อาหารมื้อพิเศษจบลงด้วยความอิ่มเอมใจ จิรดารับหน้าที่ดูแลน้องน้อยด้วยความเอาใจใส่ เพราะเธอเกิดมาเป็นพี่คนโต ต้องดูแลน้องตั้งแต่เด็ก แม้ปู่ย่าและตายายจะช่วยเลี้ยงด้วย แต่ความสัมพันธ์ของเธอกับน้องๆ นั้นแน่นแฟ้นนัก เวลามีปัญหาอะไรเธอจะเป็นผู้รับฟังและช่วยคิดหาวิธีแก้ปัญหา หากหนักหนาสาหัสจึงค่อยปรึกษาบิดามารดา จิรดาจึงมีความคิดเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่เด็ก เธอมีเหตุมีผลและมีน้ำใจต่อคนอื่นเสมอ
จิรดาจึงเป็นที่รักของคนรอบข้าง ทั้งคนในครอบครัว เพื่อนฝูง ญาติผู้ใหญ่และครูบาอาจารย์...
ร่างน้อยที่กำลังยืนอยู่ท่ามกลางดอกไม้ในสวนของบ้านหลังใหญ่ ทำให้วิชญ์ชะงักฝีเท้า เขาลอบมองสาวน้อยด้วยสายตาอ่อนโยนและวาวหวาน ทั้งหลงใหลและปรารถนาเร้นลึก
ใจพ่อหม้ายลูกหนึ่งอยากจะเข้าไปกักกอดร่างอรชรบอบบางนั้นแนบอกแล้วบดจูบกลีบปากอิ่มสีชมพูระเรื่ออย่างดูดดื่ม หอมแก้มนุ่มๆ ของเธอให้คลายจากความโหยหา รัดรึงเธอเอาไว้ใต้ร่างแล้วสอดประสานลีลารักเร้าใจ ปลุกกระแสสวาทให้เธอครวญครางตอบสนองเขาอย่างถึงใจ
เขามองอกอิ่มผลิพุ่งที่แอบมองบ่อยครั้งตาปรอย อยากจะขยำแล้วดูดขย้ำให้หนำใจ ไหนจะเอวคอดเล็กนั่นอีก หากเขาได้สัมผัสจะกระชับเอาไว้แล้วดึงเธอให้กระแทกรับเขาใต้ร่าง สะโพกหนั่นแน่นกลมกลึงน่าลูบไล้ ผิวขาวเนียนละเอียดและกลิ่นหอมของเธอทำให้ความเป็นชายของเขาคึกร้อน อยากจะกดจูบปากร้อนไปทั่วเรือนร่างของเธอทุกลมหายใจเข้าออก
“อุ๊ย! อาวิชญ์” จิรดาอุทานเมื่อหันมาเจอวิชญ์ยืนอยู่ด้านหลัง เธอเผลอสะดุดทำท่าจะหกล้ม ร่างสูงจึงโอบรับร่างน้อยของเธอเอาไว้
สาวน้อยสะท้านเมื่อสานสบสายตากับเพื่อนรักของบิดามารดา เธอก้มหน้างุดหลบสายตาร้อนแรงของเขา ซึ่งปกติ เธอกับเขาไม่เคยใกล้ชิดสนิทสนมมากเกินคำว่าอาหลาน
“ดอกอะไรครับจิ๊ หอมจัง” เขาช้อนคางสวยของสาวน้อยขึ้นมาสบตา แม้จะรู้คำตอบดีว่าดอกไม้กลิ่นหอมในอุ้มมือใหญ่คือดอกอะไร แต่ก็ยังอยากหาเรื่องพูดคุยกับสาวน้อย
จิรดาเขินอายโดยไม่ทราบสาเหตุ เธอตัวสั่นอยู่ในอ้อมแขนของเขา สัมผัสได้ว่าเขากอดรัดเธอแน่นขึ้นจนเธออึดอัด
“ดอกจำปีกับจำปาค่ะอาวิชญ์ คุณพ่อกับคุณแม่ชอบ เลยปลูกเอาไว้” เธอตอบเสียงสั่นโดยไม่รู้ตัว นึกอยากจะตบปากตัวเองนักที่หวั่นไหวแปลกๆ ทั้งๆ ที่ไม่ควร
“หอมจังเลยนะครับ” เขาหยิบดอกไม้กลิ่นหอมกรุ่นมาเสียบทัดที่หูของสาวน้อยก่อนจะก้มลงดอมดม
“อุ๊ย! อาวิชญ์” จิรดาเบี่ยงหน้าหนีแต่หนีไม่พ้นจมูกโด่งที่ฝังลงมายังพวงแก้มหอม เธอมองเขาตาโตเพราะเขาเป็นผู้ชายคนแรกที่ปล้นความบริสุทธิ์ของแก้มสาวไป
วิชญ์อดใจไม่ไหวอีกต่อไป ทั้งๆ ที่คิดว่าจะไม่ทำให้กระต่ายน้อยตื่น แต่เขาก็อยากจะขย้ำเธอให้จมเขี้ยว กักกอดกระแทกกระทั้นใต้ร่างให้สาสมใจที่ปรารถนา มือหนาเสียบดอกไม้กลิ่นหอมชื่อคล้องจองกัน เอาไว้ที่หูอีกด้านของสาวน้อย ก่อนจะก้มลงหอมดอกไม้ระเรื่อยลงมายังแก้มสาว จิรดาเบี่ยงหลบด้วยหัวใจสั่นไหว ตัวสั่นระริกเพราะไม่เคยต้องมือชาย
“อย่าค่ะอาวิชญ์ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า” เธอใช้มือดันใบหน้าของเขาออก ใบหน้าสาวน้อยแดงระเรื่อร้อนผ่าว ไม่คิดว่าเพื่อนบิดาจะทำแบบนี้กับเธอได้
“อาขอโทษนะครับ อาทำให้จิ๊กลัวหรือเปล่า”
“อาวิชญ์ทำแบบนี้ทำไมคะ” จิรดาถามเสียงสั่นแต่จริงจังอยากล่วงรู้ถึงสิ่งที่เขาทำว่าทำเพราะอะไรกันแน่
“ทำเพราะ...” วิชญ์จับมือน้อยไปวางที่หัวใจด้านซ้ายของเขา
จิรดาหัวใจเต้นโครมครามเผลอสบสายตากับเขาอีกครั้งอย่างคาดไม่ถึง
ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงมาแนบชิด เขาฉกริมฝีปากร้อนสัมผัสปากอิ่มของสาวน้อยอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินถอยหลัง มองเธอด้วยสายตาวาบหวาม แล้วก้าวเดินเข้าบ้าน จิรดายกมือขึ้นวางบนอกด้านซ้าย หัวใจของเธอเต้นแรงจนแทบจะโลดออกมาภายนอก ..นี่เธอฝันไปหรือเปล่านี่
สาวน้อยหยิกตัวเอง ก่อนจะร้องด้วยความเจ็บ แล้วหน้ายิ่งแดงกว่าเดิมเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่คือเรื่องจริง
อาวิชญ์หอมเราแล้ว กรี๊ด... มันไม่จริงใช่ไหม!!!
จิรดากระสับกระส่ายนอนไม่หลับ เธอยกมือขึ้นลูบแก้มทั้งสองข้างแล้วหน้าแดง ทำไมใบหน้าของวิชญ์ต้องมาหลอกหลอนเธอด้วยนะ
“ไม่ๆๆ อาวิชญ์อย่ามาให้จิ๊เห็นบ่อยๆ สิ” สาวน้อยหน้าร้อนเพราะไม่ว่าจะหลับตาหรือลืมตา เธอก็กลับเห็นใบหน้าหล่อเหลาของเขากำลังยิ้มให้เธออยู่แบบนั้น
“ตายแล้วยัยจิ๊ แกใจแตกเหรอนี่ ไม่ๆๆ นั่นเพื่อนพ่อกับแม่นะ ฮือๆๆ” สาวน้อยส่ายหน้าไปมาจนผมเผ้ายุ่งเหยิงอยู่บนเตียง
จิรดาเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุจริงเพราะการเลี้ยงดู แต่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ เธออ่อนเดียงสาเหมือนเด็กเพิ่งหัดเดิน
จิรดาตะแคงหน้ามองเด็กน้อยที่หลับปุ๋ยอยู่ข้างๆ เธอคิดมโนไปไกลว่าถ้าเด็กน้อยเปลี่ยนสถานจากน้องเป็นลูกเลี้ยงจะเป็นยังไงนะ วิชุตาเบียดกายเข้ามากอดแนบอกทำให้เธออมยิ้มด้วยความเอ็นดู
“พี่จิ๊นอนไม่หลับเหรอคะ” เด็กน้อยที่หลับไปแล้ว เงยหน้าจากการซุกอกเอ่ยถามเมื่อเธอเผลอขยับตัวแรงเกินไป
