วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่สำนักศึกษาจะเปิดสอนปกติก่อนที่หยุดให้บัณฑิตเตรียมตัวและสอบซิ่วไฉ ทว่าคุณหนูสามเสิ่นจือกลับไม่ไปเรียนบอกว่าตนรู้สึกเวียนหัวรู้สึกไม่ค่อยสบาย เกาฮูหยินย่อมรู้จักบุตรของตนเองเป็นอย่างดีเมื่อเปิดม่านเดินเข้ามาให้นั่งลงขอบเตียงแล้วพูดขึ้น
“ลุกขึ้นมาได้แล้ว”
เด็กสาวโผล่หน้าออกมาจากผ้าห่มด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
“ท่านแม่ ท่านพ่อจะตำหนิข้าหรือไม่”
“ไม่ต้องกังวล ท่านพ่อของเจ้าไม่ติดใจ”
“เป็นเพราะนังนั่นก็ป่วยใช่หรือไม่เจ้าคะ”
พลันน้ำเสียงของเสิ่นจือก็เกรี๊ยวกราดขึ้น
“นางคือน้องสาว เจ้าไม่ควรเอ่ยวาจาเช่นนั้น”
“ท่านแม่ พี่น้องข้ามีเพียงพี่ใหญ่ พี่รองเท่านั้น”
เสิ่นจือกล่าวด้วยน้ำเสียงเอาแต่ใจ
“วาจากริยาก็ส่วนหนึ่งความในใจก็ส่วนหนึ่ง เจ้าต้องต้องรู้จักเก็บความคิดของตนเอง”
“ท่านแม่ ทำไมท่านต้องดีกับมันด้วย ในบ้านแม่มันแย่งความรักจากท่านพ่อ นอกบ้านท่านยังส่งเสริมมัน ให้ออกไปลอยหน้าลอยตา”
เมื่อวานในสำนักศึกษาเล่าลือถึงรูปโฉมงามล่มเมืองของหญิงสาวผู้หนึ่งที่ลงมาจากรถม้าของจวนเสนาบดีเสิ่น รู้ภายหลังว่าสตรีงามตระการตาผู้นั้นคือคุณหนูเจ็ดเสิ่นอิน ที่เจ็บแค้นใจในคำล่ำลือนั้นแนบรูปโฉมของนางว่าด้อยกว่าหลายส่วน เพื่อเปรียบโปรยให้เห็นว่านังนั่นมีความงดงามเพียงใด
ยิ่งคิดยิ่งแค้นใจ ตอนบ่ายนางยังต้องมาอับอายกับเหตุการณ์ในหอซูซูอีก ความอัดแน่นในอกทำให้เสิ่นจือซุกอกร้องไห้ในอ้อมกอดของมารดาทันที
“จือเอ๋อร์ แม่ไม่มีทางสนับสนุนให้ใครโดดเด่นเกินหน้าเกินตาพวกเจ้าแน่นอน ถึงเวลาไม่ว่าผู้ใดก็ต้องอยู่เบื้องล่างเราเท่านั้น”
“ไม่จริง! เมื่อเช้าท่านไปเยี่ยมมันก่อนมาหาข้าเสียอีก เชิญหมอและสั่งยาที่แพงที่สุดให้มัน ที่สำนักศึกษาท่านก็ให้หลัวมามาไปเป็นเพื่อนมัน”
เกาฮูหยินลอบถอนใจ พูดเสียงเข้มขึ้น
“เพราะเจ้าแกล้งป่วย เจ้าคิดว่าบิดาเจ้าจะไม่รู้ทันหรืออย่างไร”
พอโดนตำหนิเสิ่นจือก็ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความน้อยอกน้อยใจ เกาฮูหยินรู้สึกอ่อนใจ ใจอ่อนจึงเอ่ยอบรมบุตรสาว
