จางม่านอวี้ถึงกับตัวชา เมื่อรู้เหตุผลที่บิดาเรียกพบ นางอึ้งไปจนพูดไม่ออก หัวใจเหมือนถูกบีบด้วยมือของคนให้กำเนิด นางไม่คิดว่า ตนเองต้องไปเป็นพระสนมในวังหลวง แล้วเป็นที่รู้กันว่า หากเป็นพระสนมที่ทรงโปรดปรานก็จะมีแต่ความสุข แต่ถ้าหากเป็นตรงกันข้าม ก็จะว้าเหว่อยู่ในวังอันยิ่งใหญ่ นางคิดว่าตนเองต้องเป็นอย่างหลังแน่นอน พระสนมในวังมีแต่ความงดงาม นางนั่นเล่าขี้เหร่ออกปานนั้น มีหรือที่ฮ่องเต้จะเหลียวมอง
“ท่านพ่อพูดจริงหรือเจ้าคะ ที่จะให้ลูกไปเป็นพระสนม” จางม่านอวี้ถามย้ำเพื่อความแน่ใจว่า ตนเองไม่ได้หูฟาด
“เจ้าฟังไม่ผิดหรอกม่านอวี้”
ไม่ใช่ว่าจางเฟยจะไม่สงสารบุตรสาว เขาสงสารแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะส่วนหนึ่งมาจากพระประสงค์ของฮองเฮา และอีกส่วนหนึ่งก็เพื่อบ้านเมือง
“ถ้าลูกตอบว่าไม่ยอม ท่านพ่อจะว่าอย่างไรเจ้าคะ” น้ำเสียงที่ถามบิดาเบาหวิว ดวงตามีแต่ความเศร้า
“พี่สาวทั้งสามของเจ้า ก็ไม่มีใครแต่งงานเพราะความรัก เจ้าก็น่าจะรู้ว่าเพราะอะไร”
จางม่านอวี้หน้าเศร้าลงไปอีก คำตอบของบิดาทำให้นางรู้ว่า จนหนทาง นางรู้สิว่า พี่สาวทั้งสามของนางแต่งงานเพราะเหตุผลใด ล้วนแล้วแต่เพื่อผลประโยชน์ของบิดาทั้งสิ้น พี่สาวทั้งสามยินยอมแม้ว่าไม่เต็มใจ นางจึงไม่มีเหตุผลใดจะค้าน อีกเหตุผลหนึ่งคือ หน้าที่ของนางเมื่อเข้าไปอยู่ในวังในฐานะพระสนม เป็นหน้าที่ที่ต้องมีความรับผิดชอบสูง และต้องทำให้ดีให้สมกับที่ทุกคนไว้เนื้อเชื่อใจ
“ลูกต้องทำอะไรบ้างเจ้าคะท่านพ่อ”
“เจ้าจะรู้ทุกอย่างตอนที่ได้เข้าเฝ้าฮองเฮา นางจะเป็นคนบอกเจ้าเอง”
“ข้ามีเวลาเท่าไหร่เจ้าคะที่จะเป็นจางม่านอวี้คนเดิม” นางหมายถึงการได้ใช้ชีวิตอิสระที่เหลืออยู่
“ฮองเฮาพระทัยร้อนกับเรื่องนี้มาก กำหนดการที่เจ้าต้องไปเป็นพระสนมคือสามวันข้างหน้า”
เขาเองก็ไม่คิดว่าจะรวดเร็วเพียงนี้ คาดเดาว่าน่าจะอีกเป็นแรมเดือนกว่าบุตรสาวคนที่สี่จะได้ขึ้นเป็นพระสนม ทว่าอำนาจของสนมมู่เซียนขยายขึ้นทุกวัน ฮองเฮาจึงไม่วางพระทัย กังวลเรื่องนี้มาก ทุกอย่างจึงต้องรวดเร็ว
“สามวันหรือเจ้าคะ แค่สามวัน” นางร้องถามเสียงหลง
“ใช่ อีกสามวัน ระหว่างนี้เจ้าก็เตรียมตัวให้พร้อม อีกสามวันจะมีเกี้ยวมารับเจ้าเข้าวัง” จางเฟยพูดจบก็ลุกขึ้นยืน “เจ้าอย่าลืมว่าข้าเคยเป็นแม่ทัพคุมทหารออกศึกมาก่อน สายเลือดจงรักภักดีอยู่ในตัวข้าและถ่ายทอดให้เจ้าในฐานะลูก อย่าให้ข้าผิดหวังในตัวเจ้านะม่านอวี้”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ”
จางม่านอวี้รับคำเสียงเบา มองแผ่นหลังของบิดาที่เดินออกไปจากประตูห้องด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง ตำแหน่งพระสนมห่างไกลจากความคิดนางมาก แทบไม่อยู่ในหัวเลยด้วยซ้ำไป ทว่าตอนนี้มันกลับมาอยู่ใกล้แค่เอื้อม และอีกสามวันชีวิตของนางก็จะเปลี่ยนไป วินาทีนี้สมองจางม่านอวี้กระหวัดถึงเฉินต้าเหว่ยขึ้นมาทันใด แต่คงทำได้แค่เพียงนึกถึง เพราะตอนนี้เขานำทหารไปออกศึก ทั้งที่เพิ่งกลับมาได้เพียงวันเดียว แล้วไม่รู้ว่า นางจะได้พบเจอเขาทันก่อนที่ตนจะเข้าวังหรือไม่
นางภาวนาขอให้ทัน เพื่อที่จะได้ลาเขาเป็นครั้งสุดท้าย
.................................
ความหม่นเศร้าเกิดขึ้นในจิตใจจางม่านอวี้ สองวันมานี้นางแทบจะไม่แตะต้องอาหาร เหม่อลอย จิตใจเต็มไปด้วยความกังวลและหวาดกลัว เพราะอีกวันเดียวนางก็ต้องไปเป็นพระสนมของฮ่องเต้ พร้อมกับหน้าที่ที่นางก็ไม่มั่นใจว่า จะทำได้หรือไม่
“คุณหนูกินซาลาเปาไหมเจ้าคะ”
หลินหลินสาวใช้ถามเจ้านายขณะที่กำลังเดินผ่านร้านขายซาลาเปาร้านประจำ คำตอบที่หลินหลินได้รับคือการส่ายหน้า สาวใช้ถอนหายใจ ทั้งสงสารและเห็นใจคุณหนูสี่ หลินหลินอยากเข้าไปอยู่ในวังด้วย ติดตามรับใช้จางม่านอวี้ ทว่ามันเป็นเพียงแค่ความคิด
“คุณหนูเจ้าขา แวะร้านผ้าแพรไหมเจ้าคะ มีผ้าแพรใหม่ๆ มาเต็มเลยเจ้าค่ะ”
“คุณหนูเจ้าคะ ปิ่นอันนี้สวยมากเลย คุณหนูลองปักผมดูไหมเจ้าคะ”
“กำไลวงนี้งามมากเลยเจ้าค่ะ คุณหนูดูสิเจ้าคะ”
หลินหลินพยายามหาสิ่งของที่จางม่านอวี้ชอบ ให้นางสนใจจะได้คลายจากความทุกข์ได้บ้าง แต่ไม่เป็นผล จางม่านอวี้ไม่สนใจ ไม่แม้แต่จะเหลือบมอง ว่าที่พระสนมส่ายหน้าปฏิเสธอย่างเดียว
“ข้าจะไปจวนรองแม่ทัพ” หลินหลินไม่ถามต่อว่าไปทำไม เพราะรู้คำตอบนั้นดี สองสาวเปลี่ยนทิศทางการเดินไปยังบ้านเฉินต้าเหว่ยที่อยู่ห่างจากตลาดไม่มากนัก
ในขณะที่จางม่านอวี้กับหลินหลินกำลังเดินไปจวนรองแม่หนุ่ม เป็นจังหวะเดียวกันกับที่องค์รัชทายาทกับองครักษ์เดินออกมาจากโรงเตี๋ยมที่พักอาศัยพอดี และเมื่อเห็นสาวถูกใจ เขารีบปรี่เดินไปหา
“แม่นางจะไปไหนรึ ข้าดีใจที่ได้เจอเจ้า” จางม่านอวี้เงยหน้ามองคนทักที่ส่งยิ้มให้ตน ด้วยมารยาทจางม่านอวี้ยิ้มตอบ แต่เป็นรอยยิ้มที่ไม่เหมือนครั้งแรกที่โปรยยิ้มให้เขา ยิ้มนางดูเศร้าเหลือเกิน “เจ้าจำข้าได้หรือไม่ เราเคยเจอกันเมื่อสองวันก่อน”
