เกิดใหม่...ใกล้เธอ
3
สำหรับบางคนแล้ว ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานถึงสองทศวรรษ(ยี่สิบปี) แต่ความทรงจำในบางเรื่องก็ยังคงติดตรึงอยู่ในห้วงของหัวใจ ราวกับว่ามันได้ถูกแช่แข็งเอาไว้แบบนั้น เพื่อรอเวลา และบางเรื่องก็ส่งผลให้ชีวิตในปัจจุบันกลายเป็นเรื่องที่ดูยากเย็น เสมือนว่ากำลังลงโทษตัวเองอยู่และไม่รู้ว่าอีกเมื่อไหร่จะได้หลุดพ้น
"ว่าแล้วว่าวันนี้นายต้องอยู่ที่นี่"
ภาคินเดินเข้ามาหาร่างสูงโปร่งของชานนทร์ที่ยืนถือดอกกุหลาบสีขาวในมือ นัยน์ตาคมคู่นั้นเหมือนผ่านการหลั่งน้ำตามาบ้างแล้ว ชานนท์ถอนหายใจ จ้องลงไปบนผืนน้ำนิ่ง เขามาเยือนที่นี่ในวันนี้เพราะวันนี้คือวันครบรอบวันที่เขาเจ็บปวดมากที่สุดในชีวิต
"ตามมาทำไม"
"ไม่ได้ตาม วันนี้คุณแม่ให้พามาที่นี่ มาทำบุญครบรอบวัน...ที่วนิดาจากไป"
"ถ้าวันนั้น วนิดารอฉันสักหน่อย ป่านนี้เธอก็คงยังอยู่..มันเป็นความผิดของฉันเอง"
เสียงนั้นเอ่ยออกมาจากลำคอที่แห้งผาก ชานนท์เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า น้ำตาเริ่มซึมออกมาอีกครั้ง ภายในใจยังคงคิดถึงดวงหน้างดงามของวนิดาอยู่เต็มหัวใจ ยังคงโทษตัวเองอยู่ทุกคืนวันว่าเป็นเพราะตัวของเขาเองที่ทำให้เธอต้องจากไป
"หยุดโทษตัวเองสักทีเถอะ มันไม่ใช่ความผิดของใครทั้งนั้น ทุกอย่างชะตาฟ้าลิขิตมาหมดแล้วเรากับวนิดาคงจะมีบุญวาสนากันเพียงเท่านั้น และอีกอย่างเรื่องมันผ่านมาแล้วยี่สิบปีนายควรที่จะเริ่มต้นใหม่กับใครสักคนได้แล้วชานนท์"
ภาคินตบไหล่ปลอบชานนท์เบาๆ เขารู้ดีว่าไม่เป็นผล เพราะพูดแบบนี้มารอบที่ร้อยที่พันแล้วกระมัง แต่ดูเหมือนว่าชานนท์ยังคงยึดติดอยู่แต่กับวนิดาจนไม่ยอมแต่งงานมีครอบครัวสักที
ลำคลองแห่งนี้ถึงแม้ว่าไม่ได้กว้างใหญ่เหมือนดั่งเช่นยี่สิบปีที่แล้ว แต่ดอกบัวยังคงปกคลุมอยู่เต็มพื้นที่หากแต่ว่า พืชน้ำอาจจะเพิ่มมาอีกหนึ่งชนิดนั่นก็คือ 'ผักตบชวา'
"นายว่าชาติหน้าจะมีจริงมั้ย?"