“จือเอ๋อร์ หากไม่ทำเช่นนี้แล้วแม่จะสามารถเป็นฮูหยินที่เพียบพร้อมได้อย่างไร เจ้าลืม 4 จรรยาของสตรีแล้วหรือ เบื้องหน้าส่วนเบื้องหน้า เบื้องหลังคือเบื้องหลัง แม่ล้วนทำเพื่อเจ้า”
“ท่านแม่แล้วท่านมีแผนอย่างไร หากมันไปเล่าเรียนแล้วสอบซิ่วไฉได้ ตอนนั้นเรายังจะทำอะไรมันได้”
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล เจ้ารู้หรือไม่ว่านางป่วยจริง”
“ทราบเจ้าค่ะ”
“ตั้งใจอ่านตำราจนเจ็บป่วย เท่านี้ก็ยืนยันได้แล้วว่าโง่เขลาเพียงใด ปล่อยให้มันตั้งใจเล่าเรียนสักหลายปีหรือจนสอบให้ผ่าน หากมันจองหองกำเริบเสิบสานแม่ย่อมมีวิธีจัดการ การสูญเสียหลังจากที่ได้มาครอบครองแล้วต่างหากที่เจ็บปวดที่สุด เรารอเวลาที่เหมาะสม”
เสิ่นจือจ้องมองมารดา ค้นหาความนัยในวาจานั้น
สำหรับเด็กสาวแม้จะโบยบินก็สามารถกระชากดิ่งพสุธาได้ ทว่าเรื่องโสมมเหล่านั้นเกาฮูหยินไม่ต้องการให้บุตรสาวรับรู้ จึงเอ่ยพูดเบี่ยงเบน
“เล่าเรื่องเมื่อวานให้แม่ฟังอย่างละเอียดอีกครั้งสิ”
ความจริงเกาฮูหยินรู้เรื่องจากบ่าวรับใช้แล้ว ทว่านางอยากจะดูสีหน้าของบุตรสาวว่ามีความรู้สึกอย่างไรกันแน่
ใบหน้าของเสิ่นดูย่ำแย่ลง แม้ไม่อยากจะเอ่ยถึงอีก แต่เมื่อเป็นคำสั่งมารดานางจึงไม่อาจจะฝืน จึงกลั้นใจเอ่ยเล่าอย่างละเอียด
เมื่อฟังจนจบเกาฮูหยินก็พูดขึ้น
“องค์หญิงใหญ่บุมบ่ามไปจริง ๆ” เกาฮูหยินส่ายศีรษะเบา ๆ บุรุษที่มีกลิ่นอายโหดเหี้ยมเช่นนั้น ไม่รู้ว่าองค์หญิงพึงพอใจได้อย่างไร
“ท่านแม่ทำไมข้าไม่เคยได้ยินว่า ท่านอ๋องทรงน่ากลัวเพียงนี้”
เกาฮูหยินหยิบปอยผมของบุตรสาวทัดหูอย่างอ่อนโยนแล้วพูดขึ้น
“แม่อยากให้เจ้าตัดสินใจเอง”
“ข้ากลัว” น้ำเสียงของเสิ่นจือแผ่วเบา นางละอายใจเมื่อก่อนไม่รู้ผีสางตนใจดลใจให้นางปลื้มบุรุษคนนี้
คำพูดของบุตรสาวทำให้เกาฮูหยินคลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน นางเองก็ต้องการให้เป็นเช่นนั้น บุรุษเย็นชาเช่นนั้นจะดูแลบุตรสาวของนางดีได้อย่างไร
สำนักศึกษา
เฉิงอ๋องกวาดสายตามองไปรอบ ๆ สำนักศึกษาควรเป็นเช่นนี้ เงียบสงบผสมอบอวลกลิ่นของหมึก หลายวันก่อนทั้งทั่วบริเวณล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นถุงน้ำหอมนานาพรรณเกือบจะไม่ใช่สำนักศึกษาแล้ว
