บทที่ 5

1528 Words
“ไปได้ที่ไหนล่ะ พ่อใช้ให้ฉันไปทำธุระให้ แกนั่นแหละไปรับน้องหน่อย ขืนให้เจ้าสี่กับเจ้าเล็กไปรับ มีหวังยายลักษณ์หัวใจวายตายก่อนพอดี เจ้าสองคนนี้มันขับรถอย่างกับจะเหาะ” ปริญญ์พูดสิ่งที่เป็นมาตลอด โดยลืมนึกไปว่ามันอาจจะจุดประกายความคิดบางอย่างให้กับอีกคน ตรีศูลยกยิ้มมุมปากทบทวนในสิ่งที่พี่ชายพูด ไม่รู้เขาลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไงว่านารถลักษณ์เป็นคนที่กลัวความเร็วมาก เพราะเคยประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์อยู่ครั้งหนึ่งตอนเรียนมัธยม ทำให้ทุกวันนี้ยังไม่กล้าที่จะขับรถเลย ทั้งที่พ่อเขาเสนอจะซื้อรถให้ตั้งหลายครั้งหลายหน เพราะไม่อยากให้เจ้าหล่อนต้องลำบากโหนรถเมล์ “แล้วนั่นจะรีบไปไหนฮึเจ้าตรี” “ก็พ่อให้ผมไปรับนารถลักษณ์ไม่ใช่เหรอครับ” ตรีศูลเดินตัวปลิวออกไปแล้ว ก่อนที่ใครจะทันได้ถามหรือเอะใจอะไรขึ้นมาซะก่อน หน้าบ้านธีรกานต์ เวลา 17 : 30 นาฬิกา ปริญญ์เดินนำหน้าหญิงสาวที่ตนเองไปรับมาจากบ้าน รู้สึกโชคดีที่วันนี้ถนนโล่งกว่าที่คิด เขาอดไม่ได้ที่จะเหลียวหลังไปมองคนที่ทิ้งระยะห่างจากกันพอสมควร วันนี้คณานางค์แต่งตัวด้วยเดรสยาวสีชมพู ดูอ่อนหวานกว่าปกติ ผมที่มักจะทำเป็นลอนใหญ่ๆ สยายทั่วหลัง ขับให้เธอดูเซ็กซี่น่ามองสมกับอาชีพที่ทำ วันนี้ถูกรวบอยู่กลางศีรษะปล่อยเป็นหางม้ายาว ทำให้ลำคอของเธอดูยาวระหงเข้าไปอีก “นี่คุณ เดินช้าๆ หน่อยไม่ได้หรือไงฮะ ไม่รู้จะรีบไปตามควายที่ไหน” เขาได้ยินเสียงบ่นกระปอดกระแปดตามหลังมา ไม่ต้องเดาให้ยุ่งยาก ก็มีอยู่คนเดียวนั่นแหละที่พูด เป็นนุ่งเป็นน้องที่คลานตามกันมาหน่อยไม่ได้ พูดจาไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ ไม่มีความเคารพกันแบบนี้ เขาจะจับหวดด้วยก้านมะยมสักกำที่น่องให้เข็ดหลาบ คณานางค์ทำปากขมุบขมิบนินทาเขาเบาๆ กับตัวเอง แต่ก็อดที่จะทำปากยื่นปากยาวไปตามประสาของเธอไม่ได้ “เชอะ พูดด้วยก็ไม่ยอมพูดด้วย สงสัยจะกลัวดอกพิกุลร่วงจากปาก” “อะแฮ่มๆ” เขาทำเป็นกระแอมทีสองที ให้เธอรู้ว่าเขาได้ยินและมองอยู่ แต่เพราะไม่ทันตั้งตัวกับบางสิ่งที่จู่โจมอย่างกะทันหัน ทำให้แทนที่คณานางค์จะต่อปากต่อคำกับชายหนุ่มอีกสักยกกลับต้องตกใจและล้มก้นจ้ำเบ้าอย่างแรง “ว้าย !” ปริญญ์หันไปมองยังเสียงที่ดังอยู่เบื้องหลัง พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร จึงรีบเดินเข้าไปดู พร้อมเสียงหัวเราะที่ระเบิดออกมา “อย่าเข้ามานะ” เพราะเจ้าตัวที่มันคร่อมเธออยู่ ทั้งใหญ่ทั้งหนัก หน้าของมันก็บวมมาก แถมกำลังก้มหน้าลงมาและปากโตๆ นั่นก็เข้ามาใกล้เธอทุกทีๆ ถ้ามันเกิดหมั่นไส้เธอขึ้นมา จนนึกอยากขย้ำเธอให้จมเขี้ยวแล้วละก็ มีหวังคณานางค์คนนี้ได้เละเป็นโจ๊กอย่างไม่ต้องสงสัย “ฮ่าๆๆ” ปริญญ์ยังไม่สามารถหยุดเสียงหัวเราะของตัวเองได้ เมื่อยืนมองเจ้าศรรามยืนคร่อมทับผู้มาเยือน เขาไม่ต้องห่วงว่ามันจะทำอันตรายแขก เพราะศรรามค่อนข้างจะอัธยาศัยดี แค่บางทีชอบดื้อและขี้เล่นมากไปหน่อยเท่านั้นเอง “นี่คุณ มาช่วยเอาเจ้านี่ออกไปหน่อยสิ” เธอบอกเขาเสียงขุ่น เมื่อตั้งสติได้แล้วว่าเจ้าสี่ขานี่เป็นมิตรมากกว่าจะเป็นศัตรู (เหมือนเจ้านายมัน) ที่นอกจากจะไม่ยอมมาช่วยเธอสักที ยังเอาแต่หัวเราะเสียงดังจนหลุดมาดหนุ่มสุขุมไปเสียไกล “ศรรามมาหาโตเร็ว อย่าไปแกล้งผู้หญิงแบบนั้นสิครับ ไม่เป็นสุภาพบุรุษเลยรู้มั้ย” เขาลูบหัวเจ้าสัตว์เลี้ยงแสนรักเบาๆ เมื่อมันเดินมาหาเขาตามที่เขาเรียกอย่างไม่อิดออด “ถ้าตรีมาโตจะฟ้องตรีแน่ๆ รู้เปล่า” และเขาก็อดที่จะพาดพิงไปถึงสุดที่รักของเจ้าศรรามไม่ได้ คณานางค์ค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นจากพื้น แต่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ผู้ชายตัวสูงกับสุนัขตัวโตของเขา ‘เหอะ หมาอะไรชื่อศรราม หน้าก็ออกจะฝรั่งจ๋าซะขนาดนั้น แล้วดูพ่อคนขี้เก็กคุยกะหมาสิ แลดูจะอ่อนโยนจนน่าหมั่นไส้ชะมัด’ “มา ผมช่วย” ปริญญ์ยื่นมืออกไปให้หญิงสาวได้จับ เพื่อที่เจ้าหล่อนจะได้สามารถดึงตัวเองขึ้นมาจากพื้นได้ คณานางค์หันไปมอง ‘เจ้าศรราม’ อีกครั้ง ดูเหมือนมันจะเชื่อฟังเจ้าของมากเลยทีเดียว เพราะแค่ปริญญ์เรียกให้ไปหา มันก็ไปแต่โดยดี ไม่เห็นเหมือนเจ้าตัวป่วนที่บ้านเธอสักนิด เพราะตามใจมากไป สั่งอะไรมันถึงไม่ยอมเชื่อฟังสักอย่าง และเธอก็ใจไม่แข็งพอที่จะดุมันซะด้วย เธอมองเขาลูบหัวเจ้าตัวที่ชื่อศรรามอย่างรักใคร่และเอ็นดู รอยยิ้มที่ดูจะอบอุ่นไม่น้อยเมื่ออยู่กับเจ้าสี่ขา มันทำให้ภาพพจน์เขาดูดีขึ้นมา ‘นิดหน่อย’ ในสายตาของเธอ ‘เชอะ ทีกับเราละปั้นหน้าเป็นยักษ์วัดแจ้งวัดโพธิ์อยู่ได้’ ขณะที่ทั้งปริญญ์และคณานางค์กำลังก้าวเข้าไปในบ้านผ่านห้องรับแขก เพื่อหวังจะไปที่โต๊ะอาหาร เผอิญได้ยินผู้เป็นพ่อพูดคุยเสียงไม่เบานักอยู่กับน้องคนเล็ก ผู้ซึ่งเป็นที่ปรึกษาและแก้ปัญหาให้กับทุกคนได้อย่างชาญฉลาดที่สุด ทีแรกก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่พอยิ่งใกล้ ฝีเท้าของเขากลับต้องหยุดนิ่งลง และดึงให้หญิงสาวที่มาด้วยหยุดอยู่กับตนที่มุมผ้าม่านข้างห้อง “พ่อทำอะไรไม่ปรึกษาพี่โตก่อน เดี๋ยวก็มีเรื่องอีกจนได้” “เจ้าโตไม่ใช่เจ้าตรีซะหน่อยนี่ ถึงจะได้อาละวาดฟาดงวงฟาดงาไปเรื่อย คนนั้นน่ะฉันสั่งอะไร บอกอะไร เขาก็ตามใจไม่เคยขัดทั้งนั้นแหละ” “แต่พ่อเชื่อผมเถอะ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ยังไงพี่โตก็ไม่เล่นด้วยแน่ๆ” ยิ่งฟังคนที่แอบอยู่ยิ่งสงสัยว่าทั้งพ่อและน้องชายกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันแน่ แต่ที่มั่นใจได้เลยก็คือมันต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเขาโดยตรง และขณะที่เขากำลังจะเข้าไปถามให้หายข้องใจ กลับต้องชะลอฝีเท้าอีกครั้งเมื่อได้ยินผู้เป็นบิดาเอ่ยจบประโยคพิฆาต “ทำไมฮึ กะอีแค่พ่อขอหนูคะน้าให้มาเป็นเมียเจ้าโตมัน ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่ตรงไหน” ปริตรบอกอย่างสบายอารมณ์ ชายหนุ่มยังคงอึ้งกับเรื่องที่ไม่คิดว่าจะได้ยินอย่างกะทันหันนี้ โดยไม่ได้สนใจกลับไปมองคนที่อยู่ข้างหลังตน ว่าสาวเจ้าเองก็กำลังช็อกไม่น้อยกับสิ่งที่เกิดขึ้น “โถ่... ก็พ่อเล่นมัดมือชกอย่างนี้นี่ไง ผมถึงกลัวว่ามันจะมีปัญหา” ไม่นานนักทั้งปริญญ์และคณานางค์ก็หันมามองหน้ากันโดยอัตโนมัติ แม้ทั้งคู่จะทั้งตกใจและไม่คาดฝันกับเรื่องที่ได้ยินแต่เป็นปริญญ์เองที่ตั้งสติได้ก่อน และคิดว่าเรื่องนี้ต้องได้รับการแก้ไข ก่อนที่มันจะเลยเถิดไปไกล และสิ่งแรกที่เขาต้องทำก็คือ ต้องคุยกับผู้ร่วมชะตากรรมให้รู้เรื่องซะก่อน “นี่คุณ จะพาฉันไปไหน” หญิงสาวถามด้วยเสียงกระซิบ ตอนที่ถูกอีกคนดึงข้อมือให้เดินกลับไปหน้าบ้านอีกครั้ง ปริญญ์พาคณานางค์มาหลบมุมคุยตรงสวนใกล้ๆ กับบ้านหลังโตของเจ้าศรราม “คุณรู้เรื่องนี้มาก่อนหรือเปล่า” “เรื่องอะไร ?” ทั้งที่ก็รู้นั่นแหละ ว่าเรื่องอะไร แต่เธอก็ยังถาม “อย่ามาเล่นลิ้น” เธอจับได้จากน้ำเสียงที่เครียดขึ้งของเขาได้ ว่าไม่ควรต่อล้อต่อเถียงด้วยในเวลานี้ “เออนะ ไม่เห็นต้องดุเลย ฉันก็รู้พร้อมกับคุณนี่แหละ” มิน่าบิดาของเธอถึงกำชับนักกำชับหนา ว่าวันนี้คุณลุงมีเรื่องสำคัญจะพูดด้วย “ถ้าอย่างนั้นเราสองคนต้องรีบไปบอกพ่อผม ว่าเราไม่เห็นด้วย และจะไม่ยอมให้การแต่งงานแบบคลุมถุงชนเกิดขึ้น” เธอก็คิดเช่นเดียวกับเขา ใครล่ะจะอยากทิ้งอนาคตที่แสนอิสระ ไปใช้ชีวิตเป็นแม่บ้าน แต่เพราะเห็นท่าทีร้อนใจกระวนกระวายของผู้ชายตรงหน้า ซึ่งปกติไม่ค่อยจะหลุดมาดสักเท่าไร เลยขอแกล้งสักนิดเถอะ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD