บทที่ 2.1 ถ้าเป็นอาจารย์ของตัวร้าย ระบบมีเงินให้โปรยเล่น

4208 Words
บทที่ 2.1 ถ้าเป็นอาจารย์ของตัวร้าย ระบบมีเงินให้โปรยเล่น ฟางเซียนถูกพาออกจากป่าโดยชายหนุ่มผู้มาพร้อมกับฝูงอสูรหมูป่าที่มีนามว่า ฮุ่ยหวง เขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายเซียนจากสำนักเซียน เฉิน ซึ่งได้รับภารกิจให้มาจัดการฝูงอสูรหมูป่าที่ออกมาสร้างความวุ่นวายให้กับชาวบ้านในช่วงนี้ แต่เนื่องจากว่าพวกมันมีจำนวนมากเกินไปเขาจึงใช้วิธีไล่ต้อนให้พวกมันกลับเข้าป่าแทนการกำจัดและในระหว่างปฏิบัติภารกิจเขาก็ได้บังเอิญผ่านมาพบฟางเซียนเข้าพอดีนั่นเอง แม้ว่าฟางเซียนจะไม่ได้ถูกหมูป่าทำร้ายแต่ฮุ่ยหวงก็รู้สึกผิดที่ทำให้ฟางเซียนตกอยู่ในอันตราย ยิ่งพอได้เห็นบาดแผลตามตัวของฟางเซียนแล้วเขาก็ไม่ลังเลที่จะอาสาพาฟางเซียนออกจากป่าโดยไม่คิดที่จะถามความคิดเห็นของฟางเซียนสักคำ แต่ถึงจะถามไปฟางเซียนก็คงตอบไม่ได้เนื่องจากว่านางกำลังตกอยู่ในอาการช็อกหลังจากได้รู้ว่าโชครอดตายของตัวเองมีมากมายเหลือเกิน แต่เมื่อฮุ่ยหวงเห็นอาการของฟางเซียนดังนั้นเขากลับเข้าใจผิดไปว่าฟางเซียนกำลังตกใจกลัวฝูงหมูป่า เขารู้สึกเป็นห่วงมากว่าฟางเซียนจะบาดเจ็บสาหัสทางจิตใจเขาจึงตัดสินใจเสียมารยาทอุ้มฟางเซียนออกจากป่าเพื่อไปรวมตัวกับพี่น้องของเขาโดยเร็ว นอกชายป่ามีน้องชายทั้งสองคนของฮุ่ยหวงยืนรออยู่ก่อนแล้ว “พี่ใหญ่ นางคือ...?” ฮุ่ยเหอ บุตรชายคนรองของสกุลฮุ่ยเอ่ยถามพี่ชายคนโตพลางเหล่ตามองฟางเซียนด้วยสายตาติดใจสงสัย “แย่แล้วล่ะพี่รอง พี่ใหญ่แอบไปลักพาตัวแม่นางน้อยของบ้านอื่นมาล่ะ” ฮุ่ยหลิง บุตรชายคนเล็กของสกุลฮุ่ยหันไปกระซิบกับฮุ่ยเหอด้วยสีหน้าตื่นตกใจ “ข้าจะไปฟ้องท่านอาจารย์” ฮุ่ยเหอยอมเล่นไปกับน้องชายคนเล็ก “ข้าจะไปฟ้องท่านอาจารย์ด้วย!พี่ใหญ่ต้องถูกดุอย่างหนักแน่” ฮุ่ยหลิงหัวเราะคิกคัก “เฮ้อ ข้าไม่ได้ลักพาตัวนางเสียหน่อย” ฮุ่ยหวงถอนหายใจพลางส่ายหัวเหนื่อยใจกับน้องชายทั้งสองที่เล่นอะไรไร้สาระ “ข้าพบนางในป่าและเกือบทำให้นางถูกอสูรหมูป่าทำร้าย ข้าคาดว่านางน่าจะหลงป่าเพราะเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล” น้ำเสียงเป็นกังวลของพี่ชายทำให้พวกเขาสำรวจร่างกายของฟางเซียนอย่างละเอียด พวกเขาจึงพบว่าแม่นางน้อยที่พี่ชายพามาด้วยมีบาดแผลเต็มตัว “ไยเจ้าถึงได้ไปอยู่ในป่าได้เล่า?” ฮุ่ยหลิงถามฟางเซียนด้วยความสงสัย ฟางเซียนเหลือบสายตามองคนถามอย่างหมดอาลัยตายอยากก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองทางอื่นพร้อมถอนหายใจสิ้นหวัง นางรู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะอ้าปากตอบคำถาม สามพี่น้องฮุ่ยเห็นสายตาเช่นนั้นก็รู้สึกสะเทือนใจเพราะพวกเขารู้จักสายตาเช่นนี้ดี... “แววตาเช่นนั้น...เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อหรือ!?” คำถามเถรตรงของฮุ่ยหลิงทำเอาพี่ชายทั้งสองหันหน้าขวับไปมองอย่างห้ามปรามทันที แต่มีหรือที่น้องเล็กจะสนใจ เขาทำหน้าหงิกงอและจ้องมองฟางเซียนอย่างมุ่งมั่นที่จะเอาคำตอบ ฟางเซียนแปลกใจเล็กน้อยที่ถูกถามอย่างเถรตรงเช่นนี้ นางจึงตอบไปอย่างเถรตรงเช่นกันว่า “ใช่” สามพี่น้องทำหน้าสลดใจอย่างพร้อมเพรียง “ครอบครัวเจ้าอยู่ที่ใด?ไยเจ้าจึงได้คิดฆ่าตัวตาย” ฮุ่ยหวงกล่าวถามอย่างเป็นกังวลด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คิ้วของฟางเซียนขมวดเมื่อนึกถึงพ่อแม่ที่ทิ้งนางและน้องสาวไป นางยิ้มเย้ยหยันกับตัวเอง “คนพวกนั้นไม่นับว่าเป็นครอบครัวหรอก คนที่ทิ้งฉันและน้องสาวไป” [กรุณาใช้คำอย่างเหมาะสมกับยุคสมัยด้วยครับ อย่างเช่นแทนตัวเองว่า ข้า และแทนตัวคนอื่นว่า เจ้า] ระบบห้ามฆ่าตัวตายเอ่ยเตือน ฟางเซียนกลอกตามองบน “เจ้าถูกทอดทิ้งรึ?แล้วน้องสาวของเจ้าเล่า?” ฮุ่ยหวงถามต่อด้วยสีหน้าสลดมากกว่าเดิม “...ไม่มีชีวิตอยู่แล้ว” ฟางเซียนตอบเสียงเบา นางแสดงสีหน้าเสียใจออกมาอย่างไม่รู้ตัว พวกเขารู้สึกสะเทือนใจมากกว่าเดิมเมื่อจินตนาการภาพของหญิงสาวสองคนที่ไม่สามารถปกป้องดูแลตัวเองได้ถูกพ่อแม่ขับไล่ออกจากบ้านจนต้องออกมาเผชิญหน้ากับโลกภายนอกอันโหดร้าย และความเศร้าของพวกเขาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อนึกถึงความรู้สึกของฟางเซียนที่ต้องสูญเสียน้องสาวคนสำคัญไป มันคงเป็นความรู้สึกเจ็บปวดไม่น้อยนางถึงได้สิ้นหวังและไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ พวกเขาคล้ายจะสามารถเข้าใจความรู้สึกของฟางเซียนได้อย่างดีเพราะพวกเขาเหลือกันอยู่แค่พี่น้อง เมื่อนานมาแล้วพวกเขาได้สูญเสียบิดาไปอย่างกะทันหัน มารดาอ่อนแอและไม่มีกำลังพอที่จะดูแลพวกเขาเหล่าพี่น้องจึงได้ตัดสินใจจบชีวิตของตัวเอง เพราะเช่นนี้เองพวกเขาถึงเข้าใจสายตาของฟางเซียน “ข้าจะช่วยเหลือเจ้า” ฮุ่ยเหอตัดสินใจพูดออกมาก่อนฮุ่ยหวงและฮุ่ยหลิง “พี่รองแย่งข้าพูดก่อนได้อย่างไรขอรับ!” ฮุ่ยหลิงงอแงก่อนจะหันมามองฟางเซียนด้วยสายตามุ่งมั่นและจริงจัง “หากตายแล้วเจ้าจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกนะ เพราะงั้นเปลี่ยนใจเถอะ! พวกข้าจะคอยช่วยเหลือเจ้าเอง!” ฟางเซียนเบะปากรังเกียจข้อเสนอของพวกเขา นางอยากตาย!ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือสักหน่อย! “ในเมื่อพวกเจ้าตัดสินใจเช่นนั้น ข้าก็เห็นด้วยเช่นกัน เรามาช่วยเหลือแม่นางผู้นี้กันเถอะ” ฮุ่ยหวงยิ้มอ่อนโยน สีหน้าของฟางเซียนดำมืด พวกเขาไม่มองสีหน้ารังเกียจของนางแม้แต่น้อย “ข้ามีนามว่า หวง แซ่ ฮุ่ย และนี่คือน้องชายคนรองของข้า ฮุ่ยเหอ และน้องชายคนเล็ก ฮุ่ยหลิง แล้วแม่นางเล่าชื่อแซ่ว่าอันใด?” ฮุ่ยหวงเอ่ยถามหญิงสาวในอ้อมแขนอย่างสุภาพและเป็นมิตร แต่ฟางเซียนไม่ยอมเป็นมิตรด้วย “ปล่อยข้าลง!” ฟางเซียนเริ่มดิ้นและโวยวายหวังให้ฮุ่ยหวงปล่อยนางลง แต่เขาก็ยังคงอุ้มนางอีกทั้งยังกระชับอ้อมแขนแน่นมากขึ้น “เท้าของเจ้ามีแผล คงไม่เป็นการดีหากให้เจ้าเดินด้วยตัวเอง” ฮุ่ยหวงยังคงยิ้มอ่อนโยนดั่งเช่นสุภาพบุรุษหน้าหยกพึงมี ฟางเซียนไม่มีแรงดิ้นรนต่อ ไม่ใช่เพราะรอยยิ้มของฮุ่ยหวงหรอกนะแต่เป็นเพราะว่านางเหนื่อยและรู้สึกปวดหัวมากต่างหาก! จะว่าไปตั้งแต่นางเริ่มคิดฆ่าตัวตายนางก็แตะอาหารน้อยลงจนแทบจะเรียกได้ว่าไม่แตะต้องเลย ส่วนเรื่องนอนหากไม่นับตอนสลบไปนางก็แทบไม่ได้นอนเลย ร่างกายมนุษย์ธรรมดาของนางจึงใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว “ก่อนอื่นเราควรพานางไปรักษาและหาซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้กับนาง” ฮุ่ยเหอกล่าว ซึ่งพี่น้องของเขาก็เห็นด้วยเพราะถึงแม้บาดแผลของฟางเซียนจะดูเล็กน้อยแต่หากติดเชื้อมนุษย์ธรรมดาคงไม่สามารถรอดชีวิตได้และที่สำคัญคือชุดที่ฟางเซียนสวมใส่มันเป็นเสื้อผ้ารูปทรงแปลกประหลาดและเผยผิวของหญิงสาวมากเกินไป พวกเขาเป็นกังวลว่าหากปล่อยไว้เช่นนี้ฟางเซียนอาจจะถูกฉุดโดยชายชั่วสักคนเป็นแน่ แม้จะอยู่ในสภาพทรุดโทรมความงามของฟางเซียนก็ยังปรากฏให้เห็น สามพี่น้องฮุ่ยได้พาฟางเซียนไปยังโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมืองใกล้เคียง พวกเขาได้สั่งให้เสี่ยวเอ้อของโรงเตี๊ยมอาบน้ำแต่งตัวให้ฟางเซียนและดูแลนางอย่างดีเพราะพวกเขากลัวว่าฟางเซียนจะฆ่าตัวตายในห้องอาบน้ำที่พวกเขาเข้าไปดูแลไม่ถึง แต่ดูเหมือนว่าฟางเซียนจะไม่ยินยอมทำตามที่พวกเขาบอกสักเท่าไหร่นัก นางขัดขืนและมีท่าทีรำคาญตลอดเวลา สุดท้ายแล้วกว่าจะบังคับให้ฟางเซียนอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้สำเร็จเสี่ยวเอ้อก็ถึงกับหมดแรงไปตามๆ กัน ฟางเซียนพ่นหายใจอย่างหงุดหงิดไม่มีความรู้สึกผิดที่ทำให้คนอื่นเหนื่อย ก็นางไม่ได้ขอให้ทำเสียหน่อย แต่ที่น่าหงุดหงิดกว่าก็คือสามพี่น้องฮุ่ยที่ยังไม่ยอมเลิกยุ่งกับนางสักที ตอนนี้พวกเขาก็กำลังหว่านล้อมให้นางกินข้าวอย่างสุดความสามารถทั้งที่มันไม่เกี่ยวกับพวกเขาเลยสักนิดว่านางจะกินหรือไม่ ฟางเซียนดื้อรั้นไม่ยอมกินอาหารเพราะนางหวังให้ตัวเองอดตายไปเลย พวกเขาสามพี่น้องจึงมีสีหน้ากังวลอย่างมาก เห็นหน้าตาบูดบึ้งของฟางเซียนแล้วทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนกับว่ากำลังบังคับเด็กเล็กให้กินอาหารไม่มีผิด ระบบห้ามฆ่าตัวตายจึงออกโรงเอง [หากคุณทานคำหนึ่งผมจะให้แต้มลบ 10 แต้ม!] ระบบห้ามฆ่าตัวตายกล่าว “แต้มเฮงซวยอะไรของแก” ฟางเซียนสบถ “เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” ฮุ่ยหลิงถามอย่างไม่แน่ใจ เขาจึงได้รับสายตาไม่ชอบใจของฟางเซียนตอบกลับมา ฮุ่ยหลิส่งสายตาลูกหมาให้ฟางเซียนอย่างเสียใจ แต่เขาก็ยังไม่ได้รับความสนใจหรือความเห็นใจจากฟางเซียนอยู่ดี [ไม่ใช่แต้มเฮงซวยครับ เป็นแต้มลบต่างหาก แต้มเหล่านี้สามารถนำไปลบกับแต้มโชคของคุณได้ ทั้งโชครอดตายจากอุบัติเหตุและโชครอดตายจากการถูกฆ่า ไม่น่าสนใจเหรอครับถ้าหากแต้มโชคหมดไปในสักวันและคุณก็อาจจะได้ตายสมใจอยากก็ได้] ระบบหว่านล้อมอย่างใจเย็น “...” ฟางเซียนเงียบและครุ่นคิด แม้ว่าจะเป็นไปได้ยากที่จะลบโชคหลายล้านแต้ม แต่หากมีสักวันที่แต้มโชคพวกนั้นลดน้อยลงหรือหมดไปนางก็อาจจะมีโอกาสตายจากอุบัติเหตุและตายจากการถูกฆ่าเพิ่มมากขึ้น อย่างน้อยถ้าได้แต้มลบมาเปอร์เซ็นต์ในการถูกฆ่าตายก็จะเพื่อขึ้นมากกว่าเดิมล่ะนะ เมื่อคิดได้ดังนั้นฟางเซียนก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย [คำละ 10 แต้ม อยากได้ไหมครับ?] ระบบย้ำอีกครั้ง ฟางเซียนจึงยอมพยักหน้าตกลงและคีบอาหารเข้าปาก ซึ่งนั่นก็ได้ทำให้สามพี่น้องฮุ่ยปลื้มใจอย่างมาก “น่ายินดีที่เจ้ายอมทานแล้ว!” ฮุ่ยหลิงแทบจะลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้น “ดีแล้ว...เจ้าต้องดูแลตัวเอง อย่ายอมแพ้ที่จะมีชีวิต” ฮุ่ยเหอพยักหน้าพอใจเงียบๆ “ไม่ต้องห่วงนะแม่นางน้อย ข้าจะช่วยเหลือเจ้าจนกว่าเจ้าจะสามารถยืนหยัดด้วยตัวเองได้” ฮุ่ยหวงยิ้มเยียวยาจิตใจ ฟางเซียนแสร้งพยักหน้าส่งๆ ยังไงซะสามพี่น้องกลุ่มนี้ก็คงไม่ยอมปล่อยนางไปง่ายๆ แสร้งทำตัวว่าง่ายจนกว่าพวกเขาจะพอใจและยอมปล่อยนางไปเองแล้วกัน คิดพลางจ้องมองหน้าต่างระบบที่แสดงแต้มโชคที่ลดลงไปทีละสิบแต้มทุกครั้งที่นางกินอาหารเข้าไปคำหนึ่ง แม้จะเล็กน้อยแต่ก็อดอารมณ์ดีขึ้นมาไม่ได้เมื่อคิดว่าจะหาทางตายได้ง่ายขึ้น ฟางเซียนได้เข้าใจแล้วว่าการจะสลัดสามพี่น้องฮุ่ยไปให้พ้นจากชีวิตมันไม่ง่ายดายนัก ตั้งแต่นางมาถึงโลกแห่งนี้วันแรกนางก็ถูกพวกเขาบังคับหลายอย่าง เช่น อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ทานอาหาร และการนอน เนื่องจากว่านางดื้อดึงไม่ยอมนอน พวกเขาจึงใช้คาถาสะกดให้นางนอนหลับ คืนแรกของการนอนหลับในโลกนี้จึงเลวร้ายมากสำหรับฟางเซียน และแน่นอนว่าเรื่องราวน่าขัดใจไม่ได้มีเพียงเท่านั้น เช้าวันต่อมาพวกเขายังคงไม่ปล่อยนางไป พวกเขาคะยั้นคะยอให้นางทานอาหารเช้าและพาเดินชมเมืองเพื่อหาซื้อบ้านและตั้งใจจะหางานให้นางทำอีกด้วย ใช่แล้ว...พวกเขาตั้งใจจะตั้งรกรากให้นางอาศัยอยู่ในเมืองนี้! พวกเขาเข้าใจว่าฟางเซียนเป็นคุณหนูในห้องหอที่ทำอะไรไม่เป็นและไม่รู้เรื่องราวของโลกภายนอกเลยเพราะได้เห็นสีหน้าสงสัยและงุนงงของฟางเซียนเมื่อตอนเดินในตลาด พวกเขาจึงพยายามเอาใจใส่ดูแลฟางเซียนมากขึ้นเพราะคิดว่าเหตุผลที่ฟางเซียนต้องการฆ่าตัวตายไม่น่าใช่แค่เรื่องสูญเสียน้องสาวไป แต่น่าจะเป็นเพราะดำเนินชีวิตในโลกนี้ไม่เป็นอีกด้วย ซึ่งความจริงแล้วฟางเซียนก็แค่เป็นคนจากอีกโลกอันห่างไกลที่รู้จักเพียงแค่เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากกว่านี้ นางเป็นคนที่ไม่ค่อยสนใจของโบราณเสียเท่าไหร่นัก สิ่งของหลายอย่างนางจึงไม่รู้จักแม้แต่น้อยและไม่รู้ว่ามันจะนำไปใช้ทำอะไรได้บ้าง ในภายหลังฟางเซียนได้เรียนรู้หลายอย่างเกี่ยวกับอุปกรณ์และวิถีชีวิตของคนในยุคโบราณแห่งนี้จากสามพี่น้องฮุ่ย ฟางเซียนได้รู้มาว่าถึงแม้โลกนี้จะเป็นโลกของการบำเพ็ญเพียรเป็นเซียนหรือไม่ก็มาร แต่มนุษย์ธรรมดาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องก็ยังสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติและแทบจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกของผู้บำเพ็ญเพียรเลย ส่วนมากพวกเขาจะติดต่อกับเหล่าเซียนก็ต่อเมื่อโดนมารหรือปีศาจโจมตีเท่านั้น การแบ่งแยกที่ชัดเจนทำให้ฟางเซียนคิดว่านางอาจจะสามารถหลีกเลี่ยงจากการบำเพ็ญเพียรได้ นางไม่อยากเป็นอมตะจึงตั้งมั่นว่าจะไม่ยอมบำเพ็ญเพียรเป็นมารหรืออะไรทั้งสิ้น ใช้ชีวิตวนเวียนอยู่กับมนุษย์ธรรมดาจนกว่าจะหาทางตายได้มันดีกว่าตั้งเยอะ แต่ก่อนจะหาทางตายได้สำเร็จก็คงต้องอดทนกับสามพี่น้องฮุ่ยต่อไป... “แม่นาง การปักผ้าเช่นนั้นผิดแล้วนะขอรับ มันต้องปักเช่นนี้สิ!” ฮุ่ยหลิงชี้แจงวิธีปักผ้าให้ฟางเซียนดูอยู่หลายครั้ง เนื่องจากว่าสามพี่น้องฮุ่ยต้องการให้ฟางเซียนสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียว พวกเขาจึงตกลงกันว่าจะสอนทุกอย่างให้ฟางเซียนโดยไม่คิดจะถามความคิดเห็นของนางเลยสักนิด ซึ่งสิ่งแรกที่พวกเขาเลือกสอนก็คือการเย็บปักเสื้อผ้าเพราะเห็นว่ามันง่ายและสตรีห้องหออย่างฟางเซียนก็น่าจะทำได้ แต่ที่ไหนได้สองวันเต็มแล้วฟางเซียนก็ยังคงปักผ้าออกมาไม่ได้ความเหมือนเดิม “พยายามต่อไปสักวันเจ้าต้องทำได้แน่ ข้าผู้นี้จะสั่งสอนเจ้าเอง!ถ้าเช่นนั้นเรามาลองปักผ้าใหม่อีกสักสิบรอบแล้วกัน” ฮุ่ยหลิงตั้งใจสอนฟางเซียนอย่างไม่ย่อท้อ ฟางเซียนผู้เย็บปักไม่เป็นและถูกเข็มทิ่มมือหลายสิบครั้ง “...” มารดามันเถอะ!ไม่คิดจะถามความเห็นกันบ้างเลยรึไง?หรืออยากจะฆ่านางด้วยเข็มกัน!?ถึงนางจะอยากตายมากขนาดไหนแต่ขอไม่ตายด้วยเข็มปักผ้าได้ไหม!? พวกเขาหวังดีก็จริงแต่นางไม่ต้องการ!ฟางเซียนเคยขับไล่พวกเขาออกไปจากชีวิตแล้วแต่พวกเขาก็ไม่เคยยอมแพ้ที่จะติดตามนางต่อไป ฟางเซียนจึงพยายามหนีไปจากพวกเขาแทน แต่พวกเขาคือผู้บำเพ็ญเซียนที่มีพลังปราณมากกว่าระดับห้าขึ้นไป มันจึงไม่ง่ายเลยที่คนธรรมดาอย่างนางจะหนีรอดไปได้ หากต้องการหนีให้พ้นก็คงต้องทำให้ตัวเองกลายเป็นมาร ซึ่งแน่นอนว่าฟางเซียนจะไม่เลือกทางนั้นเด็ดขาด ทางรอดเดียวที่เหลืออยู่ก็คือการแสดงให้พวกเขาเห็นว่านางสามารถอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียวและไม่มีทางคิดฆ่าตัวตายอีก เป็นวิธีที่เหน็ดเหนื่อยไม่น้อยแต่ได้ผลดี เมื่อสรุปออกมาได้ดังนั้นฟางเซียนจึงพยายามปักผ้าต่อไปและหวังลึกๆ ว่าตัวเองจะตายเพราะเข็มทิ่มนิ้ว ถึงจะฟังดูเป็นไปไม่ได้แต่อย่างน้อยพอคิดแบบนี้มันทำให้นางมีกำลังใจขึ้นเยอะเลยล่ะ ฟางเซียนพยายามเรียนรู้การปักเย็บเสื้อผ้าอยู่นานหลายชั่วยามจนกระทั่งคนสอนนั่งสัปหงกไปแล้วเรียบร้อย ฟางเซียนเห็นท่าทางไร้การป้องกันนั้นจึงมีความคิดชั่วร้ายขึ้นมา หากนางฆ่าฮุ่ยหลิง พี่ชายทั้งสองของเขาจะทำยังไงกันนะ?คงรู้สึกโกรธแค้นที่นางทำร้ายน้องชายคนสำคัญของพวกเขา เมื่อโกรธแค้นพวกเขาก็จะต้องฆ่านางเพื่อล้างแค้น เมื่อพวกเขาได้ล้างแค้น นางก็จะได้ตายอย่างที่หวัง ในครัวน่าจะมีมีดคมๆ ที่พอจะเชือดคอฮุ่ยหลิงได้อยู่บ้าง... ความคิดอันตรายของฟางเซียนถึงกับทำให้ฮุ่ยหลิงเสียวสันหลังวาบ เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากการสัปหงกด้วยความตกใจ “เย็นแล้วรึ?ถึงว่าล่ะข้าถึงรู้สึกหนาว” ฮุ่ยหลิงพึมพำขณะเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เปลี่ยนเป็นสีส้ม เขาไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าคนข้างกายของเขากำลังมีสีหน้าผิดหวังที่สูญเสียโอกาสในการลอบฆ่าเขาไป หลังจากนั้นไม่นานฮุ่ยหวงและฮุ่ยเหอก็เพิ่งกลับมาจากการซื้อของใช้ในบ้าน เนื่องจากว่าบ้านที่พวกนางอาศัยอยู่ในตอนนี้เป็นบ้านที่เพิ่งซื้อมา ข้าวของเครื่องใช้มีไม่มากนักจึงจำเป็นต้องออกไปซื้อมาเพิ่มเติม “ไปเสียนานเลยนะขอรับ พี่ใหญ่ พี่รอง” ฮุ่ยหลิงกล่าวทักทายเหล่าพี่ชายของเขา “เราต้องการเลือกสิ่งที่แม่นางน่าจะชอบ” ฮุ่ยเหอตอบเสียงเรียบ “พวกข้าเลือกซื้อมาหลายอย่าง เจ้าเลือกดูเองแล้วกัน” ฮุ่ยเหอหยิบยันต์บางอย่างออกมาพลางกล่าวปลดผนึกก่อนจะโยนมันไปยังพื้นที่ว่าง ทันใดนั้นเองตู้เสื้อผ้าหลังหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาแทนที่แผ่นยันต์ ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฟางเซียนได้เห็นแต่ก็อดชะงักไม่ได้เพราะความรู้สึกไม่คุ้นชินที่มีสิ่งของปรากฏขึ้นมาต่อหน้าอย่างกะทันหัน นางพอรู้มาแล้วว่ายันต์พวกนั้นคือยันต์สำหรับเก็บของที่มีไว้สำหรับใช้แล้วทิ้งเพราะมันสร้างขึ้นมาได้ง่ายๆ เพียงการเขียนตัวอักษร แต่อย่างน้อยผู้ใช้ก็จะต้องมีพลังปราณขั้นสามขึ้นไปถึงจะใช้งานมันได้ “แม่นางคิดว่าตู้เสื้อผ้าหลังนี้เป็นเช่นไรบ้างขอรับ?