บทที่ 1

1188 Words
ร่างใหญ่กำยำของบุรุษหนุ่ม ซึ่งได้รับคำสั่งให้บินด่วนจากรัฐเท็กซัส (อังกฤษ: Texas เป็นรัฐที่อยู่ทางใต้และตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา) ให้กลับมายังประเทศไทย ได้ก้าวเดินช้าๆ ทว่าเต็มไปด้วยความมั่นคง เข้าไปภายในบริเวณวัด ในยามโพล้เพล้หลังจากดวงสุริยาลาลับขอบฟ้าแล้ว          เจ้าของใบหน้าคมเข้มทว่าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก ดวงตาคมกริบดุจพญาอินทรี สงบนิ่งไม่ต่างจากทะเลไร้คลื่นในเดือนมืด จ้องมองไปยังศาลาวัดซึ่งแน่นขนัดไปด้วยผู้คนในชุดขาวดำ ที่มาร่วมงานศพของ ‘รสิตา’ หญิงสาวที่ด่วนลาโลกในวัยยี่สิบปีพร้อมกับลูกน้อยในท้องด้วย          ทันทีที่เจ้าของร่างใหญ่กำยำเดินเข้ามาใกล้บริเวณศาลา ก็มีเสียงซุบซิบจากแขกที่มาร่วมฟังอภิธรรมงานศพ หลายคนไม่รู้ว่าบุรุษเจ้าของใบหน้าเรียบเฉยที่แลดูดุดันคนนี้เป็นใคร หลายคนเดาว่าเขาคือพ่อของเด็กในท้อง ที่ทิ้งรสิตาไป กระทั่งทำให้รสิตาต้องคิดสั้นจบชีวิตของตนเองกับลูกน้อย          เสียงซุบซิบที่เริ่มหนาหูขึ้น ได้ลอยไปกระทบโสตประสาทของผู้เป็นเจ้าภาพ ซึ่งนั่งร้องไห้ปิ่มจะขาดใจกับการสูญเสียลูกสาว ได้หันไปมองตามที่มาของเสียงวิพากษ์วิจารณ์ พอเห็นร่างใหญ่กำยำของคนที่ตนเองเฝ้ารออยู่ทั้งวัน ก็ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ ถลาไปหาลูกชายในทันที          “วิน...มาแล้วหรือลูก...”          วิริยาเรียกลูกชายเพียงคนเดียวของตนเองด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ และขณะผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วไม่ได้ระวังตัว ก็เกิดอาการหน้ามืดซวนโซทำท่าจะล้มลง หากไม่ได้แขกเหรื่อที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กันช่วยจับประคองไว้ นางคงล้มลงไปกองกับพื้นเป็นแน่          ภาวิน ผู้ที่ถูกมารดาเรียกตัวกลับมาจากรัฐเท็กซัส ถึงกับหน้าถอดสีเล็กน้อย ตอนเห็นมารดาซวนเซจะล้ม เท้าใหญ่ก้าวยาวๆ เดินเข้าไปหามารดา โดยไม่คิดจะทักทายใครทั้งนั้น “วินมาแล้วครับ คุณแม่”          “วิน...วิน...” วิริยารำพันเรียกชื่อลูกชาย ร้องไห้ด้วยความเสียใจ ขณะโผเข้าไปสวมกอดร่างใหญ่ของลูกชายไว้แน่น “วิน...แม่เสียน้องหนูไปแล้ว แม่ไม่มีน้องหนูอีกแล้ว...มัน...มันฆ่าลูกของแม่...”          ภาวินนิ่วหน้ากับคำพูดในตอนท้ายของมารดา เขาไม่ทราบสาเหตุการตายของน้องสาวต่างบิดา ที่ไม่ได้พบกันนานเกือบสองปีแล้ว และด้วยยังไม่อยากถามมารดาในตอนนี้ จึงได้แต่ประคองร่างเล็กอ่อนปวกเปียกของท่านให้ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง          “คุณแม่ นั่งลงก่อนนะครับ”          “วิน...วิน...ต้องแก้แค้นให้แม่...” วิริยาบีบต้นแขนของลูกชายไว้แน่น น้ำเสียงที่เค้นออกมาแม้ยังคงแผ่วเบา แต่กระนั้นก็เต็มไปด้วยความเคียดแค้นอย่างที่สุด          ภาวินถอนหายใจลึก กวาดสายตามองรอบๆ ตัว ไม่มั่นใจว่าแขกที่มาร่วมงานศพ ซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ กันนั้นได้ยินคำพูดของมารดาหรือเปล่า          “เรื่องของน้องหนู เราไว้พูดกันทีหลังที่บ้านได้ไหมครับ พระท่านเดินทางมาถึงแล้ว ฟังพระสวดอภิธรรมก่อนนะครับ คุณแม่”          ผู้เป็นมารดา ทำท่าจะออกปากขอร้องอีกครั้ง เพราะนอกจากจะเสียใจกับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนแล้ว ในหัวอกของนางยังอัดแน่น เต็มไปด้วยความคลั่งแค้น อยากได้ยินคำรับปากจากภาวินว่าจะแก้แค้นให้นาง แต่...