเจ้าว่าแปลว่าอะไร"
"ดอกไม้ลึกลับเจ้าค่ะ"
"ชื่อของเจ้าดูไม่เป็นมงคลนัก"
สวรรค์! คุณชายผู้นี้กำลังจะบอกว่าชื่อข้าอัปมงคลอย่างนั้นหรือ?
มี่อิงเอ่ยสวนตอบอย่างว่องไว "ชื่อนี้...ครอบครัวตั้งให้ข้า คงไม่มีนัยอันใดแอบแฝงเจ้าค่ะ"
"แต่ข้ารู้สึกเหมือน...ข้ากำลังจะรับโจรเข้าจวนอย่างไรอย่างนั้น"
ดวงตากลมสวยเบิกกว้างโตด้วยความตกใจ แม่เจ้า! รู้แค่ชื่อแซ่...คุณชายผู้นี้ก็สามารถมองข้าได้อย่างทะลุปรุโปร่งเลยหรือ รู้ได้อย่างไรกันว่าข้าเคยเป็นโจรมาก่อน?
"ไฉนเจ้าถึงอยากมาเป็นคนรับใช้ของที่นี่" เฟิ่งเจี๋ยเอ่ยซักถามต่อ
"เอ่อ คือ…เพราะจะต้องหาเงินไปเลี้ยงดูครอบครัวเจ้าค่ะ"
“งั้นหรือ...แล้วครอบครัวเจ้าทำอะไร”
“ครอบครัวไม่มีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่งเจ้าค่ะ มี่อิงอยู่ด้วยกันเพียงสองคนกับท่านย่าที่แก่ชรามากแล้ว หากได้ทำงานที่นี่ ค่าแรงจากคุณชาย มี่อิงจะเอาไปดูแลท่านย่าเจ้าค่ะ”
แล้วบรรยากาศก็เงียบงันอีกเป็นครั้งที่ สอง…
น้ำเสียงและถ้อยคำที่ถ่ายทอดผ่านคำตอบของมี่อิงแฝงไปด้วยความเจ็บปวดและความหวังอยู่เบื้องลึก จนเฟิ่งเจี๋ยรับรู้ถึงความรู้สึกนั้นจนถึงขั้วของหัวใจ
"ตอนนี้หน้าต่างทุกบานเปิดอยู่ใช่หรือไม่" เฟิ่งเจี๋ยกะพริบตาเชื่องช้าเอ่ยถาม
มี่อิงกวาดสายตามองหน้าต่างรอบ ๆ ห้อง ก่อนจะเอ่ยตอบอย่างงุนงง "ใช่เจ้าค่ะ"
"ยามนี้...ท้องฟ้าโปร่งใสหรือมืดครึ้ม"
มี่อิงขมวดคิ้วเริ่มประหลาดใจ คุณชายผู้นี้กำลังทดสอบอะไรข้าอยู่หรือไม่นะ...ไฉนถึงถามคำถามที่ดูเหมือนจะง่าย แต่มันดูง่ายดายเสียจนเกินไป แค่ถามสภาพอากาศแค่นั้นหรือ?
หน้าผากของมี่อิงเริ่มมีเม็ดเหงื่อไหลลงมาตามแนวแก้มอันขาวกระจ่าง ด้วยระยะเวลาที่บีบคั้น นางจึงตัดสินใจโพล่งเอ่ยตอบไปตามความจริง "ท้องฟ้าโปร่งใสเจ้าค่ะ"
"แล้วเจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับตัวข้าบ้างหรือไม่"
"รู้มาบ้างเจ้าค่ะ"
"ข้าเป็นใคร"
"เป็นคุณชายแห่งสกุลโจวเจ้าค่ะ"
"แล้วเจ้ารู้วิธีปฏิบัติต่อผู้พิการเช่นข้าหรือไม่"
วะ ว่าอย่างไรนะ! คุณชายเป็นผู้พิการหรือ...นี่ข้าหูฝาดไปหรือไม่?