ส่วนในห้องเรียนจำนวนบัณฑิตกลุ่มขององค์หญิงใหญ่ไม่มาเรียนทั้งหมด ส่วนบัณฑิตแม่นางน้อยที่เหลือก็ต่างสงบเสงี่ยมขึ้น แววตาที่มองเฉิงก็แฝงความหวาดกลัวเพิ่มหลายส่วน
แม้ผู้อื่นจะเปลี่ยนเป็นไร ทว่ามีเพียงแววตาของจางซูอินที่ยังนิ่งสงบ เหตุการณ์เมื่อวานไม่ได้ทำให้ความรู้สึกที่นี่นางมีต่อเฉิงอ๋องเปลี่ยนไป
และในวันนี้วิชาเรียนก็เป็นเรื่องที่ซูอินให้ความสนใจ เฉิงอ๋องได้ให้หัวข้อบัณฑิตช่วยกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้ง
เมื่อเลิกเรียน
ขณะเก็บอุปกรณ์องค์หญิงต้าเหยาก็หันมาบอกซูอิน
“บ่ายนี้ข้าจะขอเข้าพบเสด็จพ่อ เจ้ากลับไปรอข้าที่บ้านก่อน ไม่ว่าผลจะเป็นเช่นไร ข้าจะกลับมาแจ้งข่าว”
“องค์หญิงจะเหน็ดเหนื่อยเกินไปหรือไม่เพคะ เสด็จไปมาหลายรอบ”
“ประตูวังอยู่ตรงนี้เอง ข้าหาใช่อ่อนแอเช่นนั้น เอาล่ะประเดี๋ยวจะสายข้าไปก่อน”
หลังจากองค์หญิงต้าเหยาเสด็จออกไป ซูอินกำลังจะกลับเรือนเมื่อเดินออกมาจากห้องเรียนก็พบจงถังยืนดักรออยู่
“ท่านอ๋องให้ข้าน้อยมาเชิญคุณหนูไปพบขอรับ”
ซูอินรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา ทว่าในภพชาตินี้นางกับเฉิงอ๋องไม่มีเกี่ยวข้องกันเรื่องที่จะพูดคุยย่อมเป็นเรื่องทั่วไป นางจึงพูดขึ้น
“เชิญท่านนำทาง”
เมื่อเดินเข้าไปห้องพักของเฉิงอ๋อง บุรุษผู้นั้นกำลังอ่านหนังสือเบื้องหน้ามีชุดน้ำชาเตรียมสำหรับรับแขกอยู่ 1 ชุด
ซูอินเดินเข้าไปทำความเคารพ เขาจึงเงยหน้าขึ้นแล้วผ่ายมือบอกให้หญิงสาวไปนั่งเก้าอี้ด้านข้าง
อย่างไรเฉิงอ๋องก็เป็นซื่อฝูปฏิบัติอย่างให้เกียรติ ซูอินไม่มีเหตุผลที่จะไม่ปฏิบัติตามนางก้าวเดินไปนั่งอย่างผู้รู้จักวางตัว
“ชาใบไผ่ให้ความรู้สึกสดชื่นเหมาะสำหรับใช้ดื่มเวลาทบทวนตำรา เจ้าลองชิมดู” เฉิงอ๋องยกรินน้ำชาพร้อมเอ่ยอธิบาย
ซูอินยกจอกชาขึ้นดื่มตามคำกล่าวเชิญ ชาชนิดนี้เป็นชาที่นางชื่นชอบที่สุด
รสของน้ำชาความรู้สึกหวานปนขม ใบชายังเป็นเช่นเดิม แต่ผู้คนกลับเปลี่ยนไปแล้ว
“ขอบคุณซื่อฝู น้ำชาจอกนี้ให้ความรู้สึกผ่อนคลายยิ่งเจ้าค่ะ”
แต่แววตาของเจ้าไยแสดงความหม่นหมองเล่า?
เฉิงอ๋องไม่เปิดโปงอีกฝ่ายแต่เอ่ยถึงเรื่องที่เรียกตัวนางมาแทน
“ที่เชิญคุณหนูจางมา เพราะเรื่องเกี่ยวข้องกับต้าเหยา”
ซูอินลอบถอนหายใจเป็นไปตามที่คาดคิด เรื่องที่เฉิงอ๋องต้องการพูดคุยย่อมไม่ใช่เรื่องส่วนตัว แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องดีเช่นกัน
“หากซื่อฝูมีเรื่องชี้แนะ เชิญกล่าวมาได้เลยศิษย์พร้อมนำไปปฏิบัติตาม”
“เช่นนั้นหรือ?”
เฉิงอ๋องยกปากยิ้มบาง ๆ มองสตรีที่ดูอ่อนหวานตรงหน้า แต่ความจริงแล้วไม่ใช่สตรีที่ยอมถูกบังคับง่าย ๆ เขาจงใจเว้นจังหวะแล้วพูดต่อ
“ก่อนที่จะมาที่นี่ข้าได้รับการไหว้วานจากฝ่าบาทให้ช่วยดูแลต้าเหยา ทำให้ได้ทราบ เรื่องที่พวกเจ้าจะเปิดร้านขายผ้าและให้ต้าเหยาไปยืมเงินฝ่าบาท”
ตอนนี้ซูอินรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาแล้วหากเฉิงอ๋องต้องมาเกี่ยวพันธ์กับเรื่องนี้ ย่อมไม่สามารถทำอย่างเรียบง่ายแน่นอน
ความโดดเด่นของเขาจะทำให้เรื่องวุ่นวาย หญิงสาวใคร่ครวญในใจอย่างหนักจะต้องเอ่ยเช่นไรดี
เห็นหญิงสาวขมวดคิ้วก็ทำให้เฉิงอ๋องร้อนใจอธิบายแทน
“ไม่ใช่ข้าไม่เห็นด้วย เพียงแต่หากมีเรื่องติดขัดให้มาแจ้งข้า”
เมื่อเฉิงอ๋องหาทางลงให้ ซูอินจึงรีบกล่าว
“ขอบคุณซื่อฝู ศิษย์ไม่บังอาจ”
“สิ่งที่ราชวงศ์ไม่ขาดแคลนที่สุดคือเงินแต่มิตรภาพต่างหากที่หายาก ชากล่องนี้ถือว่าเป็นของขวัญพบหน้า”
ความหมายของเฉิงอ๋องซูอินกระจ่างใจดี และรู้สึกแปลกใจไม่น้อยเมื่อไรกันที่เฉิงอ๋องกลายเป็นผู้รู้ขนบธรรมเนียม
“ขอบคุณซื่อฝู หากมีเรื่องศิษย์จะต้องมาขอคำชี้แนะจากท่านแน่นอนเจ้าค่ะ”
ซูอินยื่นมือไปรับกล่องชาอย่างสำรวม เห็นท่าทีว่านอนสอนง่ายของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเบิกบานขึ้น
“เอาล่ะ เจ้าไปได้”
แม้จะอยากรั้งอีกฝ่ายให้อยู่ต่อ ทว่าจะผิดสังเกตเกินไป เมื่อพูดคุยจนกระจ่างแล้วย่อมปล่อยให้กลับ
“ศิษย์ขอตัว”
เมื่อหญิงสาวหันหลังออกไป เฉิงอ๋องก็มองตาม ตอนนี้เขาเองไม่รู้ใจตนเองเช่นกัน หากไม่เป็นอย่างที่คิดเขาพร้อมจะเปิดใจรับสตรีคนนี้หรือ แม้จะพยายามควบคุมตัวเองหากยังไม่ชัดเจนก็ไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่เหมือนเขาจะห้ามใจตัวเองไม่ได้ เฉกเช่นวันนี้ เขาก็ให้จงถังไปตามนางมา
หรือเขาควรปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ แล้วรอเวลาที่เหมาะสมที่ตอบคำถามในใจตัวเอง