กลับเป็นชายหนุ่มเสียอีกที่ฟังแล้วชะงัก แววตาเปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย
มู่เฟยเหลียนผิวพรรณขาวสะอาด หน้าตาน่ารักผุดผ่อง พูดจาฉะฉาน มีความมั่นใจในตนเอง ดูก็รู้ว่าเป็นสตรีที่มาจากตระกูลชั้นสูง
นางเองก็คงเผชิญหน้ากับเหตุการณ์บางอย่างมา จึงได้ตัดสินใจออกเดินทางตามลำพังโดยไม่มีผู้ติดตาม
หลวนเจี้ยนเสียนคิดพลางส่ายหน้า “ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว”
ผู้อายุน้อยกว่ายักไหล่ “ตกลงว่าอย่างไร อยากเดินทางกับคนไร้เดียงสาหรือไม่”
“ทั้งยังดื้อดึงมากอีกด้วย” เขาส่ายหน้าเสร็จก็หรี่ตามองนาง “เมื่อครู่นี้ข้าจับตัวเจ้า รู้สึกว่าตัวเจ้าเย็นมาก”
“ตัวข้าเย็นเป็นปกติอยู่แล้ว”
อีกฝ่ายหัวเราะน้อยๆ เอนหลังพิงกายกับบานประตู มู่เฟยเหลียนสังเกตเห็นความผิดปกติของเขาจึงเดินเข้าไปหา แล้วก็เป็นจริงดังที่นางคิด ดวงตาของหลวนเจี้ยนเสียนกะพริบถี่ ลมหายใจหอบ สีหน้าอ่อนแรงราวกับกำลังไม่สบาย
‘หรือว่าเขาจะมีโรคประจำตัว’
นางคิดพลางฉวยโอกาสที่ชายหนุ่มกำลังอ่อนแอ เขย่งปลายเท้าเอามือตนเองแตะหน้าผากอีกฝ่ายเบาๆ มู่เฟยเหลียนสะดุ้งโหยงเมื่อพบว่าหน้าผากของหลวนเจี้ยนเสียนร้อนราวกับไฟ!
ชายหนุ่มหลับตาลง พึมพำราวกับคนละเมอ “เย็นสบายดีจัง...”
“เจ้าเป็นไข้ ต้องรีบไปหาหมอ”
เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังตอบกลับมา “บนเรือลำนี้ไม่มีหมอ ผู้โดยสารยี่สิบคน ส่วนใหญ่เป็นครอบครัวพ่อค้า คนเรืออีกสิบคนก็แค่ทำตามหน้าที่เดินเรือให้เรือแล่นถึงฝั่ง”
“ถึงอย่างไรก็อาจจะมีคนช่วยรักษาเจ้าได้บ้าง”
“หากเขารู้ว่าข้าป่วย คงจับข้าโยนลงทะเลมากกว่ารักษา”
เด็กสาวชะงัก ผู้คนจะใจดำอำมหิตได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ
หลวนเจี้ยนเสียนหลุบตามองสีหน้าตกใจของนาง มุมปากยกยิ้มนิดๆ ยกมือลูบศีรษะคนตัวเล็กอย่างเอ็นดู “ข้าถึงได้บอกอย่างไรเล่าว่า เจ้าไร้เดียงสาเกินไป”
“พวกเขากลัวว่าเจ้าจะเป็นโรคร้ายแรงที่สามารถติดต่อสู่ผู้อื่น จึงเลือกที่จะกำจัดทิ้ง?”
ชายหนุ่มยกยิ้มทั้งที่สภาพของตนเองย่ำแย่ “หัวไวใช้ได้นี่”
มู่เฟยเหลียนหน้าบึ้งตึง ปัดมือเขาออกอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าตาย แล้วก็ไม่ยอมให้พวกเขาโยนเจ้าลงทะเลด้วย”
มือเรียวล้วงเข้าไปในอกเสื้อเพื่อหยิบตลับยาสีน้ำตาลแต้มเขียวออกมา ข้างในนี้เป็นยาที่มารดาของนางปรุงขึ้นมาด้วยตนเอง
เด็กสาวหยิบยาเม็ดเล็กสีน้ำตาลออกมาจากตลับแล้วยื่นไปตรงหน้าหลวนเจี้ยนเสียน
“กินยานี้เสีย”
กลิ่นขมของยาส่งผลให้อีกฝ่ายเปิดเปลือกตา สีหน้าเหยเกบิดเบี้ยว “เจ้าเป็นหมอหรือ”
“ไม่ใช่”
“แล้วเจ้าเอาอะไรให้ข้า...”
“ข้าไม่ใช่หมอ แต่ท่านแม่ของข้าเป็นหมอ” ผู้ที่นานๆ ครั้งจะมีสีหน้าจริงจังกล่าวเสียงเรียบ มิหนำซ้ำยังยัดเม็ดยาดังกล่าวเข้าไปในปากของเขา “เจ้าพูดเองว่าคนบนเรือจะเอาเจ้าไปทิ้งทะเล ในเมื่อจะตายอยู่แล้ว ก็ลองเสี่ยงดวงกับข้าดูสักครั้ง ยาเม็ดนี้จะช่วยบรรเทาอาการ ทำให้ไข้ของเจ้าลดลงชั่วคราว แต่ถึงอย่างไรก็ต้องไปให้หมอตรวจและรักษาอยู่ดี”
หลวนเจี้ยนเสียนมองผู้ที่อายุน้อยกว่าตนเองอย่างชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจยอมกลืนเม็ดยาดังกล่าวลงคอ
“ข้อเสนอของเจ้า ข้าคิดว่า...”
“รอเจ้าหายดีก่อนค่อยให้คำตอบข้าก็ได้” นางกล่าวเสียงเนิบช้า “ระหว่างนี้เจ้าแค่คิดว่าจะทำอย่างไรไม่ให้คนบนเรือจับได้ว่าเจ้าป่วยก็พอ”
ชายหนุ่มไอแค็กๆ เสร็จก็หรี่ตามองมู่เฟยเหลียน “เจ้าไม่กลัวข้าเป็นโรคร้ายแรงหรือ”
“ท่านแม่บอกว่าข้าแข็งแรงมาก มีภูมิคุ้มกันดี ตั้งแต่เกิดมาข้าไม่เคยป่วยเลยสักครั้ง” ผู้ที่โอ้อวดตนเองอย่างมั่นใจเอามือกอดอก ยักคิ้วหลิ่วตาให้เขาอย่างยั่วเย้า
“ไม่เคยป่วยไม่ได้หมายความว่าป่วยไม่ได้”
“เถียงข้าได้แบบนี้อาการคงค่อยยังชั่วแล้ว” มู่เฟยเหลียนเดินเข้ามายืนข้างหลวนเจี้ยนเสียน “เดินไหวหรือไม่”
จอมยุทธ์หนุ่มไม่ตอบ ยาที่อีกฝ่ายให้เขากินทำให้อาการหน้ามืดและตัวร้อนทุเลาลง ทว่ากล้ามเนื้อที่อ่อนแรงก็ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการเดินเหิน เขาก้าวขาไม่กี่ก้าวก็เซจนต้องเอามือค้ำผนังไม่ให้ล้มลงไป
เด็กสาวเห็นแล้วทนดูไม่ได้ ก่อนหน้านี้หลวนเจี้ยนเสียนยังดีๆ อยู่เลย จึงทำให้นางอดกังวลไม่ได้ว่าบางทีเขาอาจจะไม่ได้แค่เป็นไข้ตัวร้อนธรรมดา “มา ข้าช่วยเอง”
หลวนเจี้ยนเสียนก้มหน้ามองสีหน้าของคนอาสาซึ่งมีเค้าความกังวลอย่างเปิดเผย มุมปากก็ยกขึ้นนิดๆ
‘เป็นเด็กที่ดีจริงๆ เลยน้า’
“ข้าตัวหนักนะ”
“ก็คิดไว้แล้วละ” นางดึงแขนเขาให้มาคล้องที่คอ พอชายหนุ่มโถมน้ำหนักลงมาครึ่งหนึ่ง เด็กสาวร่างเล็กก็ถึงกับเซไปสามก้าว
คนป่วยกลั้นขำจนไหล่สั่น
“กลืนมันลงไปประเดี๋ยวนี้” มู่เฟยเหลียนชักสีหน้าไม่สบอารมณ์ ครั้นเห็นเขาเม้มปากก็เปิดประตู ช่วยพยุงร่างหลวนเจี้ยนเสียนออกมาด้านนอก
เรือสำเภาโคลงเคลงไปตามเกลียวคลื่น เด็กสาวคิดว่าไม่ว่าอย่างไรคงมิอาจตบตาผู้อื่นจึงเอ่ยปากออกความเห็น “หากมีผู้อื่นมาถาม เจ้าก็บอกว่าเมาเรือก็แล้วกัน”
“อือ เอาตามที่เจ้าว่า”
ปัง!
เสียงระเบิดคล้ายพลุสัญญาณทางด้านนอก ส่งผลให้สองหนุ่มสาวชะงักไป มู่เฟยเหลียนประคองร่างของจอมยุทธ์หนุ่มไปนั่งบนลังไม้ใกล้ๆ พูดกำชับด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เจ้ารอที่นี่ก่อน ประเดี๋ยวข้าจะไปดูว่าด้านนอกเกิดอันใดขึ้น”
“ช้าก่อน!” เขาร้องห้าม ครั้นนางหันกลับมาจึงรีบพูดต่อ “หากเป็นเรื่องอันตรายขึ้นมาจะทำอย่างไร”
มู่เฟยเหลียนยกมือทาบอก แสร้งทำสีหน้าซาบซึ้งใจ “เป็นห่วงข้ารึ”
ชายหนุ่มหัวเราะหึๆ เอานิ้วจิ้มหน้าผากเด็กสาว กดย้ำๆ อยู่สองสามทีค่อยพูด “ข้าไม่อยากเห็นคนรู้จักตาย”
นางฉีกยิ้มแล้วปัดมือเขาออก “วางใจเถิด ข้าเองก็รักตัวกลัวตายเช่นกัน”
หลวนเจี้ยนเสียนได้ฟังเช่นนั้นก็สบายใจ จัดการโบกมือไล่นางอย่างอ่อนแรง “รีบไปรีบกลับ”
มู่เฟยเหลียนส่ายหน้าน้อยๆ เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายเริ่มทำตัวเหมือนนายจ้างมากกว่าลูกจ้าง จอมยุทธ์ผู้นี้แลดูเจ้ากี้เจ้าการไม่น้อย หากจะออกเดินทางด้วยกัน นางคงต้องหาวิธีรับมือในระยะยาว