บทที่ 4.1 ท่านอาจารย์ประหลาดเกินไป
สภาพร่างกายของลู่เหลียนไม่มีส่วนไหนบุบสลายจึงไม่น่าเป็นห่วง สิ่งที่ต้องหวงมากที่สุดก็คือสภาพจิตใจของเขามากกว่า การได้เผชิญกับเหตุการณ์สะเทือนใจมันทำให้ลู่เหลียนตกอยู่ในอาการหวาดระแวง เขาจึงควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษ
แน่นอนว่าฟางเซียนต้องเป็นคนรับผิดชอบดูแลลู่เหลียนเพราะนางมีส่วนผิดไม่มากก็น้อยที่ปล่อยให้ลู่เหลียนถูกตาแก่มากตัณหาลักพาตัวไปจนต้องเผชิญหน้ากับเรื่องสะเทือนใจ
เพื่อเป็นการดูแลเอาใจใส่ฟางเซียนจึงทำอาหารสำหรับลู่เหลียนและยกไปส่งถึงห้องนอนเนื่องจากว่าตั้งแต่กลับบ้านมาลู่เหลียนเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องไม่ยอมออกมาแม้แต่ก้าวเดียว
“อาหารสำหรับเจ้า” ฟางเซียนวางถ้วยข้าวต้มลงบนโต๊ะและหันไปพูดกับเด็กชายที่นั่งขดตัวอยู่บนเตียง “รีบมากิน หากเจ้าอดตายขึ้นมาข้าคงลำบาก” นางกล่าวอย่างเย็นชา
ทว่าลู่เหลียนก็ยังคงนิ่งเงียบ เขาเหลือบมองฟางเซียนด้วยสายตาเคลือบแคลงและสงสัย เวลาผ่านไปครู่หนึ่งลู่เหลียนก็ยังคงไม่ขยับ ฟางเซียนนั่งรออย่างใจเย็น จนกว่าลู่เหลียนจะยอมกินอาหารนางก็คงจะไม่ได้ไปไหน เมื่อลู่เหลียนเห็นฟางเซียนอยู่ในท่าทางสงบนิ่งเขาจึงรู้สึกสงบใจมากกว่าการอยู่คนเดียวจนน่าประหลาดใจ เขาจึงตัดสินใจเปิดปากถามในสิ่งที่ติดใจสงสัยมานาน
“ทำไมท่านถึงได้รับข้าเป็นลูกศิษย์?ทำไมถึงได้ยอมจ่ายเงินมากมายมหาศาลเพื่อซื้อตัวข้ากัน?” ลู่เหลียนเงยหน้าขึ้นมาสบตากับฟางเซียนโดยไม่หลบเลี่ยง ราวกับต้องการจะค้นหาความจริงจากแววตาของนาง
ฟางเซียนยังคงอยู่ในท่าทีไม่คิดอะไรมากมายและตอบออกไปอย่างส่งๆ “ข้าแค่อยากรับเจ้าเป็นศิษย์ ส่วนเงินพวกนั้นไม่ใช่ของข้า ถึงจะจ่ายไปมากเท่าภูเขาข้าก็ไม่นึกเสียดายหรอก”
แค่อยากรับเป็นศิษย์?นั่นไม่ใช่เหตุผลเลยแม้แต่น้อย...
ลู่เหลียนหรี่ตาลง “ทำไมท่านบอกว่าหากข้าตายท่านจะลำบาก?หรือท่านเสียดายเงินที่ไม่ใช่ของท่าน?”
“ก็ลำบากแต่ไม่ใช่เรื่องเงิน” ฟางเซียนนึกถึงแต้มบวกที่ระบบจะมอบให้หากมารนกยูงในอนาคตตาย หากนางได้รับมันมาชาตินี้นางคงไม่ได้ตายสมใจแน่ “อย่าสงสัยให้มาก ข้ารับเจ้าเป็นลูกศิษย์เพราะแค่อยากให้เจ้าแข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้าและอยากให้เจ้าช่วยเหลือข้าอย่างหนึ่ง”
ลู่เหลียนโคลงศีรษะเป็นคำถาม ระบบแสดงเครื่องหมายคำถามเพื่อบอกว่ามันสงสัยเช่นกัน
“เจ้าต้องสังหารข้า” ฟางเซียนกล่าวเสียงเรียบทว่าจริงจังอย่างมาก
เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ
“สัง...หาร?” ลู่เหลียนหลุดทำสีหน้าเหวอ สมองของนางผิดปกติหรือไม่?
[เอ๊ะ!? ไหงงั้นล่ะคุณฟางเซียน! คุณยังต้องฝึกตัวร้ายระดับเล็กอีกมากมายเลยนะ จะตายเร็วไม่ได้นะครับ!] ระบบอุทานเสียงหลงและเริ่มโวยวาย
“เข้าใจไหม?เจ้าต้องตอบแทนข้าด้วยการสังหารข้า ตอนนี้เจ้าเป็นความหวังของข้า มีแค่เจ้าเท่านั้นที่ทำได้ รับปากมาซะว่าจะทำ ไม่เช่นนั้นข้าจะหั่นเจ้าเป็นชิ้นๆ เสียเดี๋ยวนี้” ฟางเซียนหยิบมีดที่นางตั้งใจจะเอามาฆ่าตัวตายออกมาเพื่อข่มขู่
ลู่เหลียนยังไม่ได้หลุดจากอาการมึนงงจึงพยักหน้ารับแบบไม่ได้คิด ฟางเซียนเห็นดังนั้นก็พยักหน้าพอใจ
“งั้นทานข้าวต้มที่ข้าทำมาให้ได้แล้ว เจ้าจะได้รีบโต” ฟางเซียนกล่าว
ลู่เหลียนเดินไปนั่งบนเก้าอี้แล้วเริ่มตักข้าวต้มเข้าปากด้วยท่าทางสับสน เหตุใดนางถึงต้องการให้เขาสังหารนางกัน? นางต้องการที่จะตายงั้นหรือ? เพราะเหตุใดกัน?
ลู่เหลียนพยายามคิดว่าเหตุผลที่ตัวเองไม่เข้าใจพลางแอบมองหน้าฟางเซียนอย่างสับสน
หลายวันผ่านไปฟางเซียนเลี้ยงดูลู่เหลียนจนแข็งแรงสมบูรณ์ นางได้เริ่มสอนกระบวนท่าต่อสู้ให้กับลู่เหลียนเพราะระบบห้ามฆ่าตัวตายให้ภารกิจบังคับมา หากไม่ทำแต้มบวกจะโบกมือทักทาย
ในการสอนศิลปะการต่อสู้ฟางเซียนจะต้องแสดงกระบวนท่าต่อสู้ให้ลู่เหลียนดูเป็นตัวอย่างเพื่อที่เขาจะได้ฝึกฝนอย่างถูกต้อง ซึ่งมันเป็นปัญหาสำหรับฟางเซียนมากเพราะนางไม่เคยเรียนรู้กระบวนท่าต่อสู้มาก่อน แม้ว่าระบบจะใส่ข้อมูลกระบวนท่าต่อสู้เข้ามาในหัวของนางแล้ว แต่ก็ใช่ว่านางจะทำตามได้ทันทีเพราะร่างกายของนางไม่คุ้นเคยกับมัน
แต่อย่างน้อยฟางเซียนก็พอถูไถไปได้บาง ลู่เหลียนเลยไม่รู้ตัวว่าอาจารย์ของเขามีฝีมือการต่อสู้แย่อย่างมาก
การฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ของลู่เหลียนดำเนินไปได้อย่างราบรื่น จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง
“อะไรกันล่ะเนี่ย?” ฟางเซียนบ่นงึมงำด้วยน้ำเสียงติดรำคาญเมื่อเห็นทหารหลายยี่สิบคนมายืนเคาะประตูอยู่หน้าบ้านตั้งแต่เช้า เช้ามากพอที่จะทำให้ฟางเซียนอยากอาละวาดขับไล่พวกเขาให้กลับไปนอนต่อ
[เมื่อหลายวันก่อนคุณได้สร้างคดีโดยการสังหารขุนนางคนหนึ่งไป เพราะงั้นพวกเขาจึงจะมาตามจับคุณ] ระบบบอกกับฟางเซียน
“เรื่องตาแก่มากตัณหานั่นใช่รึเปล่า?” ฟางเซียนหลุดหัวเราะในลำคอด้วยสีหน้าเย้ยหยัน ทำไมทหารที่นี่ถึงทำงานกันช้านัก?นางไม่ได้คิดที่จะปกปิดตัวตนหรือหลักฐานแม้แต่น้อยแต่พวกเขากลับเพิ่งมาหานางเอาป่านนี้ “ยอมถูกจับดีไหมนะ?โทษอาจจะเป็นประหาร” ฟางเซียนยิ้มสดใส
[ไม่ได้เด็ดขาดครับ! เจ้าเมืองที่นี่นิสัยแย่มาก เมื่อเขาเห็นคนสวยอย่างคุณต้องจับคุณไปเป็นทาสบนเตียงแทนจับประหารแน่!] เมื่อระบบบอกแบบนั้นฟางเซียนถึงกับเบะปาก
งั้นนางก็ไม่เอาวิธีนี้แล้วกัน
“เตรียมตัวเดินทาง” ฟางเซียนบอกให้ลู่เหลียนไปเก็บข้าวของเพื่อย้ายบ้าน
ซึ่งทั้งสองก็ใช้เวลาเตรียมตัวเพียงครู่เดียวเท่านั้นเพราะของใช้ส่วนตัวมีไม่มากนัก ส่วนของใช้อย่างอื่นก็สามารถหาซื้อใหม่ได้เพราะเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลย เมื่อเตรียมตัวเรียบร้อยและก่อนที่ทหารจะบุกเข้ามาในบ้านฟางเซียนก็ได้อุ้มลู่เหลียนและใช้วิชาตัวเบาเร้นกายหนีออกจากเมืองอย่างรวดเร็ว ผู้คนธรรมดาไม่สามารถตามทันอย่างแน่นอน
[ผมขอแนะนำให้คุณเดินทางไปเมืองเหยียนครับ เนื่องจากว่าที่นั่นมีหุบเขามากมายเหมาะสำหรับการฝึกฝนและบำเพ็ญเพียรมากครับ] ระบบได้แนะนำสถานที่หลบหนีขณะเดียวกันนั้นเองลูกศรสีแดงก็ได้ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าฟางเซียน มันคือลูกศรนำทางที่ชี้นำไปยังเมืองเหยียนนั่นเอง
ฟางเซียนเดินตามลูกศรนำทางไปเรื่อยๆ อย่างไม่คิดอะไรมาก ในตอนแรกก็เดินชมนกชมไม้ได้อย่างไม่มีปัญหาเพราะตั้งแต่เลื่อนระดับถึงขั้นเจ็ดนางก็แทบจะไม่มีความเหนื่อยเลย แต่เดินพอมากไปฟางเซียนก็ชักรู้สึกเบื่อหน่าย เบื่อทุกอย่างไม่ว่าจะท้องฟ้าหรือต้นไม้ ฟางเซียนนึกอยากจะล้มตัวนอนบนพื้นและให้แดดเผาจนตาย
[ข้างหน้ามีหมู่บ้าน คุณและลู่เหลียนน่าจะไปพักที่นั่น] ระบบคล้ายจะรู้สึกได้ว่าฟางเซียนคิดอะไรจึงกล่าวขึ้นมา [ที่นั่นน่าจะมีรถม้าให้คุณใช้ในการเดินทางด้วยนะครับ]
