รถยนต์จอดเทียบหน้าบ้าน ธัชพลก้าวลงแล้วเดินเข้าสู่ด้านใน เขาตั้งใจขึ้นชั้นสอง ถึงตรงบันได เสียงฝีเท้าทำเอาคนตัวใหญ่ชะงัก เงยหน้าสบตาเห็นแววตาส่งมาเยือกเย็น
“ไปกกกันจนถึงป่านนี้เลยเหรอ พ่อโทรหาเขาบอกว่าแกไม่เข้าไปทำงาน!”
คนถูกตำหนินิ่งเงียบ เพราะไม่อยากต่อปากต่อคำกับบิดา
“ถ้าแกยังไม่เห็นหัวพ่อแบบนี้ ระวังนังผู้หญิงของแกจะตกอับไม่มีงานให้ทำ!” ธเนศประกาศกร้าว มองบุตรชายแววตาดุดัน
“เรื่องนี้เรศไม่เกี่ยว เรศไม่ได้ขอให้ผมไปหา ผมไปหาเรศเอง!” เขาอธิบายเสียงเครียด
“หุบปกาของแกซะธัช ไม่ต้องมาขึ้นเสียงเถียงแทนผู้หญิงของแก สิ่งที่แกควรทำคือการเลิกกับแม่นั่นเสีย!”
ธัชพลขบกรามแน่น พยายามข่มอารมณ์ตนเองเอาไว้ ทำไมพ่อไม่ฟังเหตุผลกันบ้าง เขารักพรรณเรศ พ่อรู้แก่ใจเหตุใดยังบังคับให้แต่งงานกับพิมพ์จันทร์ ผู้หญิงคนนี้เป็นน้องสาวของคนที่เขารัก พ่อทำแบบนี้ได้ยังไงกัน
“เรศไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะพ่อ เราสองคนรักกัน ทำไมพ่อต้องบังคับให้ผมเลิกกับเรศด้วย ผมโตแล้ว เมื่อไหร่พ่อจะเข้าใจเราสองคนสักที!”
คนเป็นพ่อขบกรามแน่น หลงจนน่ามืดตามัว
“สักวันฉันจะกระชากหน้ากากผู้หญิงอย่างพรรณเรศให้แกดู แล้วแกจะได้รู้ว่าผู้หญิงคนนั้น มันไม่ได้รักแกเลย1” พูดจบชายชราเดินกลับขึ้นห้องทันที
ธัชพลยืนนิ่ง เก็บความเจ็บปวดไว้ในอก ถ้าหากพ่อเข้าใจเขากับพรรณเรศคงดี เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทำไมพ่อถึงได้ไม่พอใจในตัวคนรักของเขานักหนา แต่กลับพิมพ์จันทร์น้องสาวของพรรณเรศ พ่อกลับต้องการให้เขาแต่งงานด้วย ทำไมกัน!
พรรณเรศมองตัวเองในกระจก หลังจากช่างแต่งหน้าให้เรียบร้อย เธอหยิบบทมาทบทวนเพื่อรอเข้าฉาก ไม่นานเท่าใดนักผู้กำกับเรียกไป นักแสดงดาวร้ายอย่างเธอแสดงได้ดีจนเลิกกองไว้ เธอกลับเข้ามาในห้องแต่งตัวอีกครั้ง หย่อนกายลงบนเก้าอี้แล้วระบายลมหายใจด้วยความอ่อนเพลีย พักหลังนี้เธอเป็นอะไรไม่เข้าใจ ทำไมถึงได้ง่วงนอนตลอดเวลา แถมหน้ามืดบ่อยๆ
เสียงฝีเท้าดังเบื้องหลัง พรรณเรศจ้องมองชายรูปร่างสูงในกระจกแล้วยิ้มให้บางๆ พลรบนั่งลงข้างดาราสาว แล้วยิ้มทรงเสน่ห์ ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่พิชิตใจสาวมาทั่วหล้า
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” พรรณเรศเอ่ยถาม แล้วหยิบน้ำยาล้างเครื่องสำอางออกมา แล้วหยดใส่สำลีเพื่อลบหน้าตนเอง
“ไม่มีอะไรครับ ผมแค่อยากมองคุณแบบนี้นานๆ”
พรรณเรศยิ้มบางๆ
“อย่ามาล้อเล่นกันเลยค่ะคุณรบ คุณน่ะสาวๆ เยอะจะตายไป”
เขาระบายลมหายใจแล้วยักไหล่
“เพราะแบบนี้หรือเปล่าที่ทำให้คุณไม่รับรักผมสักที” เขาเลิ่กคิ้วมองรอคำตอบ
คนถูกถามเลือกไม่ตอบ เลื่อนเก้าอี้แล้วลุกยืน
“ฉันไปก่อนนะคะ เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ” เธอบอก แล้วเดินออกจากเต็นท์ไป
พลรบมองตามแล้วกระตุกยิ้มมุมปาก เสียดายที่เขาจีบเธอไม่ติดสักที ไม่เช่นนั้นป่านนี้ เขากับเธอคงกลายเป็นแฟนกันไปแล้ว พอจะจริงใจกับใครดันเจอเรื่องแบบนี้เสียอีก รู้สึกแย่ชะมัด
พรรณเรศเคลื่อนรถออจากลานกว้าง แล้วตรงไปยังคลีนิกเพื่อนสนิท เธอรู้สึกผิดปกติกับตนเองมาหลายวันแล้ว อาการแบบนี้มันทำให้เธอกังวล เพราะถ้าหากเป็นจริงอย่างที่หวัง บางที... เรื่องระหว่างเธอกับเขาอาจเดินหน้าต่อไปได้ อย่างไรเสียเธอก็ไม่อยากสูญเสียผู้ชายเพียบพร้อมอย่างธัชพลไป
รถจอดริมบาทวิถี หญิงสาวก้าวลงมาล้วงกระเป๋าหยิบแว่นดำมาสวมเพื่อปกปิดใบหน้า เปิดประตูเข้ามาด้านใน แพทย์หญิงสโรธรเดินออกมาต้อนรับ
“ตรวจได้เลยหรือเปล่าอะโรส” พรรณเรศถามเสียงเบา เพราะเห็นคนไข้คนอื่นกำลังมองมา
“ได้เลยเข้ามาสิ”
สองร่างเดินเข้าด้านในห้อง พยาบาลผู้ชายปิดประตูลง พรรณเรศถอดแว่นตาออก แล้วระบายลมหายใจ
“ได้ซื้อที่ตรวจมาตรวจก่อนหรือยัง” คนเป็นเพื่อนถาม แล้วสบตา
คนถูกถามส่ายหน้า “ยังเลย ไม่อยากตรวจเอง ยังไงก็ต้องมาตรวจกับเธออยู่แล้ว”
หมอสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่
“แล้วถ้าผลออกมาว่าท้องจะทำยังไง”
ดาราสาวคลี่ยิ้มกว้าง “ท้องก็ดีน่ะสิ”
สโรชามองหน้าเพื่อนสีหน้าเครียด สิ่งที่เพื่อนคิดมันไม่ผิด แต่ติดตรงที่ว่าทางนั้นจะยอมง่ายๆ งั้นเหรอ ต่อให้มีหลานก็ตาม เพราะคุณธเนศค่อนข้างมีชื่อเสียง สะใภ้คงต้องเป็นคนเก่งมีฝีมือด้านการบริหาร เพื่อเกื้อหนุนให้คุณธัชพลก้าวหน้า แต่กับพรรณเรศแล้วมันแตกต่าง เพื่อนเป็นแค่ดาราดาวรุ่ง ไม่มีความสามารถด้านการทำงานบริหารเลย ผิดกับน้องสาวอย่างพิมพ์จันทร์ ที่เก่งกาจจนกลายเป็นนักธุรกิจใหม่ไฟแรง
“คิดดีแล้วเหรอเรศ คุณธเนศเขาเป็นใครเธอน่าจะรู้ดี” คนเป็นเพื่อนเตือน
พรรณเรศยักไหล่ราวกับไม่แยแส แต่ในใจกลับหวั่นไหว เธอต้องการมีลูกเพื่อผูกมัดเขา ที่สำคัญตาแก่พ่อของเขาคงยอมอ้าแขนตอบรับเธอเป็นสะใภ้
“ฉันรู้ไง ฉันถึงพยายามให้ตัวเองท้องกับธัช!”
สโรชาส่ายหน้า แล้วระบายลมหายใจ
“ฉันหวังว่าการมีลูกจะทำให้แกโชคดีนะเรศ” เธอเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “เพราะถ้าหากท้องตอนกำลังรุ่งแบบนี้ แกจะไม่มีหน้าที่การงานรองรับอีก”
“ธัชไม่มีวันทิ้งฉันหรอก ต่อให้พ่อของเขาไม่ยอมรับ”
“โอเค งั้นเอานี่ไป”