บทนำ
ศาสตร์แห่งการทำนายดวงชะตามีมานับแต่โบราณกาล
สตรีที่เกิดมาพร้อมกับชะตานางหงส์ สวรรค์ได้ลิขิตมาให้เป็นมารดาแผ่นดิน
ผู้ที่ครอบครองนาง เท่ากับครอบครองบัลลังก์มังกร
ดวงชะตาที่ยิ่งใหญ่ ย่อมต้องอยู่กับผู้ที่แข็งแกร่งทัดเทียมกัน
มิเช่นนั้น ความสมดุลของใต้หล้าจะถูกทำลาย
สงคราม ภัยพิบัติ โรคระบาด ความแตกแยก
กล่าวได้ว่าทั่วทุกหย่อมหญ้า หาได้พบความสงบสุขไม่
ปลายหน้าร้อนเป็นสัญญาณบอกว่าฤดูฝนกำลังจะมาเยือน เสียงหวีดหวิวของสายลมยามเช้าเคล้าก้านหลิวที่ลู่ลงสู่สายธารา ริมแม่น้ำสายยาวซึ่งผ่าเข้ากลางเมืองมีศาลาใหญ่ยื่นลงสู่ผืนน้ำมาครึ่งหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ชุมนุมแลกเปลี่ยนความคิด ประชันปัญญาของเหล่านักปราชญ์
“ฤดูฝนปีนี้น้ำหลาก พืชสวนไร่นาล้วนถูกทำลายเสียหาย หากทางการไม่รีบร้อนแก้ไขปัญหา เกรงว่าชาวนาชาวไร่ที่เดือดร้อนคงไม่ยอมอยู่เฉย” ปราชญ์เฒ่าผู้หนึ่งถอนหายใจพลางลูบไล้หนวดเคราขาวของตนเองไปด้วย
เรื่องราวของบ้านเมืองอยู่ในมือของนักปกครอง พวกเขาเป็นนักปราชญ์ที่มีความรู้มากแต่ไร้หนทางให้คำปรึกษา อุปมามิต่างจากผู้เก่งกาจขาดแหล่งสำแดงกำลัง[1] วันๆ จึงได้แต่มานั่งพร่ำบ่น รำพึงรำพันกันในศาลาเดียวดาย
ความจริงแหล่งรวมบัณฑิตแห่งนี้มีมาหลายเดือนแล้ว ชาวบ้านต่างรู้เห็นกันโดยทั่ว
บัณฑิตวัยกลางคนที่นั่งเยื้องไปอีกฟากพยักหน้ารับ “เห็นว่าคนรุ่นใหม่ใส่ใจแต่เรื่องศึกสงคราม ไม่สนเรื่องปากท้อง บ้านเมืองจะอยู่ได้ย่อมมาจากรากฐานที่แข็งแกร่ง หากไม่ดูแลใส่ใจคนรากหญ้า แล้วแว่นแคว้นจะมั่นคงได้หรือ”
ทันใดนั้นเอง บรรยากาศพร่ำบ่นอันเอื่อยเฉื่อยในศาลาก็ถูกเสียงประหลาดหนึ่งดังขัดจังหวะขึ้นมา
ตุ๋ม!
ผู้คนในศาลาต่างหันขวับไปมองที่มาของเสียงโดยพร้อมเพรียงกัน
ช่างไร้มารยา ไร้การศึกษา บิดามารดาไม่สั่งสอน!
ถ้อยคำด่าทอเชือดเฉือนผ่านแววตา แต่กลับไม่อาจทำให้บัณฑิตน้อยในเครื่องแต่งกายสะอาดสะอ้านสะทกสะท้านได้เพียงนิด
“เฮ้อ ใต้หล้าแห่งนี้... คนกำหนดหรือจะสู้ฟ้าลิขิต” เสียงหวานเล็กที่ชวนให้คิดว่าเป็นสตรีดังเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากจิ้มลิ้มสีชมพูสด ขณะที่เจ้าตัวปากรวดอีกก้อนหนึ่งในมือลงไปในน้ำ
“พล่ามอันใดของเจ้า”
ร่างเล็กผินหน้าจากสายน้ำที่ไหลเชี่ยวกลับมายังผู้ถาม เจ้าของใบหน้าหวานพริ้มสะอาดสะอ้านดูอายุไม่เกินสิบสี่สิบห้าคลี่ยิ้มกว้างจนตาหยี “ข้าก็พล่ามไปตามที่พูดนั่นแหละ ผู้อาวุโสอย่าได้ถือสาเลย”
“เจ้า!” คนหนึ่งเคาะพัดชี้หน้าอย่างไม่พอใจ “ที่นี่ต้อนรับแค่วิญญูชนผู้มีการศึกษา เจ้าเป็นลูกเต้าเหล่าใครถึงได้กล้ามาอวดเบ่งที่นี่ รีบไสหัวกลับไปเสีย ประเดี๋ยวจะหาว่าพวกข้ารังแกเด็ก!”
ดวงตากวางของผู้ถูกไล่ตะเพิดกะพริบน้อยๆ ร่างบางเปลี่ยนท่าจากการนั่งอยู่ที่ระเบียงศาลา มายืนประจันหน้ากับคนทั้งมวล
“ผู้อาวุโสทุกท่าน” ผู้ไม่เอ่ยนามประสานมือไว้เบื้องหน้าด้วยท่าทีนอบน้อมและอ่อนช้อยกว่าเดิม “เรื่องน้ำหลากน้ำท่วมเพิ่งจะมีไปเมื่อสองวันก่อนโดยไม่มีผู้ใดทันได้เตรียมตัว พวกท่านรีบด่วนตัดสินผู้อื่นเยี่ยงนี้มิใช่วิถีของคนใจกว้าง หรือท่านมีคนรู้จักรับราชการอยู่ข้างใน ถึงได้กล้ากล่าวหาว่าเรื่องนี้ถูกผู้ที่อยู่เบื้องสูงละเลย ไม่กลัวหัวจะขาดกันหรือ”
ครั้นเจ้าคนอ่อนวัยกล่าวถึงเรื่องเบื้องสูง สีหน้าของเหล่าคนเฒ่าต่างก็เปลี่ยนไปทันควัน
ฮ่องเต้พระองค์ใหม่เพิ่งขึ้นเสวยราชสมบัติไปเมื่อปีก่อน เป็นธรรมดาที่ผู้คนทั่วไปจะยังไม่ค่อยรู้จักนิสัยใจคอ
ด้วยเหตุนี้ใครบ้างจะกล้าเสี่ยงกับข้อหา ‘ลบหลู่เบื้องสูง?’
“เจ้า...” ผู้เฒ่าเครายาวส่งเสียงฮึดฮัด “เจ้ามันก็แค่เด็กที่คิดเองเออเอง ข้าเพียงเป็นห่วงเรื่องความเป็นอยู่ของชาวนา เจ้าอายุแค่นี้จะไปรู้เรื่องอันใด!”
“ท่านผู้อาวุโสกล่าวได้ถูกต้อง ข้ายังเด็กนัก จะไปรู้เรื่องอันใด” คนอายุน้อยกล่าวพลางพยักหน้าหงึกๆ การแสดงออกว่าเห็นด้วยส่งผลให้บัณฑิตทั้งหลายขมวดคิ้วงงงวยมากกว่าเดิม
เจ้าเด็กบ้านี่จะมาไม้ไหนกันแน่...
“ข้าถือเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่ไร้ประสบการณ์ ไฉนเลยจะไปสู้ผู้ที่อาบน้ำร้อนมาก่อนอย่างพวกท่าน บ้านเมืองนี้มีผู้รอบรู้มากมาย แต่ไม่เคยเลยสักคราที่ทางการและพวกท่านจะมีโอกาสได้หารือ พวกท่านคิดว่า... สาเหตุมาจากอะไร” หนุ่มน้อยหน้ามนถามพลางไล่สายตามองพวกเขาตาแป๋ว ครั้นเห็นกลุ่มบัณฑิตเริ่มมองหน้ากัน เจ้าตัวก็เอามือไพล่หลัง บ่นพึมพำต่อ
“อ้อ... ที่แท้แม้กระทั่งเหล่าผู้รู้ศาสตร์รู้ตำรา เรื่องความเป็นอยู่ปากท้องของตนเองก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน”
ครานี้ผู้ที่ร้อนตัวถึงกับหน้าแดงกันถ้วนหน้า
“สามหาวนัก! อย่ามาพูดจาปั้นน้ำเป็นตัว”
“ใช่! ไม่เคยมีเรื่องพรรค์นั้นเสียหน่อย!”
“พวกเราเป็นนักปราชญ์ ในเมื่อมีความรู้ติดตัว มีหรือจะไม่ช่วยคนที่เดือดร้อน”
“หือ...” ผู้ฟังลากเสียงยาว มุมปากยกยิ้มนิดๆ “หมายความว่าสำหรับพวกท่านแล้ว เรื่องคุณธรรมย่อมมาก่อนเรื่องปากท้องของพวกท่านเองใช่หรือไม่”
ในเมื่ออีกฝ่ายโปรยทางมาเช่นนี้ หากพวกเขาไม่ยอมรับก็เท่ากับเสียหน้าครั้งใหญ่ เหล่าบุรุษหลายช่วงวัยต่างยืดอก ตอบประสานเป็นเสียงเดียวกัน
“แน่นอน!”
“เลื่อมใส เลื่อมใส เด็กเมื่อวานซืนเช่นข้าเลื่อมใสพวกท่านยิ่งนัก” เจ้าของเสียงหวานค้อมศีรษะน้อยๆ เพื่อเก็บซ่อนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของตนเอง “พี่ชายท่านนั้นได้ยินแล้วใช่หรือไม่ ท่านผู้อาวุโสเหล่านี้ต่างรับปากว่าจะช่วยโดยไม่คิดค่าตอบแทน!”
หือ?
คนรุ่นเก่าเห็นหนุ่มน้อยหน้ามนหันไปตะโกนพูดกับผู้ที่อยู่ด้านนอก ก็รีบหันขวับไปมองโดยพร้อมเพรียงกัน
นั่นมัน...
แม้ดวงตาหลายคู่จะเริ่มฝ้าฟางเพราะวัยที่โรยรา ทว่าด้วยระยะใกล้ ประกอบกับชุดโดดเด่นที่อีกฝ่ายสวม ต่อให้ผู้มองตาบอดสีก็ย่อมมองออก
“ทะ...ทำความเคารพท่านเจ้าเมือง”
ผู้ที่มาใหม่คือชายหนุ่มวัยสามสิบต้นๆ สีหน้าเคร่งขรึม ด้านหลังมีทหารจากทางการติดตามมาอีกสิบนาย
ต่อให้จำนวนบัณฑิตในศาลาจะมากกว่า ทว่าเนื่องจากศาลาแห่งนี้คร่อมอยู่บนผืนน้ำถึงกึ่งหนึ่ง ทหารเพียงเท่านั้นก็มากพอที่จะปิดล้อมทางออกที่เหลือไว้ได้ทั้งหมด
เหล่าผู้มารวมตัวกันในศาลาต่างมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ก่อนหน้านี้ใช่ว่าจะไม่มีคนของทางการมาเรียนเชิญหรือขอความช่วยเหลือ แต่เพราะผู้มีชื่อเสียงมากวิชาเหล่านี้ต่างเรียกค่าตอบแทนสูงลิ่ว ดังนั้นพวกขุนนางข้าราชการทั้งหลายจึงได้รับคำสั่งจากองค์เหนือหัว ไม่ให้ข้องเกี่ยวกับพวกเขาอีก
แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมทำให้สมาคมนักปราชญ์และบัณฑิตต่างไม่พึงพอใจ ถึงขั้นร่วมมือกันปล่อยข่าวเสื่อมเสียให้แก่ราชวงศ์ จับกลุ่มนัดประชุมกันพร่ำบ่นในที่สาธารณะ จนชาวบ้านต่างลือกันทั่วว่าราชสำนักไม่เห็นหัวเหล่าบัณฑิต ไม่ให้เกียรติผู้รู้ที่น่าเลื่อมใส
พร่ำบ่นแต่ปัญหา... ทว่าไม่เคยเสนอแนวทางแก้ไข
เรื่องนี้... สร้างความเสื่อมเสียให้แก่แคว้นเยว่ไม่น้อยเลยทีเดียว
เหล่าผู้ก่อเรื่องซึ่งยืนอยู่ในศาลาต่างรู้ความผิดของตนเองดี ด้วยเหตุนี้จึงพากันยืนนิ่งราวกับร่างกลายเป็นหิน จะมีก็แต่หนุ่มน้อยหน้ามนที่เดินฝ่าฝูงชนออกนอกศาลาไปอย่างสง่าผ่าเผย
ผู้เป็นเจ้าเมืองไม่รอช้า เดินตรงเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าร่างเล็ก ประสานมือคำนับพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณ “ขอบพระคุณ ท่านหญิงมู่”
บัณฑิตเหล่านั้นต่อให้ก่อเรื่องวุ่นวายแต่ก็มีศักดิ์ศรีมากพอที่จะรักษาสัจจะ ต่อไปนี้ทางการจะได้รับความร่วมมือที่ดีกว่าเมื่อก่อนอย่างแน่นอน
ด้านผู้ยืนอยู่ใกล้พอที่จะได้ยินสรรพนามเรียกขานต่างอ้าปากค้าง
เจ้าเด็กปากกล้าผู้นี้เป็นถึงท่านหญิงเชียวรึ!
พวกเขาพยายามหลอกตัวเองว่าคงหูฟาด จนกระทั่งทหารที่รายล้อมอยู่ด้านนอกประสานเสียงกันกึกก้อง
“ทำความเคารพท่านหญิงมู่!”
วันนี้มู่เฟยเหลียนอารมณ์ดีเป็นพิเศษ บุตรสาวคนโตของท่านอ๋องมู่ยกยิ้มซุกซน ก่อนจะหันไปโบกมือให้ผู้ที่อยู่ในศาลาเป็นการส่งท้าย
“ขอบคุณผู้อาวุโสทุกท่านที่พร้อมใจกันสร้างประโยชน์ให้แก่บ้านเมือง ข้ามู่เฟยเหลียน ขอใช้ชื่อตนเองเป็นประกัน เรื่องนี้จะต้องถึงหูของเบื้องสูงอย่างแน่นอน”
แทนที่คนฟังจะซาบซึ้ง ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม เมื่อพวกเขาต่างหน้าซีดกันเป็นแถบ
‘เรื่องนี้’ ที่ว่า... นี่นางหมายถึงเรื่องใดกัน!
[1] ********สำนวนนี้ปรากฏใน จดหมายเหตุสามก๊ก ภาคจ๊กก๊ก ชีวประวัติของขงเบ้ง แปลความหมายได้ว่า คนมีความสามารถ แต่ขาดที่ที่จะแสดงออกมาเท่านั้น