ช่วงเย็นของวันถัดมา
ณ แชงกรีล่า
วันนี้เป็นอีกวันที่มีนากลับมาทำงานที่แชงกรีล่า สภาพของเธอดูอิดโรยเล็กน้อยเพราะเมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ปาไปตีสามกว่า คุณทิมใช้งานหนักพอสมควร แถมวันนี้ยังต้องแหกตาตื่นไปเรียนคาบบ่ายอีก
เลิกเรียนก็สี่โมงเย็นแล้ว ครั้นจะนอนต่อก็กลัวว่าจะไม่ตื่นมาทำงาน เพิ่งจะกลับมาทำได้แค่ไม่กี่วันเธอไม่อยากเสียประวัติ ออกไปเพราะมีคนเลี้ยงดูกับออกไปแบบไม่มีความรับผิดชอบมันคนละเรื่องกัน
เจ๊นภาคงไม่ให้โอกาสเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรอก หากให้แล้วไม่มีประโยชน์
อีกอย่าง ต่อให้ได้ช่องทางการติดต่อของคุณทิโมธีมาแล้ว แต่ไม่มีอะไรการันตีเลยว่าเขาจะมาหาเธออีก ผู้หญิงสวยๆ ทรงเดียวกันในแชงกรีล่ามีเป็นร้อย ผู้หญิงในกรุงเทพที่ทำงานประเภทนี้มีเป็นล้าน
ยังเหลืออีกตั้งหนึ่งปีกว่าจะเรียนจบได้ทรานสคริปต์วุฒิปริญญาตรีไปสมัครงาน เธอไม่กล้าหวังน้ำบ่อหน้าแล้วทุบหม้อข้าวตัวเองหรอก
แต่ต่อให้จะบอกว่าไม่หวังน้ำบ่อหน้าทว่ามีนารู้ดีแก่ใจว่านั่นไม่จริงเท่าใดนัก คุณเขากระเป๋าหนักและทิปก็โคตรหนัก แถมเป็นคนที่หล่อดีมีแฮงขนาดนั้น จริงๆ แล้วมีเธอก็แอบหวังอยู่บ้างว่าไม้ตายร้อยแปดอย่างที่ใช้ไปเมื่อคืนมันจะไม่เสียเปล่า
ขณะที่คิดแบบนั้นดวงตาสวยก็มองชุดเดรสซับในผ้าลื่นสีขาวที่ตนสวมใส่อยู่ วันนี้เธอยังรีรอไม่เปลี่ยนไปสวมชุดสำหรับขึ้นโชว์เสียที กระทั่งเครื่องสำอางบนใบหน้าเองก็ไม่แต่งให้หนัก เพื่อที่จะไม่ดูเข้มเกินตอนออกไปข้างนอก
ที่เป็นแบบนั้นเพราะยังมีความหวังอยู่ในใจ หากเขามาหาเธอก็จะได้พร้อมทันที แต่ถ้าเขาไม่มาแล้วมีใครเรียกก่อนเธอคงไม่มีข้ออ้างกับเจ๊นภา
เขาเป็นคนขอช่องทางการติดต่อไปเอง ก็ขอให้ครั้งนี้เธอฆ่าไม่ตายจริงๆ เหมือนอย่างที่กุ๊บกิ๊บพูดด้วยเถอะ
แกร็ก
"อ้าวอีมีน กลับมาอีกแล้วเหรอมึง" แต่ยังไม่ทันได้รู้ว่าคุณทิมจะมาหาหรือไม่ ดูเหมือนว่าสวรรค์ (หรือนรกก็ไม่รู้) จะส่งมารมารออยู่ที่ปากประตูแล้ว
"..."
ไร้ซึ่งคำพูดโต้ตอบใดๆ มีนามองเงาสะท้อนในกระจก เธอถอนหายใจยาวอย่างไม่รักษามารยาทเพราะไม่รู้จะรักษาไปทำไม เจ้าของประโยคนั้นไม่ควรค่าให้เธอต้องใช้คำพูดดีๆ อะไรทั้งนั้น กระทั่งความสนใจก็ยังไม่ควรได้ไปเลยด้วยซ้ำ
“นี่ถ้าเป็นกู...กูไปทำงานที่อื่นแล้วนะไม่กลับมาทำที่เดิมหรอก อายเขา" แต่ครั้นจะไม่สนใจ คนบางคนมันก็ตีความไปว่ากลัว แม้ว่าเรื่องจริงมันจะเป็นการไม่อยากเกลือกกลั้วกับคนจิตใจต่ำช้าก็ตามที
"ไหนมึงบอกมาซิอีชมพู่ ว่ากูต้องอายอะไร" หญิงสาวละสายตาจากเงาของอีกฝ่ายในกระจก ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งแต่งหน้าอยู่แล้วหันกลับไปหาเจ้าของรอยยิ้มเย้ยหยันนั้น มองแล้วก็ชักคันไม้คันมือขึ้นมา
เห็นเธออยู่คนเดียวเข้าหน่อยก็พาเพื่อนมายืนกระแนะกระแหน ไม่รู้ว่าคนเรามันว่างจนทำเรื่องไร้สาระขนาดนี้ได้ยังไง
"แหม ก็มีผู้ชายเลี้ยงกี่ครั้งก็ปิ๋วตลอด ไปไม่รอดสักรอบ แล้วก็ยังหน้าด้านกลับมาทำงานที่เดิมทุกรอบ กูถามจริงๆ เถอะ มึงไม่อายเลยเหรอ" ด้านฝ่ายนั้นพอได้ยินที่เธอถามก็พลันหันไปหัวเราะกับเพื่อนทั้งสองคนก่อนจะหันมาตอบ
อีชมพู่ เป็นเพื่อนร่วมอาชีพของเธอที่ทำงานที่นี่มานานกว่า และชอบรวมกลุ่มอยู่กับพวกเด็กรุ่นเก่าๆกับพวกคนที่ไม่ค่อยมีสมองเป็นของตัวเอง คอยเกะกะระรานปากเปราะใส่คนนั้นทีคนนี้ที
มีนาไม่แน่ใจนักว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่อีกฝ่ายถึงได้คอยค่อนแคะเธออยู่ได้ ดูจะพุ่งเป้ามาหามากกว่าคนอื่นเสียด้วย ตอนที่ยังมีกุ๊บกิ๊บอยู่ยังแค่แซะลอยๆ ไอ้แบบนั้นมันก็พอจะปล่อยให้เป็นลมผ่านหูไปได้บ้างอยู่หรอก
แต่นี่เดินมาเยาะเย้ยกันถึงที่ แถมทำต่อหน้าคนอื่นที่นั่งมองอยู่ในห้องแต่งตัวแบบนี้มันจะเกินไปหน่อยแล้วมั้ง เห็นเธอไม่เคยตอบโต้เหมือนคนอื่นแล้วคิดว่าจะยอมง่ายๆ เหรอ
รู้จักคนอย่างอิมีนาน้อยไป
"กูไม่อายหรอกอีชมพู่ เพราะนอกจากตัวกูเองกูก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน แล้วมึงล่ะอายไหม? ที่ขายมาจนผมบนผมล่างจะหงอกเกือบหมดอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครสนใจจะรับไปเลี้ยงดูเลย”
“...”
“คนที่อยู่นานกว่ามึงนี่แทบจะมีแต่เจ้าที่แล้วนะ ไม่อายเหรอ เป็นกู...กูอายนะเนี่ย"
หญิงสาวเอ่ยถามเสียงหวานขณะที่เดินเข้าหาอีกฝ่ายอย่างไม่กลัวเกรง แม้ว่าวันนี้จะมีความหวังเรื่องที่ว่าคุณทิโมธีจะมาหาอีก แต่รอบนี้ต้องขอละเรื่องนั้นเอาไว้ก่อน เพราะคันไม้คันมือมากจริงๆ
ด้านฝ่ายคนมาหาเรื่องแม้ว่าจะหน้าเจื่อนไปเล็กน้อยแต่ก็ยังคงพยายามดึงเอาไว้สุดความสามารถ หันไปที่เพื่อนด้านหลังพอเห็นว่าเธอเดินเข้าใส่ไม่เกรงกลัวก็เริ่มหันมองหน้ากันไปมา
"หึ ที่กูพูดก็ไม่ใช่อะไรหรอกนะ แค่เห็นว่าเวลามีคนรับเลี้ยงก็เที่ยวมองเหยียดคนนั้นคนนี้เขาไปทั่วอย่างกับคางคกขึ้นวอ ไอ้กูรึก็นึกว่าได้ลูกสส.แล้วจะไปแล้วไปลับ แต่แป๊บๆ ก็ตกจากวอ ทุเรศ!"
มีนาไม่แน่ใจนักว่าหากมีการลงไม้ลงมือกันจริงๆ จะโดนรุมไหม เพราะจากที่อ่านสถานการณ์แล้วก็ประมาณห้าสิบห้าสิบ ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่กลัวเพราะตัวเองก็ไม่ใช่ผู้หญิงตัวเล็กอ้อนแอ้น แต่ออกกำลังกายดูแลสุขภาพอยู่เหมือนกัน
"กูไม่รู้หรอกนะว่ากูไปทำอย่างที่มึงพูดตอนไหน แต่ถ้าความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ในช่วงชีวิตนี้ของกู มันทำให้มึงจะเป็นจะตายขึ้นมาทั้งที่กูไม่เคยทำอะไรให้ มึงก็ตายได้เลยนะอีชมพู่ เกลียดกูนักมึงก็กัดลิ้นตายให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย"
"กูไม่ตายหรอก มึงมากกว่ามั้งที่จะตาย ได้ข่าวว่าโดนซ้อมจนต้องหามส่งโรงพยาบาล มึงมันก็ไม่ได้ดีไปกว่ากูกว่าคนอื่นหรอกอีมีน เป็นกะหรี่ไม่พอยังไปเป็นกระสอบทรายให้เขาเตะเล่นอีก"
ว่าจบชมพู่ก็หันไปหัวเราะกับเพื่อนอีกสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเสียงดังกว่าเมื่อครู่ คล้ายสะใจนักหนาที่ได้สะกิดแผลนี้ของเธอได้ และหากถามว่าทำสำเร็จไหมมีนาก็คงต้องบอกว่าได้ผลอย่างแน่นอน เพราะตอนนี้เธอกำลังโกรธมากจนมือสั่น
คนเพิ่งโดนทำร้ายร่างกายมาจนเจ็บตัวสาหัส เจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจที่คนตัวเล็กๆ อย่างเธอ โดนซ้อมจนปากบ้วนเลือดขนาดนั้นแต่กลับทำอะไรคนทำอย่างมันไม่ได้
แล้วนี่ผู้หญิงด้วยกันยังจะมีหน้ามาพูดจาเยาะเย้ยด้อยค่ากันอีกเหรือ คนแบบนี้ถ้าไม่โดนตบสักทีก็คงไม่มีวันคิดได้ มันต้องโดนเสียบ้างแล้ว เผื่อว่าความโง่มันจะกระเด็นออกจากหัวเสียบ้าง
"มึงรู้ไหมอีชมพู่ ว่ากูเอียนมึงเต็มทนแล้ว ถ้ากูกับมึงมันจะอยู่กันดีๆ ไม่ได้ ก็ไม่ต้องอยู่!!" พูดจบมือเรียวก็คว้าหมับเข้าที่เรือนผมดัดลอนของอีกฝ่าย ก่อนจะใช้แรงทั้งหมดเหวี่ยงตัวของชมพู่ไปกระแทกผนังใกล้ๆ กันเสียงดัง
“โอ๊ย!!”
ท่ามกลางความตกใจ และชุดรวมถึงรองเท้าส้นสูงที่ไม่เอื้ออำนวยของฝ่ายนั้น มีนาขยุ้มเรือนผมสีน้ำตาลเอาไว้เต็มอุ้งมือก่อนจะกระชากกลับมาเต็มแรงด้วยมือข้างเดียว
ด้านเพื่อนสองคนที่เข้ามาช่วยนั้นโดนคนที่กำลังโกรธจัดสะบัดจนกระเด็นไปคนละทาง ชมพู่เบิกตากว้างอย่างไม่คาดฝันกับสิ่งที่มีนาทำ ใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางนั้นบิดเบี้ยวเหยเกด้วยความเจ็บปวด
ไม่นานก็ถูกจับให้หงายขึ้นก่อนที่ฝ่ามือเรียวจะฟาดผลัวะเข้าที่ข้างแก้มอย่างแรง ร่างผอมบางถูกสะบัดให้เสียหลักกระแทกกับฝาผนังอีกครั้ง
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนไม่มีใครเข้ามาห้ามได้ทันเลยสักคน กว่าที่เพื่อนร่วมงานคนอื่นจะได้สติก็เป็นตอนที่มีนาย่างสามขุมเข้าไปหาอีกฝ่ายที่ยังลุกไม่ขึ้น
ไม่ทันจะให้ใครได้ตั้งหลัก หญิงสาวกระชากเรือนผมสีน้ำตาลของชมพู่ที่เริ่มยุ่งเหยิงอีกครั้ง
“มึงมานี่ อีสันดาน!”
“มีนอย่า!!”
“มีนใจเย็น!”