“พี่จิ๊” เสียงเด็กน้อยนามว่าวิชุตา วัยหกขวบวิ่งเข้าหาจิรดาด้วยความคิดถึง สองสาวต่างวัยกอดหอมกันอย่างแนบแน่น รักใคร่ เด็กน้อยโอบกอดรอบคอของจิรดาเอาไว้ ยึดอย่างเหนียวแน่นไม่ยอมปล่อย เหมือนกลัวว่าถ้าปล่อยไปคนที่กอดเอาไว้จะหายไป
“หนูวิคนเก่งของพี่จิ๊ คิดถึงที่สุดในโลกเลยค่ะ”
“หนูวิก็คิดถึงพี่จิ๊ที่สุดในโลกเหมือนกันค่า” เด็กน้อยรีบตอบรับอย่างกระตือรือร้น ซุกใบหน้าถูไถกับแขนกลมกลึงของจิรดาอย่างออดอ้อน
ซึ่งเป็นภาพที่น่ารักสำหรับผู้ใหญ่ทุกคนที่ได้พบเห็น
“เด็กสองคนนี้น่ารักจริงเชียว” นิดายิ้มเอ็นดูก่อนจะเชื้อเชิญแขกเข้าบ้าน
“หนูวิดื่มน้ำเย็นๆ ก่อนนะคะ” จิรดาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน วิชุตาปีนขึ้นไปนั่งบนตักของจิรดาเพราะทั้งสองสนิทสนมกันดี ตั้งแต่ที่วิชญ์พาบุตรสาวมาฝากเพื่อนเอาไว้ชั่วคราว จิรดาก็รับหน้าที่เลี้ยงดูให้เป็นอย่างดี กินนอนด้วยกันเป็นเดือนๆ จนบุตรสาวแทบจะกลายเป็นคนบ้าน ‘ปรีชาเลิศวัฒนา’ ไปเสียแล้ว
“ขอบคุณค่ะ” เด็กน้อยยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อมและน่ารัก เพราะถูกสอนมาอย่างดีจากพี่เลี้ยงสูงวัย หยาดทิพย์ที่เคยเลี้ยงดูวิชญ์มาตั้งแต่เด็กและเลี้ยงดูลูกของวิชญ์อีกทอดหนึ่ง แม้นางจะมีลูกเต้าแล้วก็ยังคอยรับใช้ดูแลตระกูลวิชญนนท์อยู่ตลอดไม่ไปไหน ซึ่งสามีของนางคือกิต เป็นคนขับรถและคอยดูแลสวนของบ้าน ส่วนลูกๆ ของนางนั้นทำงานอยู่ที่โรงแรมในเครือของวิชญนนท์ เรียกว่าสนิทกันมานมนาน ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกันมาหลายปี
จิรดาป้อนน้ำให้เด็กน้อยแล้วก้มลงหอมแก้มยุ้ยด้วยความคิดถึง วิชญ์มองภาพนั้นอย่างชอบใจ ไม่เสียแรงที่เขาเคยพาบุตรสาวมาฝากให้คนที่นี่เลี้ยงดู ‘เพื่อหวังผลระยะยาว’
“หนูวิปิดเทอมแล้วเหรอลูก” นิดาพูดคุยซักถามหลังจากสาวใช้นำของว่างและเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ
“ปิดเทอมแล้วค่า หนูวิคิดถึงพี่จิ๊ เลยบอกให้คุณพ่อพามาหา”
เด็กน้อยพูดเสียงฉะฉานเพราะสนิทคุ้นเคยกับครอบครัวของนิดาเป็นอย่างดี อีกอย่างวิชุตาถูกเลี้ยงมาแบบฝึกให้กล้าหาญ กล้าแสดงออก เด็กน้อยจึงไม่เหนียมอายหรือเอาแต่หลบไม่กล้าคุยกับผู้ใหญ่เหมือนเด็กบางคน
“รบเร้าขอให้พามาบ้านนี้ใหญ่เลย เพราะคิดถึงคนที่นี่ ฉันเลยต้องพามา ไม่งั้นงอนไม่ยอมพูดด้วย” วิชญ์พูดแล้วหันไปมองลูกสาวตัวน้อยที่กำลังกินขนมอย่างเอร็ดอร่อยอยู่บนตักของจิรดา สายตาของเขาที่มองลูกสาวเพื่อนรักทั้งสอง... อ่อนโยนและวาบหวาน ก่อนจะจางหายไปในเวลาอันรวดเร็ว
