ข้อความในกลุ่ม ซึ่งมีผู้ร่วมสนทนาอยู่สามคน แต่คนที่ส่งข้อความพูดคุยกันมีเพียงอิงครัตน์กับเปรมเรื่องงานที่จะมีการเรียนการสอนเรื่องการถ่ายภาพ แต่งภาพและขายภาพ ภัสสรายังไม่แน่ใจว่าจะไปร่วมด้วยหรือไม่ แม้จะมีกล้องถ่ายรูปที่เปรมให้ไว้ เพราะจะมีสอนการถ่ายภาพร่วมอยู่ด้วย
“โต๊ด ซุ่มอ่านอย่างเดียวเสียมารยาทนะเว๊ย” เปรมส่งข้อความ
“รับทราบค่ะ” ภัสสรายิ้มๆ หลังจากส่งข้อความ อิงครัตน์ส่ายหน้ากับความกวนของคนส่งข้อความ แต่เมื่อหันไปเห็นพัดชาจ้อง
มองอยู่จึงหุบยิ้มทันที
“ดูมีพิรุธ” พัดชาพูดขึ้น
“เอาไปอ่านสิ” อิงครัตน์นำโทรศัพท์ไปวางไว้ตรงหน้าของพัดชา
“แซวเล่น เวลาคุณยิ้มๆ น่ารักดีออก” พัดชาเอ่ยชม
“ว่าแต่ว่าที่มามีเรื่องอะไร ไม่เห็นบอกกันสักที” อิงครัตน์ถามเพราะกำหนดวันที่พัดชาต้องกลับเหลืออีกไม่กี่วันแล้ว
“อยากมาหาเฉยๆ ไม่ได้หรือ”
“ได้สิ บ้านนี้เปิดต้อนรับคุณเสมอไม่ว่าสถานะไหน ในวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร คุณรู้เอาไว้ด้วยนะ” อิงครัตน์ยิ้ม ก่อนจะเข้าไปสวมกอดพัดชาที่กระชับอ้อมกอดเอาไว้แนบแน่น
“คุณรู้ไหม พัดคิดว่าคุณจะไล่พัดให้ไปนอนโรงแรม” พัดชาอมยิ้ม
“ใครจะไปทำได้ล่ะ คุณน่ะ ญาติพี่น้องเมืองไทยมีเสียที่ไหน”
“งั้นถ้ามีก็ไล่อย่างนั้นสิ” พัดชาพูดขึ้น
“เรายังรักคุณอยู่นะ ถึงจะใช้ชีวิตแบบเดิมไม่ได้แล้วก็ตาม” อิงครัตน์ยิ้มน้อยๆ ให้
“เพราะอย่างนี้หรือเปล่า ถึงยังไม่มีใคร”
“คงงั้นค่ะ” อิงครัตน์หอมแก้มพัดชา แต่เมื่อได้ยินเสียงกดกริ่งหน้าบ้านทำให้ต้องรีบชะเง้อมองถึงได้เห็นว่าเป็นภาวรรณ
“ตอง” อิงครัตน์รำพึงออกมาเบาๆ
“พัดนัดไว้ ตองจะพาไปเที่ยว” พัดชาพูดยิ้มๆ อิงครัตน์เลิกคิ้วและรีบออกไปเปิดประตูต้อนรับภาวรรณ
อิงครัตน์มองดูการพูดคุยที่ดูสนิทสนมกันของสองสาวต่างวัน ถึงแม้ภาวรรณจะดูเด็ก แต่การพูดจาก็ไม่ได้เด็กสักเท่าไรนัก หาก
เปรียบเทียบกับจารวีที่ถูกเลี้ยงดูมาแบบตามใจ ภาวรรณอาจจะดูโตไว เพราะต้องใช้ชีวิตอยู่ในหอพักมหาวิทยาลัยก็เป็นได้ แต่ถ้าพูดคุยสนิทสนมกับพัดชาได้ก็ถือว่าไม่ธรรมดา เพราะรายนั้นเปิดรับคนได้ไม่ง่ายสักเท่าไร นอกเสียจากว่าอยากคบหาหรืออย่างทำความรู้จักเอง อิงครัตน์แกล้งทำเป็นขมวดคิ้วจ้องมองพัดชาก่อนที่จะออกจากบ้านไป ซึ่งรายนั้นเลิกคิ้วให้เล็กน้อยและหันมายิ้มๆ ให้ขณะเดินตาม
ภาวรรณออกไป
“คิดถึง” ข้อความที่ได้เห็นทำให้อิงครัตน์ยิ้มกว้างทันทีและลืมเรื่องที่กำลังคิดเกี่ยวกับพัดชาและภาวรรณ แต่ด้วยความที่อยากแกล้ง จึงเพียงแค่อ่านแต่ไม่ได้ตอบข้อความกลับไป
“รู้งี้ไม่ส่งก็ดี คิดถึงจะบ้าตายอยู่แล้ว ป้ารู้บ้างไหมเนี่ย” ภัสสราบ่นพึมพำเปิดประตูรถยนต์ที่จอดอยู่เยื้องๆ บ้านของอิงครัตน์ชะเง้อ
ชะแง้มองเข้าไปภายใน ก่อนจะยิ้มๆ เพราะตัวเองทำตัวเหมือนคนบ้าที่มายืนมองดูหลังคาบ้านคนที่ได้หัวใจไป แต่ความสบายใจของ
อิงครัตน์ คือ สิ่งที่ภัสสรา อยากมอบให้ จึงเลือกที่จะยืนเมียงมองอยู่ โดยไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านมองออก มาพร้อมด้วยรอยยิ้ม อิงครัตน์เดินไปชงกาแฟสองแก้วและเดินออกมายืนอยู่หน้าบ้านทำเป็นไม่เห็นภัสสราที่รีบกลับเข้าไปนั่งในรถยนต์ทันที
“เด็กหนอเด็ก” อิงครัตน์หัวเราะและค่อยๆ เดินออกมาที่หน้าบ้านโดยยังคงถือแก้วกาแฟมายืนจิบอยู่ที่รั้วด้านหน้า ซึ่งรอบๆ มีต้นไม้
ปลูกเอาไว้ จึงทำเป็นออกมาเดินดูต้นไม้ด้านนอก
“ทำไมต้องออกมาดูตอนนี้ด้วยนะ แต่ก็ดีจะได้เห็นใกล้ๆ”
“คิดถึงมากๆ” ข้อความถูกส่งกลับถึงภัสสราที่ออกอาการเขินอาย จนมัวแต่จ้องมองโทรศัพท์ โดยไม่ทันได้สังเกตว่า อิงครัตน์มายืนอยู่ใกล้ๆ รถยนต์ของตัวเอง แต่พอเงยหน้ามาเลยตกใจที่อิงครัตน์ชะโงกหน้ามาจ้องมองจากกระจกด้านหน้าของรถยนต์ ภัสสราหัวเราะ เพราะรู้ว่าตัวเองคงจะโดนแกล้งเข้าให้แล้ว
“จริงเหรอ” ภัสสราด้วยความอยากแกล้งคืน จึงลดกระจกรถด้านที่ตัวเองนั่งอยู่และชะโงกหน้าออกไปพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ
ซึ่งทำให้คนที่ยืนอยู่ยิ้มอายๆ ได้
“ตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จัก จนถึงวันนี้ฉันไม่เคยโกหกเธอเลยนะ”
“เวลาป้าอายแก้มแดงน่ารักดีนะ” ภัสสราบอก
“ตัวเองก็เหมือนกันนั่นแหละ ยิ้มจนแก้มจะแตกแล้ว ไปเข้าบ้านชงกาแฟเผื่อไว้เย็นหมดแล้วมั้ง” อิงครัตน์เปิดประตูรถยนต์ให้พร้อม
กับทำท่าโค้งคำนับ ภัสสราหัวเราะกับความน่ารักของคนที่ใครๆ เรียกป้า ซึ่งไม่รู้ทำไมตัวเธอนั้นถึงไม่รู้สึกอย่างนั้น อิงครัตน์ไม่เห็นแก่ตรงไหน ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างภายนอกหรือนิสัยใจคอ
“ไม่ต้องเข้าก็ได้ค่ะ เกรงใจ กลัวต้องตอบคำถามที่ไม่อยากตอบ”
“คุณเขาไม่อยู่ ออกไปเที่ยว” อิงครัตน์บอก
“ไปเที่ยว ทำไมป้าไม่ไปด้วยล่ะ”
“ตัวไม่ได้ติดกันนะจ๊ะ ตกลงจะเข้าไปไหม ถ้าเข้าบ้านจะให้กอดทีหนึ่ง” อิงครัตน์ขยับมากระซิบบอกแล้วรีบเดินนำหน้าไปก่อน
“ป้าคะ แถวบ้านเขาเรียกยั่วอยู่นะเนี่ย อายุ 50 จริงปะว๊ะ” ภัสสรายิ้มกับคำพูดหยอกเย้าของคนที่เดินเข้าบ้านไปก่อนแล้ว
อิงครัตน์พยักหน้าให้เล็กน้อย เมื่อภัสสราเดินเข้ามาในบ้านและเดินเข้าไปหาอ้อมกอดอันอบอุ่นที่ทำให้รู้สึกสบายใจ อิงครัตน์จูบเบาๆ ไปที่เส้นผมของภัสสราที่กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีก
“อีกไม่กี่วันมีสัมภาษณ์งาน ป้าอวยพรให้หน่อยนะ”
“ขอให้ผู้ใหญ่รัก ผู้ใหญ่หลง ดีไหมล่ะ” อิงครัตน์อมยิ้ม เมื่อภัสสราเงยหน้ามามองสบตาด้วย
“เพี้ยงขอให้เป็นจริงอย่างที่ป้าบอกด้วยเถิด” ภัสสราหัวเราะเล็กๆ
“หิวหรือเปล่า”
“ไม่หิวเลย แต่อยากมาเห็นหลังคาบ้าน พอดีเจ้าบ้านใจดีให้เข้ามาพักใจ” ภัสสราหัวเราะคิกคัก แต่รอยยิ้มจางลงเมื่อนึกถึงเรื่องของเมฆา
“มีเรื่องอะไรจะบอกก็ว่ามา” อิงครัตน์พูดขึ้น ขณะเดินไปหยิบแก้วกาแฟมาวางไว้ให้
“บอกดีกว่าจะได้สบายใจ” ภัสสราคิดและเริ่มเล่าเรื่องของเมฆาซึ่งไปหาและพูดจาแปลกๆ เรื่องของจารวี
“ไม่น่าเป็นเด็กแบบนี้เลยนะ พูดจาดี๊ดี ดูแค่ภายนอกไม่ได้คนเรา”
“คงเหมือนที่ป้าพูดนั่นแหละ เป็นสิทธิ์ของเขาที่จะเลือกคนที่ดีที่สุด หนูคงสู้อะไรหลานป้าไม่ได้หรอก”
“เปรียบเทียบกันไม่ได้หรอก มันขึ้นอยู่กับคนที่เขามองเรามากกว่า นายสกายมองอย่างหนึ่ง คนอื่นๆ ก็มองไปคนละอย่าง”
“แล้วป้ามองหนูยังไง”
“ร้ายกาจและจูบเก่ง” อิงครัตน์ยิ้มๆ มองสบตากับภัสสรา
“ก็คนแก่อ๊ะ คนในชีวิตเยอะ จูบจะได้รู้ไงว่าชอบมากขนาดไหน”
“ไหนบอกไม่แก่” อิงครัตน์หัวเราะ
“อายุเยอะ ไม่แก่หรอก”
“ตกลงจะไปถ่ายรูปทำงานด้วยกันไหม นายป๊อกให้ยืมกล้องแล้วลองถ่ายดูบ้างหรือยัง” อิงครัตน์ถาม
“หนูขับรถให้ไหม” ภัสสราถามเสียงอ่อยๆ เพราะเป็นการชวนไปด้วยกันแบบอ้อมๆ
“นึกว่าจะไม่พูด ค้างคืนหนึ่ง นอนที่คอนโดฉันได้หรือเปล่า”
“ห้องที่สกายไปนอนน่ะหรือคะ”
“ใช่ ถ้าไม่อยากนอนจะได้จองโรงแรม” อิงครัตน์ถาม
“เลิกแล้ว ก็แล้วกันค่ะ เจ้าป้า เพราะรู้ว่ามีคนอยากดูแลปลอบใจ” คนพูดหัวเราะคิกคัก อิงครัตน์แปลกใจไม่คิดว่าภัสสราจะกล้าพูด หลังจากที่วันนั้นได้อยู่ใกล้ชิดกันในห้องลองเสื้อ
“นี่เธอจีบฉันตลอดเวลาเลยนะ รู้ตัวบ้างไหม” อิงครัตน์แกล้งทำเป็นเสียงเข้ม
“ชอบให้จีบปะล่ะ แต่หนูจะไม่พูดต่อหน้าคนอื่นนะ เพราะดูไม่ดีสักเท่าไร” ภัสสราบอก ขณะเอามือทาบทับไปที่แก้มของอิงครัตน์ที่เริ่มแดงระเรื่อขึ้นมาทันที
“มีแววได้เป็นภรรยาน้อยอย่างเต็มตัว”
“หรือไม่ต้องสัมภาษณ์งานก็ได้เนอะ ป้าขาอยากได้คอนโดสักห้อง” ภัสสราแกล้งพูดอ้อนก่อนจะหัวเราะออกมา
“ไม่ชอบบ้านนี้หรือ” อิงครัตน์ถาม
“กลัวคุณเขาเอาน้ำกรดมาสาด ไม่ปลอดภัยหรอก บ้านป้าน่ะ”
“ไม่คิดมากจริงๆ นะ” อิงครัตน์ยิ้มจางๆ ให้
“ป้านั่นแหละ อย่าคิดมาก หนูเดินเข้ามาเอง ถ้าป้าจะให้ออกไปจากชีวิตป้าเมื่อไหร่ ป้าก็บอก ถึงป้าจะกลับไปอยู่เมืองนอกกับคุณ
เขา หนูก็จะไม่เลิกรักป้าหรอกนะ เพราะถือเป็นคนแรกที่ทำให้หนูรู้สึกและรู้จักความรักทั้งๆ ก่อนหน้าคิดว่าตัวเองเจอคนที่ใช่มาก่อน”
ภัสสรายิ้มๆ อิงครัตน์เองก็เช่นกัน
“จีบอีกแล้ว จีบตลอด” อิงครัตน์หัวเราะ แล้วโน้มตัวไปจูบเบาๆ ที่ศีรษะอย่างเอ็นดูในความเป็นคนตรงของภัสสรา
“คนเป็นภรรยาน้อยก็แบบนี้แหละ ต้องอ้อนให้หนัก จีบให้เยอะ”
“เอาจริงดิ” อิงครัตน์ส่ายหน้า สายตาอ่อนหวานที่จ้องมองอยู่ทำให้อิงครัตน์ยิ้มๆ กับความน่ารัก ใจอยากจะจุมพิตอย่างอ่อนหวาน
แต่เลือกที่จูบเบาๆ ไปที่แก้มแทน
“อยากเป็นแฟนกับหนูไหม” ภัสสราถามและจ้องเขม็ง
“ฉันแต่งงานแล้ว มีทะเบียนสมรสด้วย” อิงครัตน์บอก
“ขอเป็นแฟน หนูไม่ได้ขอแต่งงาน เรารู้กันแค่สองคน ขอเวลาได้อยู่ใกล้ๆ แบบนี้บ้างเท่านั้นเอง” ภัสสราบอกความรู้สึกของตัวเอง
“ทำไมไม่ตีโพยตีพาย ทำไมไม่มีคำถามเยอะแยะมากมาย ทำไมไม่แสดงท่าทางไม่พอใจหรืองอนทั้งๆ ที่ฉันมีคนอื่นอยู่” อิงครัตน์
ถามเพราะแปลกใจอยู่เหมือนกันที่ภัสสรารับฟังทุกเรื่อง แต่ไม่เคยที่จะถอยห่างออกไป
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ชีวิตก็ไม่ต้องน้ำเน่าเหมือนในนิยายหรอกมั้งที่ต้องรุมทึ้งแย่งแฟนกัน ป้าโตกว่าตั้งเยอะพบเจออะไรมามากมาย
ก็ไม่แปลกอะไรที่ยังรักคนที่ตัวเองแต่งงานด้วย แต่ป้าก็ยังแบ่งปันความรู้สึกดีๆ ให้กับหนู คนเราไม่สมหวังไปทุกเรื่องไม่ใช่หรือ หนูจะรัก
ป้าอยู่ในระดับพอเหมาะพอควรจะไม่ไปสร้างความไม่สบายใจให้กับคุณเขา ไอ้เรื่องน้อยใจมีนิดหนึ่งวันนั้นน่ะที่เห็นป้าจูบคุณเขา แต่ป้าก็
จูบหนูเหมือนกันเนอะ” ภัสสราหัวเราะคิกคัก อิงครัตน์ส่ายหน้ากับความทะเล้นแต่ดูเข้าใจเรื่องราวชีวิต ซึ่งดูโตกว่าบางคนที่อายุมากๆ เสีย
อีก
“เธอก็ทำให้ฉันรู้สึกดีเช่นกัน แม่โต๊ด” อิงครัตน์เอามือยีผมเบาๆ ที่ศีรษะของภัสสราที่ทำเป็นหน้ายู่ยี่ก่อนจะหัวเราะออกมา
“จะว่าไป อยากเห็นเหมือนกันนะว่าตรงไหนมีริ้วรอยบาง” ภัสสรายิ้มมีเลศนัยและสายตาวิบวับที่น่าหมั่นไส้
“เป็นเหรอเรา เรื่องนั้นน่ะ” อิงครัตน์หัวเราะเล็กๆ จ้องมองคนที่ทำหน้าจ๋อยทันที
“เอาเรื่องจริงหรือเปล่า” ภัสสราถามเสียงอ่อยๆ
“ฉันยังไม่โกหกเธอเลยนะ”
“ไม่เป็นหรอก ไม่เคยด้วย อายเนอะอายุป่านนี้แล้ว” ภัสสราบอก
“กับสกายก็ไม่” อิงครัตน์รู้สึกแปลกใจ
“ไม่จริงๆ นะ”
“ไม่ได้ว่าอะไร” อิงครัตน์อมยิ้ม
“ตกลงผู้อาวุโสจะติวให้ใช่ไหมล่ะ” ภัสสรายักคิ้วหลิ่วตาล้อ
“ขอไปนอนคิดสักสองสามปีก่อน” อิงครัตน์หัวเราะ
“โอ๊ย นั่นก็นานเกินไป นิ่มไปทั้งตัวกันพอดี” ภัสสรายิ้มอายๆ เมื่อจุมพิตอันอ่อนหวานของอิงครัตน์ทาบทับไปที่หน้าผาก
“แก่มากๆ แล้วจะรักปะล่ะ”
“นานไป รักตอนนี้เลยได้ปะล่ะ” สองสาวต่างวัยหัวเราะขึ้นพร้อมกัน