ฟางเซียนส่งเสียงตอบรับในลำคอด้วยท่าทีเอื่อยเฉื่อยไม่เปลี่ยนแปลง
ในที่สุดฟางเซียนและลู่เหลียนก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง แม้ภายนอกจะดูเงียบเหงาแต่เพื่อความปลอดภัยลู่เหลียนจึงสวมเสื้อคลุมเพื่อซ่อนใบหน้าและหางนกยูงของเขาเพราะหากมีใครพบว่าเขาเป็นลูกครึ่งปีศาจมันคงไม่ปลอดภัยนัก
แต่น่าประหลาดใจที่ในหมู่บ้านดูร้างผู้คน ตั้งแต่เข้ามาก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตสักอย่าง
“หมู่บ้านร้างงั้นเหรอ?” ฟางเซียนกวาดสายตามองรอบตัว เมื่อพิจารณาดูแล้วที่นี่ไม่เหมือนหมู่บ้านร้างเลยสักนิด สภาพของบ้านยังดูใหม่ราวกับว่ามีผู้คนอาศัยอยู่จนกระทั่งถึงเมื่อไม่นานมานี้ แต่ถึงอย่างนั้นฟางเซียนก็ยังไม่พบใครสักคน
หากไม่มีคนแบบนี้นางจะไปหารถม้าได้จากที่ไหนกัน?นางไม่ยอมเดินต่อแน่
ฟางเซียนเริ่มมองหาสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะม้าสักตัว ถ้าได้มามันคงช่วยย่นเวลาได้มากทีเดียว เดินวนอยู่ครู่หนึ่งฟางเซียนก็ได้พบเห็นบางอย่างที่เคลื่อนไหว นางเดินตามไปจนกระทั่งเห็นสิ่งนั้นเข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่ง จะเรียกว่าบ้านก็ไม่ได้เพราะมันมีขนาดเล็กและดูทรุดโทรมเกินกว่าจะเป็นบ้านคน นางเริ่มไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นคือมนุษย์หรือหมาจรจัดกันแน่
ฟางเซียนลองยื่นมือไปผลักบ้านที่ถูกสร้างขึ้นมาจากแผ่นไม้และผ้าผืนบางแผ่วเบา ปรากฏว่าพวกมันล้มครืนลงมาทันที
“ว้าก!ถล่มแล้ว!” เมื่อแผ่นไม้ล้มลงเสียงตะโกนอย่างตื่นตระหนกของใครบางคนก็ดังลั่น จากนั้นก็มีใครบางคนรีบร้อนคลานออกมาจากซากไม้และบังเอิญคลานมาหยุดอยู่แทบเท้าของฟางเซียนพอดี
“ที่หมู่บ้านเหลือแค่ลูกหมาข้างถนนรึไง” ฟางเซียนกล่าวพลางมองเด็กผู้ชายอายุประมาณสิบกว่าปีคนหนึ่งคลานออกมาจากซากไม้และมาหยุดอยู่ใกล้เท้าของนาง เด็กคนนั้นเนื้อตัวสกปรกมอมแมมมาก เหมือนลูกหมาข้างถนนอย่างที่ฟางเซียนกล่าวไม่มีผิด
เด็กที่ถูกเรียกว่าลูกหมาข้างถนนชะงักเมื่อได้ยินเสียงของฟางเซียนก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองและทันใดนั้นเองเด็กคนนั้นก็ตะโกนออกมาว่า “ปะ ปีศาจ!ปีศาจจะกินข้าแล้ว!”
ฟางเซียนถึงกับพลั้งมือตบหัวเด็กคนนั้นไปทีหนึ่ง “ข้าออกจะหน้าตาดี หาว่าข้าเป็นปีศาจได้ยังไงกันเจ้าลูกหมานี่!”
“ฮึก...นางยักษ์!ข้าชื่อตงตง ไม่ใช่ลูกหมาสักหน่อย!” ลูกหมาข้างถนนกุมหัวที่ถูกตบและเบะปากเตรียมร้องไห้
ฟางเซียนคิ้วกระตุกที่ถูกหาว่าเป็นนางยักษ์ นางเกือบจะพลั้งมือตบไปอีกรอบ
“บอกข้ามา คนในหมู่บ้านไปไหนหมด พอดีข้าอยากจะซื้อรถม้าสักคัน” นางกล่าวอย่างใจเย็น
“ข้าไม่ยอมบอกนางยักษ์เช่นเจ้าหรอก!” ลูกหมาข้างถนนตะโกนตอบกลับมา ฟางเซียนมือกระตุกตบหัวเด็กคนนั้นอีกรอบ ครั้งนี้ลูกหมาถึงกับปล่อยโฮออกมา
ลู่เหลียนหันไปมองฟางเซียน สายตาของเขาเหมือนกำลังตำหนิที่นางรังแกเด็กไม่มีทางสู้
[อย่ารังแกเด็กสิครับ ผมตรวจสอบให้แล้วและได้ข้อมูลมาว่าหมู่บ้านแห่งนี้ถูกโจมตีโดยปีศาจ ปราณปีศาจที่หลงเหลืออยู่สามารถยืนยันได้ ผมลองย้อนดูข้อมูลจึงรู้มาว่าช่วงนี้มีปีศาจตนหนึ่งหลบหนีออกมาจากพิภพปีศาจและเดินทางมาที่พิภพมนุษย์เพื่อเพิ่มพลังความสามารถตัวเองโดยการกินมนุษย์]
“กินมนุษย์?มันเพิ่มพลังยังไง สารอาหารครบหมู่เรอะ?” ฟางเซียนทำหน้าขยะแขยง
[ไม่ใช่ครับ มันกินพลังปราณในตัวมนุษย์ต่างหาก หากดูดกลืนพลังจากตัวมนุษย์โดยตรงจะทำให้เพิ่มระดับได้เร็วขึ้น การดูดซับพลังปราณเช่นนี้เทียบเท่ากับการดูดซับพลังปราณจากพิภพปีศาจเลยทีเดียวเพราะพลังปราณในตัวมนุษย์มีความบริสุทธิ์พอๆ กับพลังปราณในพิภพปีศาจ] ระบบอธิบาย
“ดูดซับพลังปราณที่พิภพปีศาจไม่ง่ายกว่ารึไง ข้ามพิภพมาทำไม?แล้วอีกอย่างฉันเหมือนเจ้านั่นรึเปล่าเพราะฉันก็ดูดซับพลังปราณจากมนุษย์โดยตรงเหมือนกัน” ฟางเซียนถาม
[โดยปกติแล้วการดูดซับพลังปราณจากมนุษย์โดยตรงไม่มีใครทำและไม่นึกทำเพราะมันต้องมีความเชี่ยวชาญในการดึงแกนพลังปราณออกจากตัวมนุษย์หรืออาจจะต้องกลืนกินคนเข้าไปเลย แต่คุณฟางเซียนพิเศษเพราะคุณมีระบบอย่างผมคอยช่วยเหลือ ผมสามารถทำให้คุณดูดซับลมปราณได้โดยไม่ต้องกินคน แค่อยู่นิ่งๆ พลังปราณของคุณก็สามารถเลื่อนระดับได้แล้ว!]
ฟางเซียนไม่ค่อยรู้สึกยินดีนักที่ได้ยินแบบนั้น
“เจ้าลูกหมา เจ้าพอจะรู้รึเปล่าว่าที่นี่มีม้าสักตัวไหม” ฟางเซียนถามด้วยท่าทีใจเย็นพลางยื่นขนมให้กับเด็กคนนั้นเป็นของตอบแทน และแทบจะทันทีที่นางยื่นขนมให้เด็กคนนั้นก็หยุดร้องไห้ทันที
“ข้ารู้จักครอบครัวที่เลี้ยงม้า!” ลูกหมายิ้มแป้นและให้ข้อมูลแทบจะทันที
“ดี นำทางไป” ฟางเซียนต้องการให้เด็กชายนำทางไป แต่เขากลับมีสีหน้าลังเลและหวาดกลัว
“ปีศาจกินคนอาจจะยังอยู่ที่นี่!ข้ากลัวว่ามันจะกินข้าเข้าไปด้วย” เขาว่า
“ปีศาจกินคนหรือ?” ลู่เหลียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ใช่ มันกินคนไปหมดเลยรวมถึงครอบครัวเลี้ยงม้าด้วย” เขาพูดด้วยสีหน้าน่ากลัวหวังให้ลู่เหลียนรู้สึกกลัวไปด้วย แต่ลู่เหลียนกลับนิ่งสงบ
“ท่านอาจารย์เก่งกาจ ไม่จำเป็นต้องกลัวปีศาจกินคน” ลู่เหลียนเชื่อในฝีมือของฟางเซียนมากเขาจึงพูดออกมาอย่างมั่นใจ
“เคยมีเซียนคนหนึ่งพูดกับคนในหมู่บ้านเช่นนั้น หลังจากนั้นเขาก็หายตัวไป” ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าหายตัวไปไหน... “มาถึงแล้ว เจ้าจะเลือกใช้ม้าตัวไหนก็ได้เพราะเจ้าของม้าหายตัวไปแล้ว” เจ้าลูกหมากล่าวเมื่อนำทางมาถึงคอกม้าแห่งหนึ่ง
และเมื่อฟางเซียนได้ม้าแข็งแรงหนึ่งตัวและเกวียนหนึ่งคันมาแล้วนางก็ออกเดินทางไปยังเมืองเหยียนทันที แน่นอนว่านางไม่ลืมพาเจ้าลูกหมาไปด้วยเพราะเขาเป็นผู้รอดชีวิตจากการถูกปีศาจกินคนจับกินเพียงคนเดียว หากทิ้งเขาไว้ที่หมู่บ้านเขาก็คงต้องอยู่คนเดียว ฟางเซียนไม่ได้ใจร้ายพอที่จะทิ้งเด็กไว้คนเดียวในหมู่บ้านร้างหรอกนะ
แต่พอออกมาจากหมู่บ้านได้ไม่ไกลฟางเซียนเริ่มอารมณ์เสียเพราะนางต้องเป็นคนบังคับเกวียนก็เลยไม่ได้นอนพักน่ะสิ! นางอยากได้ม้ากับเกวียนเพราะไม่อยากเดินเท้า นางอยากนั่งสบายๆ แต่มันกลับกลายเป็นว่านางจะต้องมาเหนื่อยกับการฝึกบังคับม้าไม่ให้ลากเกวียนออกนอกเส้นทางแทน ฟางเซียนถอนหายใจอย่างหงุดหงิดพลางหันไปมองเกวียนข้างหลังและนางก็พบว่าเด็กน้อยทั้งสองคนที่นั่งอยู่บนเกวียนได้นอนหลับสนิทไปแล้ว ลู่เหลียนเดินทางด้วยเท้ามากับฟางเซียนนานหลายชั่วยามโดยไม่บ่นขอพักสักคำทั้งที่ตัวก็เล็กขาก็สั้นอายุก็แค่เจ็ดปีเท่านั้น ความอดทนเป็นเลิศจนฟางเซียนลืมนึกไปว่าควรให้เขาหยุดพักบ้าง พอได้นั่งพักบนเกวียนเขาก็เลยนอนหลับเพราะความเหนื่อยทันที ส่วนลูกหมาน่าจะนอนไม่หลับมาหลายวันเพราะเพิ่งรอดชีวิตมาจากปีศาจกินคนได้ เมื่อวางใจได้แล้วก็เลยนอนหลับได้อย่างสนิทใจทันที
ฟางเซียนหันกลับไปมองทางข้างหน้าเหมือนเดิมพลางคิดในใจว่าการบังคับเกวียนมันก็ไม่ได้เลวร้ายนัก
เส้นทางไปยังเมืองเหยียนค่อนข้างยาวไกลจึงจำเป็นต้องใช้เวลาเดินทางอย่างน้อยประมาณสองวัน พวกฟางเซียนจึงจำเป็นต้องหยุดพักค้างคืนในป่า เด็กทั้งสองไม่ได้บ่นมากนักแม้จะต้องนอนบนดิน ส่วนฟางเซียนก็ไม่ได้มีปัญหาที่ต้องพักกลางป่าเพราะนางหวังว่าตัวเองจะถูกสัตว์อสูรลากไปกินหรือไม่ก็ถูกยุงกัดจนเลือดหมดตัว
ปัญหาก็คือเรื่องอาหารของเด็กทั้งสองคน ฟางเซียนไม่มีเวลาเตรียมอาหารก่อนออกเดินทางเพราะต้องออกจากบ้านกะทันหัน ส่วนลูกหมาก็เป็นแค่ลูกหมาข้างถนน เขาจะไปมีอาหารดีมีคุณภาพได้อย่างไร หากเป็นเช่นนี้พวกเขาก็คงต้องหาอาหารป่ากินเพื่อประทังความหิวไปก่อน ฟางเซียนพาพวกเขาเข้าป่าเพื่อหาอาหาร แต่น่าเศร้าที่ผลไม้ป่าส่วนมากของโลกนี้มีแต่ชนิดที่ฟางเซียนไม่รู้จัก พวกมันมีรูปร่างแปลกประหลาดและสีหมองคล้ำมากเกินไปจนฟางเซียนไม่กล้าที่จะชิมเพราะกลัวว่ามันจะมีรสชาติน่ารังเกียจ
แม้นางจะอยากตายแต่นางก็ไม่อยากตายเพราะรสเหม็นของผลไม้นะ
เมื่อไม่ได้ชิมฟางเซียนจึงไม่แน่ใจนักว่าผลไม้พวกนี้สามารถกินได้หรือไม่ จนกระทั่งลูกหมาพูดขึ้นมาว่า
“ข้ารู้จักผลไม้ชนิดนี้!เพื่อนของข้าเคยเก็บมันมาจากป่าข้างหมู่บ้านและกิน”
“งั้นมันก็ทานได้สินะ” ฟางเซียนพึมพำพลางเก็บผลไม้หน้าตาประหลาดส่งไปให้ลู่เหลียนและลูกหมาที่หิวจัด
“เพื่อนของข้าบอกว่ามันรสชาติอร่อยดีก็เลยกินมันจนหมด” ลูกหมาพูดต่อว่า “ตอนนี้หน้าหลุมศพของเขาเต็มไปด้วยต้นไม้ชนิดนี้ เป็นต้นไม้ที่ออกผลมากมายแต่ข้าไม่เด็ดกินหรอกเพราะข้าไม่อยากไปแย่งอาหารของคนตาย”
สิ้นประโยคลู่เหลียนถึงกับพ่นผลไม้ที่เพิ่งกัดเข้าปากทิ้งทันที เขาหันไปมองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่ไว้ใจ
พูดเป็นลางร้ายเช่นนั้นใครจะกล้ากินต่อ?
ในตอนนั้นเองลู่เหลียนก็หันไปเห็นฟางเซียนนำผลไม้ที่น่าสงสัยนั่นเข้าปากพอดี ลู่เหลียนเบิกตากว้างและตะโกนเรียกเสียงดังลั่น “ท่านอาจารย์!”
ฟางเซียนไม่สนใจสีหน้าตื่นตระหนกของลู่เหลียน นางเคี้ยวผลไม้ปริศนาและกลืนมันลงไป ในใจก็คิดว่ามันเป็นผลไม้ที่รสชาติแย่ที่สุดเท่าที่เคยกินมา แต่นางก็ลองกัดอีกคำหนึ่งเพราะมันอาจจะสามารถทำให้นางตายได้ และนางก็ฝืนกินผลไม้รสชาติย่ำแย่จนหมด
ระบบก็ได้พูดขึ้นมาว่า [มันไม่มีพิษหรอกครับ]
ฟางเซียน “...”
ไปตายซะไอ้ระบบเฮงซวย!