ชานนท์หันมาถามภาคินทีเล่นทีจริง
"ไม่รู้สิ ต้องลองตายก่อน"
"งั้นนายลอง"
"จะบ้าเหรอลูกฉันยังเล็ก"
เสียงหัวเราะหึหึดังออกมาจากลำคอของคนทั้งคู่ จะว่าขำขันก็ไม่ใช่เศร้าก็ไม่เชิง อารมณ์เหมือนกับว่ากำลังประชดประชันโชคชะตาของชีวิตอยู่เล็กน้อย
"หรือว่า ฉันต้องไปพบเธอชาติหน้า"
"งั้นชาตินี้นายต้องทำตัวเองให้มีความสุขได้แล้ว วนิดาจะได้มีความสุขที่นายมีชีวิตต่อไปอย่างมีความสุข เพราะกว่าจะถึงชาติหน้าที่ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงมั้ยมันนานนะโว้ย...นนท์"
"ไม่ล่ะ ฉันไม่สามารถรักใครได้อีก ฉันไม่รักคนอื่นนอกจากวนิดา"
"อืม ตามใจ"
ภาคินถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ป่วยการที่จะพูดให้ชานนท์ใจอ่อน และดูเหมือนทั้งหมดในชีวิตนอกจากบิดากับมารดาแล้ว ชานนท์ก็ยังคงยึดมั่นอยู่กับน้องสาวของเขาไม่เสื่อมคลาย
โชคชะตามักเล่นตลกกับคนที่มีรักแท้อย่างมั่นคงอยู่เสมอ ไม่ถูกกีดกันจากครอบครัวก็ต้องพรากจากกันก่อนวัยอันควร ทั้งที่ชีวิตของเขาและเธอควรจะได้ไปต่ออย่างราบรื่นแท้ๆ
ชานนท์ ภัสร์สกุล หนุ่มโสดรูปหล่อพ่อรวย อายุ35ปี ปัจจุบันเป็นเจ้าของโรงเรียนอินเตอร์เนชั่นแนลชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และเขายังเป็นอาจารย์สอนพิเศษในมหาวิทยาลัยอีกหนึ่งอาชีพด้วย เรียกได้ว่าเติบโตมาอย่างดีแต่ยังไม่เป็นฝั่งเป็นฝา เขายังคงครองตัวเป็นโสดอย่างไม่สนคำใครๆ แม้แต่ผู้เป็นบิดาและมารดา
ด้วยความที่เขาเป็นอาจารย์หนุ่มรูปหล่อ มักจะมีสาวน้อยสาวใหญ่ทอดสะพานต่อคิวขายขนมจีบกันอยู่ไม่ขาดสาย
แต่ดูเหมือนว่าอาจารย์หนุ่มคนนี้จะไม่มีทีท่าว่าจะสนใจใคร ด้วยบุคลิกเคร่งขรึม เย็นชา สุขุม แทบจะไม่ค่อยยิ้ม ถึงแม้จะมีสาวๆเข้าหาเขามาแล้วหลายต่อหลายคน
แต่คนเหล่านั้นก็ถูกปฏิเสธกลับไปอย่างไร้เยื่อใยแทบจะทุกคน ไม่ไว้หน้าแม้แต่คนที่มารดาจัดการนัดบอทให้ก็ตาม
จนมีข่าวลือเสียงซุบซิบนินทากันว่าอาจารย์หนุ่มหล่อนั้นอาจจะไม่มองหญิงก็เป็นได้ ข่าวลือเหล่านี้ใช่ว่าชานนท์จะไม่รับรู้แต่เขาหาได้ใส่ใจ และไม่รู้สึกสะทกสะท้านใดๆเลยแม้แต่นิด
"กลับมาแล้วเหรอนนท์"
"ครับแม่"
ชานนท์เดินเข้ามานั่งข้างๆผู้เป็นมารดา วันนี้เขาดูเหนื่อยจนคุณนับดาวผู้เป็นมารดารับรู้ได้ เพราะเป็นแบบนี้ทุกๆปี
ความเศร้าภายในจิตใจของชานนท์ไม่มีใครสามารถแบ่งเบามาได้เลย เพราะหลายต่อหลายคนที่คอยพูดปลอบใจให้เขาปลดปล่อยและปลงก็ไม่เป็นผล
"นนท์.."
"อย่าเลยครับแม่ อย่าพูดอีกเลย"
ชานนท์เอ่ยขึ้นในขณะที่เอนกายลงไปบนโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อน
"วนิดาคงไม่มีความสุข ที่ลูกยังไม่มีความสุขอยู่แบบนี้"
"เปล่าครับ ผมมีความสุขที่ได้คิดถึงเธอในทุกๆวัน ผมมีความสุขแบบนี้ ถึงแม้ใครๆจะมองว่าผมไม่มีความสุขก็ตาม ความทรงจำที่มีเธอนั่นแหละครับ คือความสุขของผม"
"อืม งั้นก็แล้วแต่ลูกเถอะ โทรตามน้องกลับมาได้แล้ว วันนี้ไม่ได้ไปมหาวิทยาลัยไม่ใช่เหรอ หายไปไหนวันนึงแล้วนะ จริงๆเลยลูกคนนี้นี่"
"คงจะนัดเพื่อนไปเที่ยวเล่นแหละครับแม่ น้องน่ะอายุยี่สิบแล้วนะครับ ปล่อยๆบ้างเถอะ"
"ถึงจะโตแล้ว แต่แม่ยังมองลูกกับน้องเป็นเด็กเหมือนเดิมนั่นแหละ นี่จะกินข้าวที่บ้านก่อนมั้ย หรือจะกลับเลย"
"กินครับ กะจะมาฝากท้องกับแม่นั่นแหละคร้าบ"
ชายหนุ่มยิ้มให้ผู้เป็นมารดาอย่างเอาใจ วงแขนแข็งแรงสวมกอดลงไปบนร่างท้วมของผู้เป็นมารดาอย่างออดอ้อน วันนี้ทีไรเขาจะกลับมาบ้านทุกทีเพราะไม่อยากใช้ชีวิตอยู่คนเดียว ถึงแม้ว่าจะแยกตัวไปซื้อบ้านอยู่คนเดียวแล้วก็ตาม
"พ่อล่ะครับ"
"วันนี้น่าจะดึกมีประชุม ชีวิตนักการเมืองก็แบบนี้แหละลูก ทำงานไม่เป็นเวล่ำเวลา"
"พ่อน่าจะพักผ่อนได้แล้ว พาแม่ไปเที่ยวบ้าง"
"ไม่เอา ไม่ไปไหนหรอก แม่ชอบอยู่บ้านเป็นห่วงต้นไม้ใบหญ้าที่ปลูกเอาไว้"
"คร้าบผม เอาไว้ยัยตาแต่งงานมีครอบครัวมีหลานเมื่อไหร่คุณแม่ก็ไม่เหงาแล้ว"
"ยัง ยังก่อน ให้น้องเรียนจบก่อนเถอะ แม่ยังทำใจไม่ได้ อย่าเที่ยวยุไป ฝั่งนั้นน่ะยิ่งเห็นคนหล่อๆไม่ได้อยู่ด้วย ดูทีคลั่งนักร้องเกาหลีวงGot7 จนมีรูปติดเต็มห้องนอนไปหมดแล้ว"
"แม่รู้จักด้วยเหรอครับ?"
ชานนท์ยิ้มกว้างออกมา อย่างขำขันผู้เป็นมารดาและอีกมุมก็อดที่จะเอ็นดูยัยน้องสาวตัวแสบที่มีอายุห่างกันเกือบสิบห้าปีของเขาไม่ได้
"ทำไมจะไม่รู้ล่ะ ส่งรูปมาให้แม่ดูเต็มแชทเลย จนแม่จะเป็นด้อม อา อะไรแล้วนะ อ่อ อา-กา-เซ อะไรนี่ล่ะ"
ชานนท์แทบจะหลุดขำกลิ้งออกมากับความเป็นคนแก่ที่ทันสมัยของผู้เป็นมารดา เหมือนจะโดนยัยกวินตาน้องสาวจอมแก่นของเขาพาผู้เป็นมารดาเข้าวงการเกาหลีไปเรียบร้อยแล้ว
ตั้งแต่น้องสาวคนนี้ของเขาเกิดมา เหมือนมาสร้างสีสันในชีวิตของผู้เป็นบิดาและมารดาของเขาไม่น้อยเลยทีเดียว ไม่ต้องมากังวลกับชีวิตที่มีแสงเพียงริบหรี่ของเขา
ถ้าเปรียบเปรยกับอะไรสักอย่าง ชานนท์คงเปรียบตัวเองเป็นน้ำแข็งขั้วโลกเหนือที่ไม่มีวันละลาย หรือถ้าจะละลายทั้งหมดก็คงอาจจะใช้เวลาถึงร้อยปีพันปีเลยกระมัง