...หากมีอะไรผิดพลาด ทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่พอใจ ศีรษะเขาต้องหลุดออกจากบ่าอย่างแน่นอน!
“ฝ่าบาท เหลียนเอ๋อร์เป็นสตรีที่ยังไม่ผ่านพิธีปักปิ่น โปรดให้เกียรตินางด้วยพ่ะย่ะค่ะ” มู่หลิ่งเหวินกล่าวเสียงเรียบ ใบหน้าดำคล้ำจนน่ากลัว
“ท่านพ่อ...” มู่เฟยเหลียนหันไปมองบิดาอย่างขอความช่วยเหลือ ไม่กล้าขัดขืนอย่างเปิดเผยเพราะกลัวว่าจะเป็นภัยแก่ครอบครัว
ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้ดีว่ามู่หลิ่งเหวินกำลังอดกลั้นอย่างที่สุดแล้ว หากผู้ที่กระทำมิใช่ฮ่องเต้ เกรงว่าป่านนี้คงถูกซัดฝ่ามือใส่จนกระอักเลือดไปแล้ว
“เหลียนเอ๋อร์” เหอซิงกำมือแน่น มองบุตรสาวอย่างเป็นห่วงและกังวล
ด้านหวงผู๋อี๋ส่งเสียงหัวเราะในลำคอ มือที่จับตัวเด็กสาวออกแรงดึงอีกฝ่ายจนตัวลอยจากพื้น สอดมือใช้ข้อพับแล้วอุ้มนางต่อหน้าธารกำนัล!
ไอสังหารรุนแรงแผ่ออกมาจากร่างมู่หลิ่งเหวิน สายตาจับจ้องผู้ที่อาจหาญแตะต้องบุตรสาวอันเป็นที่รักด้วยแววตาลุกโชนไปด้วยโทสะ
“ฮ่าๆๆ!”
จู่ๆ ฮ่องเต้ก็อ้าพระโอษฐ์หัวเราะดังลั่น เสียงเข้มแหบของบุรุษวัยสามสิบกว่าเริ่มแปรเปลี่ยนไปทีละน้อย กลายเป็นเสียงนุ่มทุ้มไพเราะอันน่าฟัง ชวนให้สตรีหลายคนพากันเคลิบเคลิ้ม
จู่ๆ พื้นห้องโถงก็สั่นไหวอย่างรุนแรง จานอาหารและจอกสุราบนโต๊ะร่วงหล่นแตกกระจายเต็มพื้น กวานสีทองหลุดออกจากศีรษะของหวงผู๋อี๋ เรือนผมสีดำที่ปลิวสะบัดเริ่มเปลี่ยนกลายเป็นสีเงินสลวย
มู่เฟยเหลียนหลับตาปี๋เมื่อปะทะกับแสงรัศมีเจิดจ้าโดยตรง ครั้นลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าร่างของบุรุษที่อุ้มนางเปลี่ยนไปราวกับคนละคน
เส้นผมสีเงินยาวจดสะโพก ใบหน้างดงามยากจะแบ่งแยกหญิงชาย ดวงตาสีเงินเรียวหงส์ล้อมกรอบด้วยแพขนตางอนยาว ใบหูสามเหลี่ยมโดดเด่น และพวงหางทั้งเก้ากวัดแกว่งอยู่เบื้องหลังแสดงให้เห็นชัดเจนว่าบุรุษผู้นี้มิใช่มนุษย์!
ที่แท้ภาพของฮ่องเต้ที่พวกเขาเห็นก็แค่ภาพมายาตบตาของปีศาจจิ้งจอก!
ผู้คนทั้งหลายพากันอ้าปากค้างอย่างตื่นตะลึง ความงามของสิ่งมีชีวิตตรงหน้าทำให้พวกเขาตาพร่า คล้ายถูกสะกดให้มัวเมาลุ่มหลง
“ฝะ...ฝ่าบาท...” หลี่จวงตกใจจนแข้งขาอ่อนแรง ทรุดเข่าล้มลงบนพื้น
แล้วหวงผู๋อี๋ตัวจริงเล่าอยู่ที่ใด หรือว่า...
ใบหน้าของขันทีคนสนิทของฮ่องเต้เริ่มถอดสี ประวัติศาสตร์ที่บันทึกและส่งต่อกันมาอย่างยาวนานของราชวงศ์เคยกล่าวถึงเรื่องปีศาจและมนตร์ดำ ทุกครั้งที่สิ่งเหล่านี้ปรากฏตัว บ้านเมืองย่อมเกิดหายนะ
หากมันสังหารฮ่องเต้เพื่อแย่งชิงสตรีซึ่งมีชะตานางหงส์ไป...
“ฮึก! ฝ่าบาท!”
เสียงกรีดร้องของหลี่กงกงฉุดรั้งสติของคนในห้องโถงกลับมา แขกเหรื่อทั้งหลายที่มาร่วมงานไม่ได้รับอนุญาตให้พกอาวุธ เว้นแต่ทหารอารักขาคุ้มกันที่อยู่ด้านนอก
“ชะ...ช่วยลูกด้วย ท่านพ่อ ท่านแม่!” มู่เฟยเหลียนซึ่งตกอยู่ในเงื้อมมือของปีศาจกล่าวเสียงสั่นเครือ ตัวสั่นเหมือนลูกนกไร้ทางสู้ ไม่สามารถปกป้องตัวเองได้
ในสถานการณ์เช่นนี้อย่าว่าแต่เด็กสาวเลย ต่อให้เป็นบุรุษนักรบเข้าไปแทนที่ ก็ใช่ว่าจะมีปัญญาต่อกรกับปีศาจได้
บัดนี้นอกจากมู่หลิ่งเหวินกับเหอซิงที่เป็นห่วงความปลอดภัยของบุตรสาว คนที่เหลือก็มีแต่รักตัวกลัวตายด้วยกันทั้งนั้น
“อ๊าก!”
“ปีศาจ!”
“รีบหนีเร็วเข้า!”
“ฮือ! ช่วยข้าด้วย ข้ากลัว! ข้ากลัว!”
งานรื่นเริงที่มีบรรยากาศครึกครื้นสนุกสนานเมื่อครึ่งชั่วยาม[1] ก่อน กลับกลายเป็นความวุ่นวายโกลาหลเมื่อเชื้อพระวงศ์และขุนนางต่างกรีดร้องแล้ววิ่งตรงไปยังประตู
ตำหนักจัดงานเลี้ยงมีทางเข้าและทางออกเพียงทางเดียว นายทหารซึ่งอยู่ด้านนอกรีบเปิดประตูเมื่อได้ยินเสียงโวยวายจากด้านใน ครั้นเปิดประตูออก คนก็เบียดเสียดทะลักกันออกมา บางคนสะดุดล้มโดนเหยียบอย่างน่าเวทนายิ่ง
อาคันตุกะในวันนี้รวมๆ กันแล้วมีประมาณสองร้อยกว่าคน นอกจากนี้ยังมีนางกำนัล นักดนตรี และนางรำรวมๆ กันอีกเป็นร้อย การที่พวกเขาวิ่งออกมาพร้อมกันทำให้เกิดการเบียดเสียด มิหนำซ้ำทหารองครักษ์ซึ่งอยู่ด้านนอกก็ยังสับสนและไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ในฐานะทหารผู้มีหน้าที่ปกป้องผู้เป็นนาย หัวหน้าองครักษ์เฉินหมิงซึ่งเป็นบุรุษวัยสี่สิบก็ออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว “พวกเจ้าทั้งหมดแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกอารักขาเชื้อพระวงศ์และขุนนาง กลุ่มที่สองติดตามข้าเข้าไปคุ้มกันฝ่าบาท!”
“ขอรับ!”
ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาประมาณห้าสิบนายขานรับกันอย่างแข็งขัน ก่อนเฉินหมิงจะนำคนเข้าไปก็ฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้จึงหันไปหาคนใกล้ตัว
“เจ้ารีบไปตามองครักษ์หน่วยอื่นมาเร็วเข้า!”