“จำได้” จางม่านอวี้ตอบสั้นๆ “เจ้าเป็นพ่อค้าไง”
“ข้าดีใจเหลือเกินที่ได้เจอเจ้า วันนี้ข้าตั้งใจว่าจะไปหาเจ้าที่บ้านพอดี” จางม่านอวี้เลิกคิ้วสงสัย มองหน้าหนุ่มหน้าตาหล่อผิวพรรณดีนิ่ง
“เจ้ารู้จักบ้านข้าด้วยหรือ แล้วเจ้าจะไปหาข้าทำไม”
“ข้าถามพ่อค้าขายซาลาเปา ว่าเจ้าเป็นใคร เพราะจากการแต่งตัวและจากคำพูดของพ่อบ้านที่ข้าได้ยิน ข้าเลยคิดว่า เจ้าคงไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาแน่นอน แล้วข้าก็ได้รู้คำตอบว่าเจ้าคือใคร คุณหนูสี่แห่งตระกูลจาง ชื่อจางม่านอวี้”
องค์รัชทายาทไม่ปล่อยให้ความอยากรู้อยู่กับตัวเองนาน เขารีบเข้าไปถามพ่อค้าซาลาเปากับคำตอบที่อยากได้ โดยให้สินน้ำใจหนึ่งตำลึง มีหรือที่คำตอบนั้นจะไม่พรั่งพรูออกจากพ่อค้า เมื่อรู้คำตอบ เขาไม่ได้เร่งรีบไปหาจางม่านอวี้ เพราะมีงานสำคัญงานหนึ่งต้องทำ ตั้งใจว่าทำเสร็จเมื่อไหร่ เขาจะรีบไปหานางทันที แต่เผอิญว่าเจอนางที่นี่เสียก่อน
“แล้วเจ้าอยากรู้ว่าข้าเป็นใครไปทำไม ทีข้ายังไม่อยากรู้เรื่องของเจ้าเลย”
“ก็เพราะ...” ยังไม่ทันพูดจบ ชายรูปร่างสูงเพรียว แต่งกายคล้ายจอมยุทธเดินเข้าหา ก่อนจะกระซิบข้างหู “ข้าขอตัวก่อนนะแม่นางจาง ไว้ข้าไปหาเจ้าที่บ้านนะ”
องค์รัชทายาทพูดจบก็รีบเร่งเดินไปยังท่าเรือพร้อมพรรคพวก
“ผู้ชายคนนี้ดูแปลกๆ นะเจ้าคะคุณหนู” หลินหลินพูดกับเจ้านายสาว
“ช่างเขาเถอะอย่าไปสนใจเลย ข้าเชื่อว่า ข้ากับเขาคงไม่ได้พบกันอีก” จางม่านอวี้คิดเช่นนั้น “ไปกันเถอะ”
สองสาวพากันเดินไปยังจวนรองแม่ทัพ จางม่านอวี้หวังว่าจะได้พบเฉินต้าเหว่ย แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น คนที่นางอยากเจอยังไม่กลับมาจากออกศึก จางม่านอวี้เศร้าหนักกว่าเดิม ความรู้สึกตอนนี้ของนางไม่ดีเลย รู้สึกโหวงๆ หวิวๆ ชอบกล ด้วยเหตุผลใดมิทราบได้ จางม่านอวี้อยากเจอเฉินต้าเหว่ยก่อนเข้าวังมาก จางม่านอวี้มีคำถามหลายคำถามที่จะถามเขา และอยากได้ยินประโยคหนึ่งจากปากเขาเช่นกัน ทว่านางคงไม่ได้ยินคำที่อยากได้ยิน นับจากพรุ่งนี้เป็นต้นไป เขากับนางจะอยู่กันคนละทาง เปรียบได้ว่าคนละโลกก็ว่าได้ จางม่านอวี้ได้แต่ภาวนา ขอให้เฉินต้าเหว่ยกลับมาทันก่อนที่นางถูกส่งตัวเข้าวัง
เป็นคำภาวนาเพียงหนึ่งเดียวที่จางม่านอวี้อยากได้...
..............................