วิชญ์นั้นอายุน้อยกว่ากีรติและนิดา แต่เพราะเรียนรุ่นเดียวกันจึงไม่ได้เรียกทั้งสองว่าพี่
จิรดาบุตรสาวคนโตของกีรติและนิดาจึงเรียกวิชญ์ว่าอา แทนที่จะเป็นลุงเพราะอายุอ่อนกว่าบิดามารดา อีกอย่างเรียกลุงก็ดูแก่ไปในความรู้สึกของเด็กสาว
ในสายตาของจิรดา วิชญ์เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงสมาร์ท เขาเป็นคนหล่อเหลา ใบหน้าเรียว คมเข้ม ถ้าเธอไม่เคยรู้จักเขามาก่อนคงคิดว่าเขาอายุน้อยกว่าความเป็นจริง วิชญ์เหมือนคนหนุ่มอายุยี่สิบปลายๆ เสียมากกว่าจะสามสิบหกอย่างที่เป็น
“ยัยจิ๊ก็กำลังพักผ่อนช่วงปิดเทอม แล้วก็เตรียมฝึกงาน” นิดาพูดยิ้มๆ หันไปมองบุตรสาวของตัวเองและของเพื่อนกำลังคุยกันกระหนุงกระหนิง
“ยัยจิ๊ชอบทะเล ชอบอาหารทะเล เราก็มีกิจการเป็นของตัวเอง ได้ฝึกงานที่นั่นฉันก็หายห่วง อีกอย่างก็มีนายคอยเป็นหูเป็นตาอยู่” กีรติจิบกาแฟแล้วพูดบ้าง
จริงๆ สองสามีภรรยาไม่ได้บังคับเรื่องการฝึกงานของบุตรสาวคนโต อยากไปฝึกที่ไหนก็ได้ ถ้าไปฝึกที่โรงแรมที่ไม่ใช่ในเครือของครอบครัวก็ดี จะได้เรียนรู้และนำมาปรับปรุงกับโรงแรมของตัวเอง แต่นั่นน่าจะเป็นงานด้านบริหารมากกว่า
จิรดาจึงตัดสินใจฝึกงานที่โรงแรมของวิชญ์เพราะบิดามารดาเป็นหุ้นส่วนอยู่ด้วย เธอคิดว่าจะได้เรียนรู้การทำงาน ข้อด้อย ข้อบกพร่องและข้อเด่นนำมาประยุกต์ใช้
จิรดาเป็นนักชิมตั้งแต่เด็ก หากจะเรียนรู้ด้านอาหารจากที่อื่นแค่ไปชิมก็รู้แล้วว่าใส่อะไรลงไปในอาหารบ้าง เธอไม่ชอบเลียนแบบใคร จึงนำมาประยุกต์เป็นเมนูที่ตัวเองคิดขึ้นมา ภูมิใจกว่าไปลอกความคิดคนอื่น จิรดาจึงมีหัวด้านการทำอาหารมากๆ วัตถุดิบที่ไม่คิดว่าจะนำมาทำเป็นอาหาร เธอก็จัดการได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ครอบครัวของเพื่อนรักทุกคนมีกิจการเป็นของตัวเองอยู่แล้ว ยกเว้นเพลิงตะวันที่ก่อร่างสร้างตัวด้วยตนเอง ดังนั้นทั้งหมดจึงร่วมลงทุนทำธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทด้วยกัน แต่แยกกันไปรับผิดชอบ ทุกคนจะมีหุ้นส่วนอยู่ไม่มากในแต่ละที่ ยกเว้นในส่วนที่ตัวเองดูแลเต็มตัว
ทางบ้านของวิชญ์เองก็มีกิจการอื่นๆ ในครอบครัวที่เขาสานต่อหลังจากบิดามารดาสิ้น ทำควบคู่กันไปจนประสบความสำเร็จ
จริงๆ แล้ววิชญ์เป็นคนเสนอไอเดียให้จิรดาไปฝึกงานยังโรงแรมที่ภูเก็ต นิดากับกีรติจึงได้เอ่ยถามบุตรสาวเนื่องจากเห็นว่าตรงกับสิ่งที่จิรดาต้องการอยู่ก่อนแล้ว และโรงแรมที่ภูเก็ตก็รับนักศึกษาฝึกงานจากมหาวิทยาลับที่บุตรสาวเรียนอยู่
จิรดานั้นตอบตกลงในทันที เพราะชอบทั้งทะเลและอาหารทะเลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บิดามารดาก็สนับสนุนเพราะว่าจะได้ฝากฝังเพื่อนรักเอาไว้
“เกิดมาโชคดีไม่แพ้อาหารทะเล ยัยวิก็ชอบกินอาหารทะเล อยู่ใกล้ๆ ทะเลกินอาหารทะเลทุกวัน แต่ไม่เคยเบื่อเลย” วิชญ์พูดแล้วมองบุตรสาวอย่างอ่อนโยน สายตาเผื่อแผ่ความรู้สึกพิเศษไปให้หญิงสาวที่บุตรสาวนั่งอยู่บนตักด้วย แวบเดียวก็จางหายไป แต่กลับไม่รอดพ้นสายตาอันชาญฉลาดของสองสามีภรรยาไปได้
คุณพ่อลูกหนึ่งบอกตัวเองว่า ..เขารอวันนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ น่าจะนานหลายปี ตั้งแต่จิรดาเริ่มแตกเนื้อสาว ความรู้สึกลึกๆ ที่เขาเก็บซ่อนเอาไว้และไม่เคยเปิดเผยให้ใครรับรู้มาก่อน
“แล้วนี่นายมาทำธุระที่กรุงเทพฯ เหรอ” กีรติเอ่ยถามเพื่อน เพราะไม่ได้นัดสังสรรค์กัน แต่วิชญ์กลับเดินทางเข้ากรุงเทพฯ มาอย่างกะทันหันโดยไม่แจ้งล่วงหน้า แม้จะบอกว่าเพราะบุตรสาวคิดถึงจิรดา แต่คิดว่าเพื่อนน่าจะมีธุระปะปังอย่างอื่นด้วย
“มีธุระนิดหน่อย อีกอย่างหนูวิรบเร้าจะตามมาด้วย เพราะคิดถึงจิ๊ เลยหนีบมาด้วยเสียเลย ไม่งั้นงอนป่อง งอแงจนนมไม่เป็นอันทำอะไร”
‘นม’ ในประโยคของวิชญ์คือสายหยุด หญิงสูงวัยที่ยังแข็งแรงกระฉับกระเฉง ดูแลบ้านเรือนได้อย่างเรียบร้อย ทำอาหารอร่อย เป็นผู้ใหญ่ที่เขาเคารพนับถือ แม้ไม่ใช่ญาติก็ตามที
“คืนนี้หนูวิจะขอนอนกับพี่จิ๊นะคะ” เด็กน้อยพูดขึ้นเมื่อนั่งกินขนม ฟังผู้ใหญ่คุยกันอย่างออกรส
“อย่ากวนพี่จิ๊สิครับหนูวิ” วิชญ์หันไปพูดกับบุตรสาวที่นั่งเล่นอยู่บนตักของจิรดา
“ไม่กวนหรอกค่ะอาวิชญ์ จิ๊ก็คิดถึงหนูวิเหมือนกัน คืนนี้เราจะเม้าธ์กันกระจายเลยดีไหมคะ” จิรดาก้มลงถามคนในอ้อมแขน
“ดีค่ะ หนูวิมีเรื่องจะเล่าให้พี่จิ๊ฟังเยอะแยะเลย” เด็กน้อยตบมือเปาะแปะดีอกดีใจยกใหญ่
“ให้สาวๆ เค้านอนคุยกันเถอะวิชญ์ ไหนๆ ก็มาแล้ว นายเองพักที่นี่สิ หรือมีงานอะไรด่วนต้องรีบกลับหรือเปล่า” นิดาเอ่ยชวนเพื่อนรัก
“ไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว ฉันเองก็ไม่มีงานอะไรด่วนหรอก เจ้าของบ้านชวนทั้งที ไม่นอนได้ยังไง นานๆ เจอกันที มีเรื่องคุยเยอะแยะ” วิชญ์ตอบเพื่อนรัก ลอบมองสาวน้อยหน้าหวานตาเป็นประกาย
นิดากับกีรติมองตากันยิ้มๆ แต่ไม่พูดว่ากระไร
“เย้! ขอบคุณค่ะคุณพ่อ” เด็กน้อยดีใจจนออกนอกหน้า
“งั้นจิ๊ขอตัวพาหนูวิไปพักบนห้องก่อนนะคะ เผื่อน้องจะอาบน้ำ” จิรดาได้จังหวะก็เอ่ยขอตัวเพราะผู้ใหญ่คงมีเรื่องต้องพูดคุยกัน
วิชญ์ขอตัวเช่นกัน เขาจัดการหยิบกระเป๋าเป้สีชมพูหวานแหววของบุตรสาวที่ด้านในบรรจุเสื้อผ้าเอาไว้สองสามชุดออกมาจากรถ จิรดารับไปก่อนจะจูงมือเล็กๆ เดินขึ้นห้อง คุยกันกระหนุงกระหนิงอย่างน่ารักน่าเอ็นดูไปตลอดทาง