มี่อิงเคลื่อนสายตาสำรวจมองเฟิ่งเจี๋ยตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า จะเป็นไปได้อย่างไร! ก็ในเมื่อข้ายังเห็นคุณชายผู้นี้ปกติดีทุกอย่าง
"ที่เจ้าเงียบ เพราะเจ้าไม่รู้ใช่หรือไม่...ว่าข้าพิการอย่างไร"
คิ้วของมี่อิงขดพันกันแน่น ครุ่นคิดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จากที่สังเกตเมื่อครู่ คุณชายโจวถามข้าเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่ควรถาม อย่างหน้าต่างเปิดอยู่หรือไม่? ข้างนอกมีท้องฟ้าโปร่งใสหรือมืดครึ้ม? นั่นก็หมายความว่า คุณชายโจวไม่เห็นจริง ๆ ไม่ใช่ถามส่ง ๆ ไปอย่างนั้น
ใช่! ต้องใช่แน่ ๆ คุณชายโจวจะต้องพิการทางสายตาเป็นแน่!
มี่อิงลอบยิ้มในใจเมื่อรู้เช่นนั้น หากคุณชายโจวมองไม่เห็นจริง ๆ ก็ไม่มีเหตุผลที่ข้าจะต้องกลัวคุณชายผู้นี้มาฆ่าไม่ใช่หรือ หากสื่อสารกันดี ๆ น่าจะคุยกันราบรื่น อีกอย่างหากข้าแอบอู้งานคุณชายก็คงไม่รู้เป็นแน่
สิ้นสุดความคิด นางก็ลุกขึ้นยืน ยื่นมืออันเรียวสวยพัดโบกไปมาที่บริเวณดวงตาของเฟิ่งเจี๋ยเพื่อทดสอบว่าเขามองไม่เห็นจริงหรือไม่
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง…
เพราะในขณะที่มือของมี่อิงกำลังกวัดแกว่งโบกไปมาอยู่นั้น ดวงตาสีดำเข้มดุจรัตติกาลของเฟิ่งเจี๋ยกลับยังคงทอดมองนิ่งไปยังเบื้องหน้า ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดหรือแม้แต่จะมีท่าทีต่อว่าออกมาเลยแม้แต่น้อย
"เจ้าจะตอบข้าได้หรือยัง...ว่าข้าพิการอย่างไร"
มี่อิงชักมือออก คลี่ยิ้มตอบอย่างมีเลศนัย "คุณชายพิการทางสายตาใช่หรือไม่เจ้าคะ"
"ใช่...ข้าตาบอด" เฟิ่งเจี๋ยเอ่ยเสียงเรียบ "แล้วเจ้าจะดูแลข้าอย่างไร"
"มี่อิงจะดูแลรับใช้คุณชาย เปรียบเสมือนเป็นดวงตาอีกคู่หนึ่งของคุณชายเลยเจ้าค่ะ"
เอ่ยจบ มี่อิงก็เดินเข้าไปยืนจ้องใบหน้าของเฟิ่งเจี๋ย แล้วเลิกคิ้วขึ้นลง เล่นหูเล่นตา เสมือนว่ากำลังหยอกเย้าเล่นกับหุ่นไม้ไร้ชีวิตอย่างไรอย่างนั้น
เฟิ่งเจี๋ยกระแอมไอในลำคอขัดจังหวะ ก่อนจะเอ่ยต่อ "เช่นนั้น...เจ้าจงไปเก็บข้าวของ เข้ามาอยู่ในเรือนคนรับใช้ได้ วันพรุ่งนี้เจ้าค่อยเริ่มทำงานเป็นคนรับใช้ประจำตัวข้า"
"ขอบคุณเจ้าค่ะคุณชาย" มี่อิงฉีกยิ้มกว้าง กระโดดโหยงดั่งลิงโลด ทำท่าทางกรีดร้องไร้เสียงด้วยความดีใจ
ในที่สุด...เบี้ยก้อนโต ก็จะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมของข้าแล้ว