“พี่จิ๊ขอโทษนะจ๊ะ ที่ทำให้หนูวิตื่น” จิรดาเอ่ยขอโทษอย่างสำนึกผิดจริงๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่จิ๊นอนเถอะนะคะ คุณพ่อบอกว่านอนดึกเดี๋ยวจะโซมแล้วไม่สวย” เด็กน้อยพูดตามคำของบิดาที่เคยบอกเธอ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก... ยังไม่ทันที่จิรดาจะได้ตอบอะไร เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเสียก่อน เธอนึกสงสัยว่าใครมาเคาะประตูตอนนี้ เหลือบมองนาฬิกาบนหัวเตียงเป็นเวลาสี่ทุ่มกว่า ..หรือจะเป็นบิดามารดา
“อุ๊ย!” สาวน้อยอุทานเมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่หน้าประตูห้อง ร่างสูงในชุดนอนแบบผู้ชายพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยนทรงเสน่ห์ทำให้เธอตาพร่าไปชั่วขณะ
..บ้าอีกแล้วยัยจิ๊ นี่หล่อนเป็นอะไรไป เมื่อก่อนไม่เป็นแบบนี้เลย แต่เอ๊ะ! เมื่อก่อนอาวิชญ์ก็ไม่เห็นเป็นแบบนี้นี่นา
“จะไม่เชิญอาเข้าห้องเหรอ”
“เอ่อ...” จิรดาอึกอัก
..คนบ้าอะไรจะมาให้เธอชวนเข้าห้อง นี่มันดึกแล้วนะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้ามันจะไม่งาม แต่ทำไมอาวิชญ์ดูแปลกๆ ไป แน่ะ! ยังมายิ้มให้อีก ยิ้มหล่อชะมัด ใจจะละลาย แข็งขาอ่อนไปหมดแล้ว คนร้ายกาจ!!!
“คุณพ่อเข้ามาก่อนสิคะ” แล้วคำพูดของเด็กน้อยในห้องก็ทำให้เธอหลุดจากภวังค์ความคิดอันแสนยุ่งเหยิงและทะลึ่งอย่างไม่น่าให้อภัย เธอกับเขาไม่ได้อยู่กันสองคนซะหน่อย ยังมีวิชุตาบุตรสาวของเขาอีกคน เขาคงมาดูลูกสาวของเขาต่างหากเล่า ว่านอนหลับสบายหรือเปล่า แต่แหม... มาเสียดึกดื่น ทำยังกะย่องมาหาสาว
..เฮ้ย! ยัยจิ๊ บ้าๆๆ คิดอะไรทะลึ่ง อาวิชญ์ออกจะไว้ตัวไม่ลากเราไปทำอะไรหรอก แต่เมื่อชั่วโมงก่อนอาวิชญ์แอบหอมแก้มเรานี่นา เห้อ... ตามมาหลอกมาหลอนทั้งในมโนและตัวจริง บ้าไปแล้ว!
“ทำไมต้องหน้าแดงด้วย” วิชญ์ก้มลงมากระซิบถามเสียงทุ้ม
“อุ๊ย!” จิรดาสะดุ้งเบี่ยงหน้าหลบ รีบพูดจากลบเกลื่อนทันที กลัวเขารู้ว่าเธอแอบคิดทะลึ่งกับเขา “เข้ามาสิคะอาวิชญ์” สาวน้อยรีบเชื้อเชิญ ปิดประตูตามหลังเมื่อเขาเข้าห้องมาแล้ว
“ถ้าคิดถึงก็บอกมาตรงๆ” วิชญ์พูดขึ้นลอยๆ
“อาวิชญ์ว่าอะไรคะ” แม้จะได้ยินชัดเจน แต่ก็ยังเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ
“ไม่มีอะไรนี่ครับ แค่จะบอกหนูวิว่าคิดถึงพ่อละสิ บอกมาตรงๆ เลย” วิชญ์ขึ้นไปนั่งบนเตียงใกล้ๆ บุตรสาว
วิชุตากอดรัดบิดาแนบอก ร่างเล็กปีนขึ้นไปนั่งบนตักของบิดา หัวเราะคิกคักเมื่อโดนหยอกล้อจี้เอวเล่น กลิ้งกันไปมาบนเตียง