สวยงามหรือไม่?” ฮุ่ยหวงถามความเห็นของฟางเซียนด้วยรอยยิ้มกว้าง “ดี” ฟางเซียนตอบเพียงเท่านั้น พวกเขาจึงนำสิ่งของเครื่องใช้อันอื่นออกมาให้ดูเพิ่มเติม ซึ่งฟางเซียนก็ตอบแค่ว่า ดี เช่นเดิม พวกเขาหวังอยากจะให้ฟางเซียนบอกว่าชอบมันอย่างจริงใจจึงนำเสนอต่อไป แต่ฟางเซียนไม่ได้สนใจสิ่งของพวกนั้นจึงไม่ยอมพูดว่าชอบเสียที แต่เพื่อไม่ให้ของล้นบ้านไปมากกว่านี้ฟางเซียนจึงพูดคำอื่นบ้างเช่นคำว่า “สะดวกดีนะ” นางกำลังหมายถึงยันต์น่ะ มันเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีจริงๆ “เจ้าสนใจหรือ?งั้นกลับสำนักเซียนกับพวกข้าและไปบำเพ็ญเพียรเป็นเซียนดีหรือไม่?” ฮุ่ยหลิงเสนอด้วยสายตาระยิบระยับและหวังว่าฟางเซียนจะสนใจ “ไม่ล่ะ” ทว่าฟางเซียนตอบปฏิเสธทันทีด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ไร้ซึ่งความสนใจ ฮุ่ยหลิงทำตาละห้อยด้วยความรู้สึกเสียดาย ทว่าเขาก็ไม่ได้ตามตื๊อและยอมถอยแต่โดยดี เพราะเขารู้ดีว่าการบำเพ็ญเพียรเพื่อเป็นเซียนมันต้องเดินไปบนเส้นทางที่ยากลำบาก ผู้บำเพ็ญเพียรจำเป็นต้องมีความมุมานะสูงกว่าคนทั่วไปมาก แม้เขาจะอยากให้ฟางเซียนกลับไปยังสำนักเฉินพร้อมกับตนแต่หากฟางเซียนไม่ต้องการเขาก็จะไม่ดื้อรั้นฝืนใจฟางเซียนเด็ดขาด และหลังจากที่ฟางเซียนคัดเลือกเครื่องเรือนที่ต้องการใช้งานแล้วสามพี่น้องฮุ่ยก็ได้จัดวางเครื่องเรือนให้เข้าที่เรียบร้อย แต่กว่าจะจัดแต่งบ้านเสร็จมันก็กินเวลาไปมากโข รู้สึกตัวอีกทีก็มืดค่ำแล้วทุกคนจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อน “งั้นข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะขอรับ ช่วงนี้ข้าอาจจะพักผ่อนน้อยถึงได้รู้สึกเมื่อยตัวและอ่อนเพลียเช่นนี้” เมื่อเสร็จงานแล้วฮุ่ยหลิงก็บ่นพลางเดินกลับห้องนอนเป็นคนแรก “ราตรีสวัสดิ์อาหลิง” ฮุ่ยหวงกล่าวไล่หลังน้องชายไป “แม่นางเองก็นอนหลับให้สบายนะขอรับ” เขาหันไปกล่าวกับฟางเซียนต่อเมื่อเห็นว่านางกำลังเดินกลับห้องนอน ฟางเซียนได้ยินเช่นนั้นจึงหยุดชะงักชั่วคราว นางเริ่มรู้สึกรำคาญคำว่าแม่นางที่พวกเขาใช้เรียกนางเสียแล้วสิ “ฟางเซียน...ข้าชื่อฟางเซียน” เพราะรำคาญฟางเซียนจึงยอมบอกชื่อของตัวเองออกไปด้วยสีหน้าเย็นชาแต่นางไม่คาดคิดเลยว่าจะได้รับรอยยิ้มกว้างตอบกลับมา ฮุ่ยหวงยิ้มไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ฮุ่ยเหอที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์มากนักแต่กลับยิ้มออกมาไม่ต่างจากผู้เป็นพี่ชายคนโต ฟางเซียนสะบัดหน้าและเดินหนีก่อนที่พวกเขาจะพูดอะไรอีก [รู้สึกชอบพวกเขาแล้วเหรอครับเนี่ย] ระบบแอบแหย่ “แค่รำคาญ” ฟางเซียนแสดงสีหน้าหงุดหงิดออกมา “แต่แกน่ารำคาญกว่า เพราะงั้นเงียบปากไปซะ” [ไม่ได้หรอกครับเพราะผมมีเรื่องจะมารายงาน มันเป็นเรื่องสำคัญมาก!] ระบบกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง [คุณมีปราณมารระดับหนึ่งขั้นสูงแล้ว!] ฟางเซียนรู้สึกว่าฟังอะไรผิดไปและต้องการฟังอีกครั้ง “นายพูดว่าไงนะ?” [คุณคงกำลังสงสัยว่าทำไมคุณถึงมีพลังปราณได้สินะครับ งั้นผมจะอธิบายเอง!] ระบบพูดเสียงร่าเริงแตกต่างจากใบหน้าที่ดำทะมึนของฟางเซียน [ร่างกายของคุณก็เหมือนจะอยู่ในความดูแลของผมแล้วเพราะงั้นผมจึงสามารถควบคุมร่างกายของคุณให้ดูดซับพลังปราณเข้าสู่ร่างกายได้โดยไม่ต้องให้คุณซึ่งเป็นเจ้าของร่างกายทำอะไรเลย! สะดวกดีใช่ไหมล่ะครับ?คุณไม่ต้องเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย...] “ระบบเฮงซวย!” ฟางเซียนหลุดปากสบถออกมาอย่างหัวเสีย ไม่คิดเลยว่าระบบมันจะมีไม้นี้! [แต่หากคุณอยากทำเองผมก็สามารถแนะนำได้ เนื่องจากคุณเป็นผู้บำเพ็ญเพียรสายมารทางลัดในการดูดซับพลังปราณจึงมีมากมายและไม่ต้องเสียเวลา ตัวอย่างเช่นการดูดพลังปราณจากแกนพลังปราณในตัวคนอื่นมาเป็นของตัวเอง วิธีนี้ค่อนข้างอันตรายหากคนอื่นขัดขืนแต่ผมมีกลโกงให้คุณจึงไม่มีปัญหา เพียงแค่คุณไปอยู่ใกล้ๆ ผู้บำเพ็ญเพียรสายใดก็ตามคุณก็จะสามารถดูดซับพลังปราณของพวกเขามาเป็นของตัวเองได้อย่างไม่มีปัญหาและไม่มีใครรู้ตัว! ตัวอย่างเช่นสามพี่น้องฮุ่ย พวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่าคุณขโมยพลังปราณของพวกเขาไปจนร่างกายเหนื่อยล้า] นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมฮุ่ยหลิงถึงบ่นว่าเมื่อยตัวและอ่อนเพลีย [พลังปราณของคุณเลื่อนระดับได้ไม่เลวเลย อีกไม่กี่ปีคงถึงระดับเจ็ด ระดับที่สามารถทำให้ร่างกายเป็นอมตะไม่แก่ตาย!] “ฉันไม่อยากเป็นอมตะ!” [ไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะเติมทรูให้คุณเอง ใช้เวลาไม่ถึงสิบปีคุณก็ถึงระดับสิบแล้วและได้เลื่อนจากปราณมารเป็นปราณปีศาจ ส่วนความรู้เกี่ยวกับการใช้พลังปราณและความรู้ด้านคาถาอาคม ระบบสามารถเปลี่ยนพวกมันเป็นข้อมูลและส่งเข้าไปในสมองของคุณได้โดยตรง ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเรียนเช่นกัน] ระบบพูดมากน่ารำคาญ ฟางเซียนพยายามปิดหูไม่ฟังสิ่งที่มันพูด แต่นางก็ยังได้ยินเพราะระบบมันพูดอยู่ในหัวของนาง ฟางเซียนแทบสติแตก “ฉันจะฆ่าแก ระบบ” ฟางเซียนกัดฟันกรอด [สบายใจได้ ระบบไม่มีทางตาย] ระบบกล่าวเสียงใส ฟางเซียนกระอักเลือดเพราะไม่สามารถกำจัดความเคียดแค้นนี้ไปได้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD