ตอนที่ 9 Reunion EP.3
“จะแต่งเมื่อไร”
นั่นคือคำถามหลังจากที่ต่อเล่าเรื่องการนัดบอดที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องบังเอิญอย่างเหลือเชื่อให้เก้าอี้ฟัง อีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีแปลกใจแม้แต่น้อย
“ตอนนี้ต้องคุยเรื่องหมั้นก่อน แต่นายอย่าทำเหมือนเป็นเรื่องที่เดาออกง่ายได้มั้ยวะ”
“ก็ตอนที่นายเล่าหน้าระรื่นดีนี่ ไม่เห็นเหมือนถูกใครบังคับให้หมั้น แล้วเป็นไง ดาหลาล่ะนายจะเอายังไง”
พอถูกถามถึงผู้หญิงอีกคนที่ต่อเอามาเป็นไม้กันหมา เขาก็สะอึกไปเล็กน้อย เรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ชวนปวดหัวอยู่บ้าง เพราะเขาเพิ่งให้ดาหลาบินไปที่เชียงรายเพื่อเปิดตัวกับพ่อแม่ คิดไม่ถึงนอกจากพ่อแม่จะไม่เชื่อแล้วยังบังคับให้เขาลงเชียงใหม่มาดูตัวให้ได้ แลกกับการที่ไม่ต้องกลับไปดูแลไร่ชาและสวนลำไยรวมไปถึงโฮมสเตย์ที่ตอนนี้พ่อเลี้ยงขวัญกุมบังเ**ยนอยู่ โดยพี่ชายคนโตของต่อซึ่งแบ่งเวลามาช่วยบ้างเพราะต้องดูแลภรรยาที่เพิ่งคลอดลูกได้ไม่นาน
ต่อไม่เข้าใจว่าทั้งที่พี่ชายคนโตก็เพิ่งมีหลานให้ ทำไมพ่อยังบังคับให้เขาแต่งงานอีกคน อายุเพิ่งจะยี่สิบสี่ยี่สิบห้า ช่วงเวลาของวัยหนุ่มยังอีกยาวไกล ทำไมต้องมาเจอเรื่องจำพวกคลุมถุงชนหรือจับคู่ดูตัวด้วยล่ะ
เก้าอี้สังเกตเห็นว่าเพื่อนเงียบไปก็พูดต่อไป “จะทำอะไรก็รีบเคลียร์ตัวเองนะ ถ้านายไม่ได้จริงจังกับตะวันฉายก็ถอยออกมา ไม่อย่างนั้นนอกจากชีวิตของนายจะพังแล้ว ชีวิตครอบครัวของฉันก็จะพังไปด้วย”
ช่วงนี้เป็นช่วงที่หมี่ขาวค่อนข้างเซนส์ซีทีฟกับเรื่องทุกเรื่อง นั่นทำให้เก้าอี้ต้องแยกมานอนที่ห้องตัวเองเพราะเพียงแค่อยู่เฉยๆ ก็สามารถยั่วโมโหเธอได้ แต่ถ้าเรื่องของต่อมาช่วยสุมไฟให้เรื่องระหว่างเขาและเธอแย่ลง เห็นทีว่าอาจต้องตัดเพื่อนกับต่อสักระยะเพื่อรักษาเสถียรภาพในครอบครัว
“นายพูดเกินไป เรื่องนี้ตะวันฉายเป็นคนดึงดันที่จะหมั้นกับฉันเองนะ ทำไมฉันต้องเป็นฝ่ายผิดวะ”
“เพราะนายเริ่มคิดไม่ซื่อแล้วยังไงล่ะ”
ไม่มีใครเข้าใจต่อได้ดีกว่าเก้าอี้ พอพูดคำนี้ออกไปคนฟังก็ทำตัวไม่ถูก ใบหูของเขาขึ้นสีเรื่อ มือไม้เริ่มอยู่ไม่สุขและเริ่มนั่งสั่นขา
พิรุธมาเต็มๆ
“ฉันแค่รู้สึกว่าเรื่องมันบังเอิญเกินไปหน่อย แต่ก็อยากลองดูสักครั้ง”
“อยากลองก็ลอง อย่าทำตัวเหลวไหลก็แล้วกัน” พอพูดจบเก้าอี้ก็หันไปสนใจกับโมเดลอุปกรณ์ใหม่ที่เพิ่งเริ่มวิจัย เขาเปลี่ยนห้องชั้นล่างให้เป็นห้องวิจัยขนาดย่อม เปียโนถูกย้ายไปที่ห้องของหมี่ขาว กระจกใสที่เอาไว้กั้นเก็บเสียงกลายเป็นส่วนหนึ่งของห้องทดลองซึ่งมีอุปกรณ์ต่างๆ วางกระจัดกระจายตามประเภท ห้องนอนเล็กกลายเป็นห้องที่ต่อ กัปตันและมดใช้ซุกหัวนอนเป็นประจำ เนื่องด้วยเป็นบริษัทที่ต้องใช้ความคิด นอกจากวันจันทร์และวันศุกร์ที่ต้องเข้าออฟฟิศไปประชุมงาน คนที่เหลือมักจะหมกตัวอยู่กับงานของตัวเอง เย็นวันศุกร์ไปจนถึงเสาร์อาทิตย์คนที่เหลือจะมาสิงอยู่ที่ห้องของเก้าอี้เพื่อซ้อมทีมและสังสรรค์กันเพื่อคลายเครียด ส่วนเวลาอื่นก็กลับบ้านหรือคอนโดฯ ของตัวเองไปเพื่อทำงานในส่วนของตัวเองและพักผ่อน
ทว่าอีกไม่นานเก้าอี้จะเริ่มเจาะกำแพงที่กั้นระหว่างห้องของเขาและหมี่ขาวเพื่อเชื่อมต่อพื้นที่คอนโดฯ ทั้งสองยูนิตให้เป็นเหมือนห้องเดียวกัน เพราะแบบแปลนที่เพิ่งส่งไปหลังจากที่หมี่ขาวตอบตกลงจดทะเบียนสมรสได้รับการอนุมัติเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้อาจต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะทำประตูเชื่อมสองห้องเสร็จ ช่วงนี้เก้าอี้เลยต้องรีบสรุปงานขั้นแรกแล้วย้ายอุปกรณ์ทั้งหมดไปไว้ที่ห้องนอน หากว่าระหว่างนี้ทะเลาะกับหมี่ขาว เขาคงไม่มีที่นอนแน่ๆ
“อย่าทำตัวเหมือนพ่อฉันได้มั้ยวะ” ต่อบ่นอุบอิบ คนอุตส่าห์หาที่ระบาย แต่กลับโดนเพื่อนสอนเหมือนพ่อไม่มีผิด
เหมือนชายหนุ่มจะนึกอะไรขึ้นได้จึงเงยหน้าจากงานที่ทำแล้วพูดกับต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “ที่จริงแล้วครึ่งปีก่อน ตอนฉันกลับไปปรึกษาพ่อเรื่องเงินทุนบริษัทที่มีปัญหา ท่านถามว่าหุ้นส่วนเป็นลูกเต้าเหล่าใคร เลยบอกไปว่าบ้านนายทำอะไรบ้าง คุยไปคุยมาพี่โจอี้ก็บอกว่าลุงฉัตรกำลังมองหาเขยขวัญ ไม่รู้ว่าพ่อไปคุยกับลุงฉัตรท่าไหนถึงได้เรื่องได้ราวว่ารู้จักกับพ่อนาย บางทีอาจเป็นตอนนั้นก็ได้ที่พ่อนายบังเอิญอยากให้ลูกชายดูตัวพอดี”
ต่อกระเด้งตัวขึ้นแทบจะทันทีด้วยความตกใจ “ไอ้อี้ อย่าบอกนะว่านายบอกเรื่องที่ฉันกับผู้หญิงคนนั้นอะไรๆ กันแล้วน่ะ”
หางคิ้วของเก้าอี้กระตุกเล็กน้อย เขาหลุบตาดูสเกลในมัลติมิเตอร์ “ความต้านทานต่ำไป หาปากกามาจดให้หน่อยสิ”
“อย่าเปลี่ยนเรื่องได้หรือเปล่าวะ” คนกำลังหงุดหงิดบ่นพึมพำ แต่ก็เดินไปที่โต๊ะทำงานแล้วมองหากระดาษกับปากกา “ว่ามา”
“เพิ่มอีก 247 โอห์ม” แล้วพูดต่อ “พ่อไม่รู้ แต่ฉันรู้ หลังจากวันที่นายพลาดไปฉันก็คิดได้ว่าถ้าเป็นตะวันฉาย อาจดีกว่าผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาก็ได้”
ต่อมองหน้าเพื่อนราวกับไม่อยากเชื่อหู “หมายความว่ายังไง”
“ผู้หญิงคนแรกที่ทำให้นายกระวนกระวายหลังจาก One Night Stand คือใครล่ะ”
ตะวันฉาย
“คนที่เปิดซิงฉันมั้ง เหอะๆ” ปากไม่ตรงกับใจ “ที่ฉันกระวนกระวายเรื่องผู้หญิงคนนั้นก็เพราะเธอเป็นเพื่อนของน้องหมี่ต่างหากล่ะ”
“แล้วคืนก่อนขึ้นดอยล่ะ”
คำถามแทงใจดำนี้ทำให้ปากกาในมือแทบร่วง
“นายพูดอะไร” เขาถามเสียงหลง รู้สึกคอแห้งขึ้นมาทันทีทันใด
ทันใดนั้นรอยยิ้มเหมือนหมาป่าเจ้าเล่ห์ก็ปรากฏบนใบหน้าของเก้าอี้ นานๆ ทีต่อจะได้เห็นรอยยิ้มของจอมวางแผนนอกเหนือจากเวลาเล่นเกมด้วยกัน เริ่มเสียวสันหลังขึ้นมาแปลกๆ
“มนุษย์มักมีสิ่งที่เรียกว่าเคมีที่ลงตัว เหมือนแมลงที่ปล่อยสารฟีโรโมนเพื่อจับคู่ ถ้าเป็นตามความเชื่อแบบโรแมนติกก็คงต้องเป็นคำว่าเนื้อคู่ล่ะมั้ง เหมือนที่ฉันเห็นหมี่แล้วไม่สามารถละสายตาจากเธอได้ ถ้านายเจอคนที่ทำให้ตัวนายกระหายไม่มีที่สิ้นสุด นั่นอาจเป็นมากกว่าความสัมพันธ์ทางกาย แต่ปฏิกิริยาเคมีในสมองกำลังเรียกร้องให้นายอยากมีปฏิสัมพันธ์ด้านอื่นด้วยก็เป็นได้”
“ไร้สาระ”
เก้าอี้หัวเราะในลำคอ “เพิ่มแรงดันอีก 3 โวลต์”
ต่อก้มหน้าจรดปากกา แต่ก็ต้องเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง “แรงดันอะไรวะ”
เก้าอี้ละสายตาจากมัลติมิเตอร์มาที่ต่อ ริมฝีปากผุดรอยยิ้มน่าพิศวง “ผู้หญิงอย่างตะวันฉายมีภูมิต้านทานต่อหลายๆ เรื่องสูง ถ้าอยากเอาชนะใจให้ได้ก็ต้องเพิ่มแรงดัน...ดันทุรังน่ะ แต่ไม่ได้เกี่ยวกับ 3 โวลต์ของฉันหรอก ที่บอกคือแรงดันไฟใน T065 ส่วนเรื่องความดันทุรัง นายมีมากพอ ใช้ให้ถูกก็แล้วกัน”
ต่อรีบก้มหน้าจด อยู่ๆ สีแดงก็เริ่มลามจากใบหูมาที่แก้มทั้งสองข้าง ดวงตาเป็นประกายประหลาดทั้งยังกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
ให้ตายเถอะ เขาดันคิดว่าเป็นแรงดันอย่างอื่นซะอีก
“หาเวลาไปสวดมนต์เข้าวัดปฏิบัติธรรมบ้างนะ” พูดจบเก้าอี้ก็เดินมาแย่งกระดาษที่ต่อจดแล้วส่ายหน้าอย่างระอา “เป็นหนักขนาดนี้ ยังจะปากแข็งอีก”