ร่างหนาหนักลงแช่กายในบ่อน้ำร้อนกลางตำหนักดำ แล้วสอบถามองครักษ์ข้างกายตน ส่งเสียงเย็นชา
"แผนการณ์เป็นอย่างไรบ้าง"
"ได้ส่งตัวเจาอี๋ตัวปลอมเข้าไปในตำหนักแล้วเพคะ"
"มิมีผู้ใดสังเกตุได้ เพราะนางนั้น คล้ายว่าองค์จักรพรรดิมิทรงโปรด มิมีการยกป้ายถวายตัว มิมีสิ่งของพระราชให้ มิมีการเสด็จเยือน คล้ายนางเข้ามาเป็นเพียงตัวประกัน เพื่อรอคอยบางสิ่ง"
"ให้นางใช้ยาพิษเคลือบร่างกายไปทุกส่วน เพื่อรอเวลาเสีย"
"แล้วนักฆ่าที่ลับลอบเข้าตำหนักมังกรเล่า มิสามารถฝ่าองครักษ์ ไปได้เลยหรือ "
"ยังมิส่งข่าวมาเพคะ คาดว่าคงอีกมินานเพคะ"
ร่างหนาแหวกว่ายในสายธาราที่อุ่นร้อน และโผล่ขึ้นมาเกาะขอบบ่อ ข้างๆองครักษ์ที่นั่งหมอบอยู่ ร่างหนากระซิบเบาๆ
"ราตรีนี้เหมาะนัก จงลงมือสังหารพระชนนีให้สิ้นไป หากสบโอกาสยามองค์จักรพรรดิเร่งรุดมา จงประหัตประหารลงไปเสีย"
" ข้าจะออกไปด้วยตนเอง หากกระทำการมิสำเร็จ ผู้ใดรอดตายจงพานางหนีออกไปที่หุบเขาม่านฟ้า ข้ามิอยากละทิ้งนางไว้ที่นี่ นางมิอาจจะมีชีวิตรอดต่อไปได้อีก เพราะข้าล่วงเกินนางไปแล้ว"
"ให้คนพานางออกจากวังในยามนี้ ดีหรือไม่เพคะ จะได้มิต้องห่วงนางอีก"
"ยังก่อน ข้ายังอยากอยู่กับนาง ให้นางมิอยากแยกจากกัน ในตอนนี้ "
"เพคะ "
ร่างหนาเดินขึ้นจากน้ำ องครักษ์ปรนนิบัติเช็ดหยาดน้ำออกจากพระวรกาย และคลุมผ้าให้แผ่วเบา ร่างหนาเดินออกมาช้าๆขยับกายออกมา มาเฝ้ามองนางในยามที่นางหลับไหล
ลูบผมนางช้าๆ นึกถึงยามเยาว์วัยที่ทรงถูกเสด็จพ่อสั่งเฆี่ยนตี ยามถูกเพ็จทูล โป้ปดว่าทรงทำร้ายผู้อื่น
ตนนั้น เป็นดั่งองค์ชายไร้เงา ต้องยืนแอบซ่อนในทิวไม้
ยามนั้น มู่เหมียนช่างซุกซนนัก นางแอบซ่อนผู้คนหลบเข้ามายังอาณาเขตของตำหนักดำ ร่างผอมซูบของตนนั่งเศร้าสร้อยอยู่เพียงผู้เดียว ร่างบางวิ่งเข้ามากอดอย่างไร้เดียงสา
"แบร่ พี่ชาย ท่านเข้าวังมาแล้วหลงทางหรือ หรือเป็นอันใดเล่า ใบหน้าจึงหมองคล้ำนัก "
ใบหน้างดงามของนางขยับเข้ามาใกล้ๆ แล้วก็กอดหอมตนเองบางเบา
"ยามที่พี่ชายของข้า มีอันใดที่มิพอใจ เพียงข้าทำเช่นนี้พี่ชายจะหายสิ้นในทุกสิ่ง ท่านเองก็เป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่เล่าเจ้าคะ"
องค์ชายน้อยลูบแก้มตนน้อยๆ ลูบผมนางเบาๆ มิเคย ด้วยมิเคยมีเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน มาพูดคุยด้วยมาก่อน ทรงมีเพียงองครักษ์ประจำกาย ที่ท่านพ่อทรงประทานมาให้เพียงผู้เดียว ร่างบางถือวิสาสะนั่งลงบนตักของเด็กชาย แล้วกอดรัด
"ข้าว่าข้าง่วงแล้วนะพี่ชาย ข้าเบื่อหน่ายสตรีในวังหลวงยิ่งนัก พวกนางสนใจแค่เพียงเรื่องของสตรีอื่น ข้ามิอาจจะทนฟังได้ เลยแอบหลบหนีมา"
"เจ้าชื่ออันใดกัน"
"เหลียนมู่เหมียน บุตรสาวผู้เดียวของท่านอำมาตย์เหลียนเจ้าค่ะ "
"เช่นนั้นหรือ"
ใบหน้างดงามพยักหน้าน้อยๆ แล้วล้วงมือลงไปในอกเสื้อ มินานนางก็หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งขึ้นมา แล้วซับไปบนใบหน้า ขององค์ชายน้อยนั้น
"มารดาข้าสอนข้าไว้ ให้ช่วยพี่ชายเช็ดถูใบหน้าเช่นนี้เสมอๆ มารดากล่าวว่า บุตรผู้มีสกุลนั้นห้ามทำให้ใบหน้าตน เลอะเทอะเปรอเปื้อนเจ้าค่ะ "
ร่างงดงามพวงแก้มแดงระเรื่อ ยกยิ้มร่าเริงขึ้นมาพลัน
"เช่นนั้น ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ข้าขอได้หรือไม่ "
"ย่อมได้ซิเจ้าคะ ผ้าผืนนี้ข้าปักเองกับมือเลยนะเจ้าคะ พี่ชาย"
"มารดาว่า สตรีงดงาม ต้องปักผ้าให้งามเช่นใบหน้าของตนเจ้าค่ะ ยามออกเรือนสตรีต้องปักผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว ด้วยนะเจ้าคะ "
"เช่นนั้นหรือ"
"ต้องเป็นเช่นนั้นซิเจ้าคะ พี่ชาย "
ร่างบางนั่งพิงบนตักองค์ชายน้อยอย่างมิยำเกรง จวบจนเวลาผ่านไป นางก็หลับไหล องค์ชายน้อยก็ยินยอมให้นาง ใช้ตนเองนอนต่างหมอน จนนางตื่นขึ้นมา
"คุณหนูเหลียนเจ้าคะ คุณหนูเหลียน ท่านอยู่แถวนี้ หรือไม่เจ้าคะ"
ร่างบางสะดุ้ง แล้วยกนิ้วชี้ปิดปากตนเบาๆ ย่องหลบออกไปข้างพุ่มไม้
ยามนางจากไปแล้ว องค์ชายน้อยๆก็ยกหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนน้อย มาเช็ดใบหน้าตนเบาๆ ทำตามอย่างนาง มิยินยอมให้ใบหน้าตนต้องเปรอะเปื้อนอีกเลย
หลังจากนั้นมินาน เสด็จพ่อ ก็มิเคยเสด็จมาอีกเลย ผ่านไปนาน จึงมีข่าวคราวว่าทรงประชวรขึ้นมาแล้ว
องครักษ์และขุนนางในสกุลของมารดา เข้ามาหารือกันแน่นขนัด ทุกผู้คนลงความเห็นให้ปิดตำหนักดำ ซ่อนเร้นต่อสายตาผู้คนไปอย่างเงียบเชียบ ส่งข่าวว่า องค์ชายเหวินเต๋อทรงประชวรหนัก ขอตัวหมอหลวงลงมาตรวจในตำหนัก
มิคาดว่า ผลที่ได้รับก็ดียิ่งกว่าที่คิด พระชนนี เร่งส่งข่าวตอบกลับมาว่า
"หมอหลวงในวังหลวงนั้น ต้องเฝ้าองค์จักรพรรดิและองค์รัชทายาทมิห่าง มิอาจลดตัวลงมาช่วยเหลือบุตรชายของสนมต่ำต้อย แค่เพียงชั้นเฟยได้เลย"
ผู้คนฝ่ายตนจึงสาสมใจแก่ใจนัก ปล่อยข่าวว่า องค์ชายเหวินเต๋อเจ็บออดแอดๆ มิอาจออกมาคบค้าสมาคมกับผู้ใดได้อีก
มินานผู้คนก็ลืมเลือนไป
แม้แต่พระชนนีที่เคยรุมเร้ารังแก ก็ยังหลงลืมได้ ชีวิตในตำหนักดำจึงยิ่งสุขสบายนัก แม้มิมีข้าวปลาอาหารชั้นเลิศ ส่งมาในตำหนักดำ แต่อาหารห้องเครื่องก็มิได้ย่ำแย่นัก นางข้าหลวงก็ยังคงปฎิบัติอย่างเท่าเทียมอยู่เช่นเดิม
หลังจากนั้น ผู้คนที่คอยสนับสนุน ก็นำองค์ชายตัวปลอมมาเฝ้าตำหนักแทนตน และลักลอบนำองคชายน้อย ไปฝึกเพลงยุทธเช่นองค์ชายอื่นๆ ศึกษาการศึกและศาสตร์ต่างๆที่นอกวังหลวง ที่หุบเขาม่านฟ้า
จวบจนได้กลับลักลอบเข้ามา ในตำหนักดำอีกครา ทนอยู่ในความมืด จุดเทียนในตำหนักดำทุกเช้าค่ำ
จวบจนผู้คน สามารถสลับขันทีและนางกำนัลจนสำเร็จ รอบตำหนักดำ จึงมิมีผู้คนเข้ามาย่างกรายอีก
จากนั้น เมื่อยามที่เสด็จพ่อทรงสิ้นพระชนม์ไป ผู้คนฝ่ายในก็ต้องระเห็จออกไปนอกวังหลวง ยามนี้จึงสงบเงียบ มิต้องคอย ระแวดระวังอันใด
ตำหนักดำ ช่างห่างไกลจากส่วนขององค์จักรพรรดินัก มิอาจพบเจอกันได้โดยง่ายดายอีก แม้แต่พระชนนีผู้ควบคุมฝ่ายใน ก็ยังมิเคยระแคะระคายเลย
เพราะนางนั้น มองเห็นองค์ชายเหวินเต๋อตัวปลอม ขึ้นรถม้าออกนอกวังหลวงไปเงียบๆ อย่างไร้ผู้คนห้อมล้อม เฉกเช่นเดียวกับองค์ชายองค์อื่นๆ จึงกลับกลายว่าทรงเป็นเพียงองค์ชายนอกสายตา มิเพ่งเล็งสังหารอีก
"ผู้ไร้เพลงยุทธ ผู้เจ็บป่วยรอวันตายแล้ว ผู้ใดต้องออกแรงจะเข่นฆ่าอีกกัน"
ศึกหนัก จึงตกไปที่องค์ชายรองและองค์ชายสาม ที่ต้องสู้รบกับนักฆ่ามิเว้นแต่ล่ะวัน
ช่างง่ายดายนัก ยามองค์ชายสามนั้นใกล้จะตกตาย ก็แสร้งยื่นมือเข้าไปช่วยในวาระสุดท้าย ช่วยชายาและบุตร ผู้คนฝ่ายองค์ชายสาม จึงเทมาทางตนอย่างง่ายดาย ผู้คนสนับสนุนจึงแน่นขนัด รากฐานกำลังจึงเริ่มมั่นคง
" อีกมินานทุกอย่างคงสำเร็จดี "