พอลูกชายยกมือพนมไหว้ ตั้งใจฟังพระสวดก็ได้แต่นิ่งเงียบ เพราะรู้นิสัยอันดื้อรั้นของภาวินดีว่า หากอีกฝ่ายไม่อยากพูดด้วยแล้ว ต่อให้นางขอร้องยังไง ภาวินก็ไม่พูดด้วย สิ่งที่นางทำได้ในตอนนี้คือการเก็บความแค้นไว้ในใจ รอเวลาอันเหมาะสมที่จะขอร้องลูกชายอีกครั้ง          ภาวินนิ่งเงียบขณะยกมือขึ้นพนมไหว้ฟังพระสวดอภิธรรมศพ ดวงตาคมกริบจ้องมองเขม็งไม่กะพริบตาไปยังภาพถ่ายหน้าโลงศพของรสิตา หรือที่ทุกคนรวมทั้งเขาเรียกว่า ‘น้องหนู’ ซึ่งคำพูดของมารดายังคงวิ่งวนอยู่ในหัวสมองของเขาตลอดเวลา         ‘มันฆ่าลูกของแม่’          ใครฆ่าน้องหนู? ใครทำให้น้องหนูต้องตาย?          หลายคำถามเกิดขึ้นในใจ ภาวินรู้แค่ว่าน้องสาวฆ่าตัวตาย แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของน้องสาวต่างบิดา เพราะในขณะกำลังดูแลโคขุน ที่เลี้ยงไว้นับร้อยๆ ตัวในฟาร์มขนาดใหญ่ที่สุดในรัฐเท็กซัส ซึ่งแน่นอนว่ามีเขาเป็นเจ้าของฟาร์มเลี้ยงโคขุนแห่งนี้ ก็ได้รับโทรศัพท์จากมารดาบอกข่าวร้ายว่ารสิตาตายแล้ว และขอร้องแกมออกคำสั่งให้เขาบินกลับประเทศไทยเป็นการด่วน          ภาวินเหลือบสายตามองมารดาเป็นระยะๆ ขณะฟังพระสวดอภิธรรมจนจบ เสียงร่ำไห้ของมารดาดังก้องอยู่ใกล้ๆ หู ท่านร้องไห้ด้วยความเสียใจอยู่ตลอดเวลา บางครั้งทำท่าจะเป็นลมจนต้องปฐมพยาบาลและมีคนคอยดูแลอย่างใกล้ชิดด้วย          หลังจากพระสวดอภิธรรมจบแล้ว แขกที่มาร่วมงานศพเริ่มทยอยกลับ กระทั่งเหลือแค่ภาวิน วิริยาผู้เป็นมารดา และญาติสนิทๆ อีกไม่กี่คนเท่านั้น          ภาวินลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินตรงไปที่บริเวณหน้าโลงศพ จุดธูปหนึ่งดอก แล้วนั่งนิ่งจ้องมองภาพถ่ายของรสิตา พึมพำถามเสียงแผ่วเบาแทบไม่พ้นลำคอ          “น้องหนู...เกิดอะไรขึ้นกับน้องหนู อาทิตย์ที่แล้ว น้องหนูโทร.ไปหาพี่ ทำไมไม่บอก ทำไมไม่เล่าให้พี่ฟัง ทำไมไม่บอกถึงความทุกข์ หรือความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับน้องหนู ใครกัน? ที่เป็นคนทำร้าย หรือเป็นต้นเหตุให้น้องหนูต้องคิดสั้นฆ่าตัวตาย”          ภาวินหลุบสายตามองก้านธูปที่ถืออยู่ในมือ ซึ่งถูกเปลวไฟเผาไหม้ไปเกือบครึ่งก้าน ก่อนจะเงยหน้ามองภาพถ่ายของน้องสาวอีกครั้ง และไม่รู้เขาคิดไปเองหรือเปล่าว่า ภาพถ่ายของ รสิตาแลดูหมองเศร้า ราวกับเธอกำลังร้องไห้อยู่ก็ไม่ปาน...          ภาวินปักธูปกับกระถางธูป ก่อนจะลุกขึ้นยืนเดินไปใกล้โลงศพ แล้วเคาะโลงเบาๆ พลางเอ่ยถามร่างอันไร้ดวงวิญญาณของน้องสาว          “น้องหนูกำลังจะบอกอะไรพี่ หรือว่าต้องการให้พี่แก้แค้นคนที่ทำให้น้องหนูต้องตาย!”          สิ้นคำถามของภาวิน จู่ๆ ก็เกิดคลื่นลมพัดแรง ทั้งๆ ก่อนหน้านี้ไม่มีคลื่นลมแม้แต่นิดเดียว กระทั่งทำให้เปลวเทียนที่จุดหน้าโลงศพดับวูบลง พวกหรีดล้มระเนระนาดไปหลายพวง ทำเอาภาวินต้องตกใจ และคนอื่นๆ ที่ยังอยู่ในศาลาวัด รวมทั้งมารดาของเขาด้วย ต่างก็หวีดร้องเสียวหลง กอดกันแน่นด้วยความตกใจระคนหวาดกลัว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD