เช้าตรู่วันหนึ่ง ขณะที่หมอกบางๆ ยังคลุมทั่วบริเวณ ลานดินใต้ต้นไม้ใหญ่กลายเป็นสถานที่ฝึกซ้อมชั่วคราวของหลิงฮวาและหย่งหมิง หย่งหมิงยื่นดาบเล่มเล็กที่มีน้ำหนักเบากว่าปกติให้หลิงฮวา
“จับให้มั่น” หย่งหมิงพูดพร้อมกับเดินไปอยู่ด้านหลังของหลิงฮวา มือของเขาวางลงบนมือของเธอเพื่อปรับท่าจับดาบ “ถ้าเจ้าไม่ระวัง ดาบอาจหลุดมือได้ง่าย”
หลิงฮวาพยักหน้า ตั้งสมาธิเต็มที่ เธอพยายามเคลื่อนไหวตามคำแนะนำของหย่งหมิง ทั้งการก้าวเท้าและการเหวี่ยงดาบที่เขาสอน หย่งหมิงมองเธอด้วยความประหลาดใจ
“เจ้าเรียนรู้ได้เร็ว” เขากล่าวพลางยิ้ม “ดูเหมือนเจ้าจะไม่ใช่แค่หญิงสาวที่อาศัยอยู่ในป่าตามที่เจ้าว่ามา”
หลิงฮวายิ้มตอบ “ข้าอาจจะเติบโตในป่า แต่ข้าก็ต้องรู้จักปกป้องตัวเองเช่นกัน”
การฝึกซ้อมดำเนินไปจนเหงื่อเริ่มซึมทั่วตัวหลิงฮวา แม้เหนื่อยแต่เธอไม่ยอมแพ้ หย่งหมิงมองดูด้วยความชื่นชม นึกสงสัยในใจว่าความมุ่งมั่นของเธอมาจากไหน
---
หลังการฝึกซ้อมในตอนเช้า หลิงฮวานั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ขณะที่หย่งหมิงนั่งลงข้างเธอพร้อมกระบอกน้ำในมือ เขายื่นให้เธอ “ดื่มซะ เจ้าต้องการพลัง”
หลิงฮวารับน้ำมาดื่มก่อนจะกล่าวขอบคุณ เสียงน้ำตกใกล้ๆ ทำให้บรรยากาศรอบตัวสงบขึ้น
“ข้ารู้ว่าเจ้ามีความกล้าและความพยายาม” หย่งหมิงพูดขึ้น “มันทำให้ข้าหวนคิดถึงใครบางคน...คนรักของข้า”
หลิงฮวาเหลือบตามองเขา เห็นความเศร้าในแววตาขององค์ชาย
“นางเสียชีวิตในสงครามที่ผ่านมา” เสียงของเขาอ่อนลง “นางเป็นคนที่กล้าหาญมาก ไม่ต่างจากเจ้าเลย นางไม่เคยกลัวอะไร แม้แต่ความตาย”
หลิงฮวานิ่งเงียบ ฟังคำพูดของเขาด้วยความเข้าใจ นางสัมผัสได้ถึงน้ำหนักในเสียงของหย่งหมิง น้ำหนักที่เต็มไปด้วยความอาลัยและความรักที่ไม่อาจลืมเลือน
“บางครั้ง ข้าก็ถามตัวเองว่าถ้าข้าปกป้องนางได้ดีกว่านี้ นางอาจจะยังมีชีวิตอยู่...”
หลิงฮวามองหย่งหมิง น้ำเสียงของเขาทำให้นางรู้ว่าเขายังคงโทษตัวเอง
“องค์ชาย...ข้าคิดว่าความรักที่ท่านมีต่อนางคงทำให้นางจากไปอย่างมีความสุขแล้ว”
คำพูดนั้นทำให้หย่งหมิงยิ้มเศร้าๆ “ขอบใจเจ้าที่พูดเช่นนั้น บางทีเจ้าอาจพูดถูก”
---
การเดินทางยังคงดำเนินต่อไป แต่ครั้งนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างหลิงฮวาและหย่งหมิงเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย หย่งหมิงไม่เพียงแค่มองหลิงฮวาเป็นหญิงสาวธรรมดาอีกต่อไป แต่เขาเริ่มเห็นเธอในแง่มุมที่น่าสนใจและซับซ้อนยิ่งขึ้น
หลิงฮวาเองก็รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงนี้ แม้ว่าเธอจะรู้สึกอบอุ่นใจเมื่ออยู่ใกล้หย่งหมิง แต่เธอยังคงไม่ลืมความรับผิดชอบของตัวเอง
ในค่ำคืนหนึ่ง เมื่อหย่งหมิงชวนเธอนั่งคุยใต้แสงดาว หลิงฮวาพูดถึงยายของเธอ
“ข้ารู้ว่าท่านต้องการให้ข้าช่วยเจ้า แต่ข้ามียายที่รออยู่ที่บ้าน ข้าไม่สามารถละเลยเธอได้”
หย่งหมิงนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “ข้าเข้าใจ เจ้ากำลังทำสิ่งที่ถูกต้อง”
---
ในคืนหนึ่งที่จันทร์เต็มดวง อู๋เฟิงหลินเดินไปยังที่นั่งของหย่งหมิงและหลิงฮวา เขามองดูทั้งสองคนนั่งคุยกันใต้แสงจันทร์ด้วยสายตาที่ครุ่นคิด
“องค์ชาย” เขาเอ่ยขึ้น “มีบางสิ่งที่ข้าอยากจะเตือน”
หย่งหมิงหันมามองเขา “ว่าอย่างไร เฟิงหลิน?”
เฟิงหลินถอนหายใจ “แสงจันทร์เต็มดวงเช่นนี้นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลง เมื่อมันปรากฏอีกครั้ง ชะตากรรมของท่านและนางจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”
หลิงฮวามองเฟิงหลินด้วยความสับสน “ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
“ข้าไม่อาจบอกได้ว่ามันจะเป็นสิ่งดีหรือร้าย แต่เจ้าทั้งสองต้องเตรียมใจรับมือกับมัน หลิงฮวา เจ้าจะต้องเลือกทางที่ยากลำบาก และอาจไม่มีทางหันหลังกลับ”
คำพูดนั้นทำให้บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด หลิงฮวารู้สึกถึงน้ำหนักในคำพูดของเฟิงหลิน ขณะที่หย่งหมิงเองก็เริ่มสงสัยว่าโชคชะตากำลังนำพาเขาและหลิงฮวาไปสู่สิ่งใด