ผู้ที่กล้าบุกทำลายงานเลี้ยงย่อมไม่มาดี มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นมือสังหารซึ่งมีทักษะการแฝงตัวที่เก่งกาจ เพราะก่อนหน้านี้เขามิอาจจับกลิ่นอายที่ผิดปกติจากด้านในได้เลย
เฉินหมิงกระชากดาบยาวออกมาจากฝัก ครั้นลูกน้องช่วยกันเปิดทางให้แล้วก็วิ่งฝ่าแขกเหรื่อเข้าไปด้านใน
ทันทีที่บุรุษทั้งหลายก้าวเท้าเข้ามาในห้องโถง ไอสังหารอันรุนแรงก็ถาโถมเข้าใส่ดุจคลื่นยักษ์ ทำให้อวัยวะทั่วร่างชาหนึบ มิอาจขยับเขยื้อนประดุจเป็นอัมพาต
เฉินหมิงขบกรามแน่น ที่แท้สาเหตุที่เขาสัมผัสความผิดปกติที่เกิดขึ้นในตำหนักจัดเลี้ยงไม่ได้ก็เพราะมีบางสิ่งกั้นเอาไว้นั่นเอง
หัวหน้าองครักษ์คิดพลางเพ่งสายตามองไปยังใจกลางห้องโถง พบว่าหลี่กงกงสลบเหมือดอยู่บนพื้น มู่หลิ่งเหวินกับเหอซิงยืนอยู่คนละฟากห้อง แต่หันกายไปยังจุดเดียวกัน บุรุษผมสีเงินแปลกประหลาดอุ้มร่างของมู่เฟยเหลียนซึ่งตัวสั่นเทาไว้ในอ้อมแขน ทั้งสองฝ่ายตั้งท่าพร้อมเข้าปะทะกันทุกเมื่อ
ทว่าภายในห้องโถงกลับไร้เงาร่างของหวงผู๋อี๋
“อะ...อารักขาท่านอ๋องกับพระชายา ช่วยหลี่กงกงออกมา สังหารผู้บุกรุก!” เสียงทุ้มแหบของเฉินหมิงดังสู้กับกลิ่นอายคุกคามที่แผ่ออกมาอย่างต่อเนื่อง
“เฉินหมิง!”
ดวงตาของหัวหน้าองครักษ์สั่นไหวเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากหลังม่าน
ผ้าม่านสีเข้มหลังเก้าอี้ตัวใหญ่ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ประทับขององค์เหนือหัวถูกกระชากจนเปิดออก เผยให้เห็นร่างของบุรุษในอาภรณ์สีทอง เดินมุ่งหน้าออกมาอย่างสง่าผ่าเผย
หวงผู๋อี๋ตัวจริงเผชิญหน้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยท่าทีเคร่งขรึม สายตาโกรธเกรี้ยวจับจ้องไปยังปีศาจจิ้งจอก
ฮ่องเต้หนุ่มไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปีศาจตนนี้โผล่มาได้อย่างไร พอมันมาถึงก็ใช้มนตราทำให้พระองค์หลับใหลและขังพระองค์ไว้ในหีบผ้า คาดเดาจากเสื้อผ้าที่สวม มันคงสวมรอยเป็นพระองค์ เข้ามาก่อความวุ่นวายต่อหน้าแขกผู้มียศศักดิ์สูงส่งเป็นอันดับต้นๆ ของแคว้น มิหนำซ้ำยังจับตัวบุตรีของจวนอ๋องมู่ไว้เป็นตัวประกัน
ชายหนุ่มซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงโอรสสวรรค์รู้สึกเสียหน้าครั้งใหญ่ ต่อให้อีกฝ่ายเป็นปีศาจ เขาก็ไม่มีวันปล่อยให้มันทำตามอำเภอใจ
หวงผู๋อี๋ต้องการรู้ให้ได้ว่ามันมีจุดประสงค์อันใด เมื่อรู้แล้วก็จะลงโทษประหารด้วยวิธีห้าม้าแยกร่าง เอามีดทื่อสับและแร่เนื้อเป็นหมื่นๆ ชิ้น!
“ทหาร! จับตัวปีศาจตนนี้ให้ได้!”
[1] 1 ชั่วยาม เท่ากับ 2 ชั่วโมงในปัจจุบัน